“เจ้าคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเทียบเคียงกับท่านปรมาจารย์แล้วอย่างงั้นหรอ?”
“ข้าผิดไปแล้ว”
โจวจี้เฟิงและฝานซงต่างก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก พวกเขาทั้งคู่ถูกลืมไปแล้วว่าเคยมาจากสำนักฝ่ายธรรมะ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีที่ไหนเลยที่ดูแลพวกเขาดูแบบนี้ ทั้งคู่เคยคิดกังวลมาตลอดว่าจะยืนหยัดด้วยสองเท้าของตัวเองได้ไหม แต่เมื่อได้มาอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ ทั้งคู่ก็รู้สึกสบายใจและไม่ได้รู้สึกกังวลเหมือนกับในตอนแรกอีกต่อไป
ชานหยุนเจิ้งที่พูดไม่ทันได้ยั้งคิดออกไปถูกลงโทษกลับมาด้วยการตบหน้า ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ใช่สถานที่ใครจะมาทำอะไรตามใจชอบได้
ทุกคนจำได้ดีว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเคยพูดเอาไว้ว่าตัวเองเป็นผู้ที่มีเมตตาและจิตใจดี แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้จะไม่มีสิ่งนั้นอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าเลย
ชานหยุนเจิ้งไม่กล้าที่จะหลบการลงโทษจากปรมาจารย์ และแน่นอนว่านางไม่อาจที่จะตอบโต้เช่นกัน นางได้แต่พยายามทำตัวให้ดีขึ้นหลังจากที่ถูกลงโทษไป เป็นธรรมดาที่ชานหยุนเจิ้งจะไม่กล้าพูดอะไรอีก
ลู่โจวไม่ได้คิดที่จะขอความคิดเห็นจากชานหยุนเจิ้งเช่นกัน ตัวเขาหันไปที่ด้านข้างก่อนที่จะถามออกมา “ฮั๊วยู่จิง เจ้ามีอะไรที่จะพูดไหม?”
ฮั๊วยู่จิงยังไงก็อายุยังน้อย นางไม่เคยที่จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน นางไม่มีแม้แต่กระทั่งสิทธิ์ที่จะพูดอะไรออกมาได้ ยังไงซะท้ายที่สุดแล้วนางก็เคยเรียนรู้วิชาจากชานหยุนเจิ้ง แม้ว่าตอนนี้นางจะได้อยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้วแต่นางก็ยังรู้สึกกลัวชานหยุนเจิ้งอยู่ดี นางตัวสั่นที่ได้ฟังคำพูดของลู่โจว ท้ายที่สุดแล้วฮั๊วยู่จิงก็ได้ตอบกลับไป “ไม่มีค่ะ”
“เจ้าไม่พูดอย่างงั้นหรอ?” ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าหากเจ้าไม่มีอะไรที่จะพูด ข้าก็จะเป็นคนพูดแทนเจ้าเอง”
“ค่ะ” เป็นธรรมดาที่ฮั๊วยู่จิงจะไม่กล้าคัดค้านอะไร
ในตอนนั้นเองทุกคนก็นิ่งเงียบ สายตาของทุกคนกำลังจับจ้องไปที่ชานหยุนเจิ้ง
ชานหยุนเจิ้งได้คำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยขอรับฟังแต่โดยดี”
“รู้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงถูกเรียกตัวมา” ลู่โจวถามกลับมา
ชานหยุนเจิ้งมองไปที่ฮั๊วยู่จิง นางได้ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา “ฮั๊วยู่จิงครั้งหนึ่งเคยเป็นศิษย์ของข้า ข้าเคยเป็นอาจารย์ของนางมาก่อน และด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้นางถูกเนรเทศออกมาจากสำนัก ถ้าหากนางยังรู้สึกไม่พอใจ ข้าก็ยินดีที่ขอขมาแต่โดยดี”
“เจ้าคือผู้อาวุโสคนที่สองของสำนักลั่วที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชม ด้วยพรสวรรค์ที่ฮั๊วยู่จิงมีทำไมเจ้าถึงได้ปล่อยให้นางจากไปกัน?” ลู่โจวได้ถามออกมา คนส่วนใหญ่เองก็รู้ดีว่าผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างฮั๊วยู่จิงไม่ได้หาได้ง่ายๆ ในฐานะที่มีศิษย์มากความสามารถ ผู้ที่เป็นอาจารย์ที่สั่งสอนก็ควรจะภาคภูมิใจมากกว่า
สีหน้าของชานหยุนเจิ้งได้เปลี่ยนแปลงไป นางได้พูดออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ “มัน…มัน…ไม่มีความหมายที่จะ…พูดถึงเรื่องของสาเหตุในตอนนี้…ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ข้ายินดีที่จะขอขมานาง ถ้าหากศาลาปีศาจลอยฟ้าอยากที่จะให้ข้าชดเชย ข้าก็จะยอมรับเงื่อนไขโดยที่ไม่มีข้อโต้เถียงใดๆ”
‘อย่างน้อยนางก็รู้สถานะของตัวเองสินะ’
ในตอนนั้นเองมีเสียงทุ้มดัง ดังมาจากด้านนอกห้องโถง “ชานหยุนเจิ้งได้สร้างความอับอายขายหน้าให้กับสำนักลั่วยังไงล่ะ”
ทุกๆ คนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างก็จ้องมองไปยังต้นตอของเสียงที่ดังขึ้น ทุกๆ คนเห็นฮั๊ววู่เด๋ากำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
ทุกๆ คนรู้ดีว่าฮั๊ววู่เด๋าและฮั๊วยู่จิงสนิทกัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็มีแซ่เดียวกัน คนหนึ่งมาจากสำนักหยุน อีกคนมาจากสำนักลั่ว ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ถูกพิจารณาว่ามาจากสำนักเดียวกัน แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครที่จะรู้ถึงสายสัมพันธ์ที่แท้จริงที่ทั้งสองคนมีต่อกัน
เมื่อชานหยุนเจิ้งเห็นฮั๊ววู่เด๋าเดินเข้ามาภายในห้องโถงด้วย สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเป็นไม่พอใจอีกครั้ง
“ฮั๊ววู่เด๋าอย่างงั้นหรอ?”
“เจ้าจำข้าได้สินะ?”
“ในตอนที่ข้าเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษ ในตอนนั้นข้าก็ได้ยินมาว่าเจ้าได้เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว ในตอนนั้นข้าไม่เชื่อ แต่ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นความจริงสินะ” ชานหยุละวาดได้พูดขึ้น
ฮั๊ววู่เด๋าได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “คนอย่างเจ้าไม่เหมาะที่จะอยู่ในสำนักลั่วหรอก เจ้าได้ขับไล่ฮั๊วยู่จิงออกจากสำนักเพียงเพราะว่าต้องการที่จะครอบครองธนูจันทราเอาไว้กับตัวเอง”
‘ธนูจันทรา’
ชื่อของอาวุธที่ถูกพูดถึงฟังดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่อาวุธธรรมดาแน่
คำพูดของฮั๊ววู่เด๋าเผยให้เห็นเหตุผลที่ชานหยุนเจิ้งจะต้องขับไล่ฮั๊วยู่จิงให้ออกจากสำนักไป
“ผู้อาวุโสฮั๊ว ธนูจันทราเป็นของที่ถูกมอบให้โดยท่านปรมาจารย์แห่งสามสำนัก ในตอนนั้นการมอบคันธนูได้ถูกระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าข้าจะต้องเป็นผู้ได้รับ เหตุใดที่เจ้าจะต้องใส่ร้ายข้าด้วย?”
“หุบปาก!” การระเบิดอารมณ์ของฮั๊ววู่เด๋าได้ทำให้ชานหยุนเจิ้งรู้สึกประหลาดใจ ท้ายที่สุดแล้วนางก็เงียบไปจนได้ ตัวนางจำได้แล้วว่าไม่ได้อยู่ที่สำนักลั่ว ในตอนนี้ที่ที่นางอยู่ก็คือศาลาปีศาจลอยฟ้า
“ในตอนแรกท่านปรมาจารย์แห่งสามสำนักตั้งใจที่จะมอบอาวุธชิ้นนั้นให้กับฮั๊วยู่จิง เจ้ากล้าที่จะปฏิเสธความจริงนี้อย่างงั้นสินะ?”
เมื่อมาถึงตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างก็ดูเหมือนจะคลี่คลายมากขึ้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้เป็นเจ้าสำนักจะมอบทรัพย์สินของตัวเองให้กับเหล่าสาวกไป แต่เมื่อฮั๊วยู่จิงได้ออกจากสำนักไป เป็นธรรมดาที่นางจะไม่มีสิทธิ์รับของจากผู้ที่เป็นเจ้าสำนัก ถึงแม้ว่านางจะมีความสามารถเพียงใดแต่นางก็ไม่อาจที่จะได้รับสิทธิ์นั้นได้เลย
ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง ตัวเขาได้มองไปที่ฮั๊วยู่จิง “สิ่งที่ผู้อาวุโสฮั๊วพูดขึ้นเป็นความจริงอย่างงั้นสินะ?”
“เป็นความจริงค่ะ” ฮั๊วยู่จิงได้ตอบกลับมา
ใบหน้าของชานหยุนเจิ้งซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด นางในตอนนี้ได้ถอยหลังกลับไปหลายก้าวด้วยกัน
ลู่โจวได้หันกลับไปมองชานหยุนเจิ้งก่อนที่จะพูดขึ้น “ธนูจันทราที่ถูกพูดถึงเป็นอาวุธระดับไหน?”
ชานหยุนเจิ้งส่ายหัว นางไม่คิดที่จะตอบคำถามนี้
ฮั๊ววู๋เด๋าเลือกที่จะตอบคำถามแทน “มันเป็นอาวุธสรวงสวรรค์ขั้นกลาง”
ทุกๆ คนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็ตกตะลึง อย่างที่ทุกคนได้คาดการณ์เอาไว้ คันธนูคันนั้นมันเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธขั้นต่ำหรือขั้นกลางก็แล้วแต่ ยังไงซะอาวุธระดับสรวงสวรรค์ก็ยังเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและยังเป็นสมบัติที่หาได้ยากอยู่ดี ไม่น่าแปลกเลยที่ชานหยุนเจิ้งจะยอมขับไล่ฮั๊วยู่จิงให้ออกจากสำนักไปเพียงเพื่อคันธนูจันทรา เรื่องนี้มันฟังดูสมเหตุสมผลจนชานหยุนเจิ้งไม่อาจที่จะแก้ตัวได้
ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง ตัวเขาได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้นมาใหม่ “ชานหยุนเจิ้ง ข้าน่ะเป็นคนที่ใช้เหตุผลเสมอ ข้าจะรับฟังเรื่องราวจากทั้งสองด้านก่อน เจ้ามีอะไรที่จะแย้งสิ่งที่ผู้อาวุโสฮั๊วพูดไหม?”
ชานหยุนเจิ้งได้โบกมือก่อนที่จะพูดขึ้น “อาวุธชิ้นนี้ถูกมอบให้โดยท่านปรมาจารย์หยุนเทียนลั่ว…สาวกของสำนักลั่วสามารถเป็นพยานให้กับข้าได้ ได้โปรดตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนด้วยท่านผู้อาวุโส”
“เมื่อหยุนเทียนลั่วได้ก่อตั้งทั้งสามสำนักในอดีต เขาก็ได้เหินห่างจากเรื่องทางโลกไป ทั้งสามสำนักจึงได้แยกออกจากกัน ทำไมเขาถึงได้มอบอาวุธให้กับเจ้าด้วย?” ลู่โจวได้ถามออกมาอย่างเยือกเย็น
“เพราะว่าข้าเป็นมือธนูที่เก่งกาจที่สุดในสามสำนักใหญ่!” ชานหยุนเจิ้งได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ
ฮั๊ววู่เด๋าที่อดทนฟังมานานได้ตะโกนออกมา “สามหาว!”
การระเบิดอารมณ์ครั้งนี้ทำให้ชานหยุนเจิ้งตกใจอีกครั้ง
ฮั๊ววู่เด๋าได้เดินไปใกล้ชานหยุนเจิ้งก่อนที่จะพูดออกมา “ในแง่ของฝีมือการใช้ธนู ความสามารถของฮั๊วยู่จิงไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าเลย จากที่ข้ารู้ยังมีชื่อถูกสลักเอาไว้บนคันธนูจันทรา แทนที่พวกเราจะใช้น้ำลายโต้เถียงกันอย่างเปล่าประโยชน์แบบนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่แสดงคันธนูที่ว่าให้กับทุกคนได้เห็นกันล่ะ?”
“เจ้า…” ดวงตาของชานหยุนเจิ้งเบิกกกว้าง นางไม่สามารถที่จะหักล้างคำพูดของฮั๊ววู่เด๋าได้เลย
ต้วนมู่เฉิงที่ได้ยินแบบนั้นได้ยกหอกราชันย์ขึ้นมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ถ้าหากพวกเราสามารถสลักชื่อบนอาวุธของตัวเองได้ ข้าเองก็จะทำเช่นกัน ข้าจะสลักชื่อของข้าไว้ที่ตรงนี้…”
โจวจี้เฟิงได้คารวะทำความเคารพก่อนที่จะพูดแทรก “มีบางอย่างที่ท่านต้วนมู่เฉิงยังไม่รู้ การสลักชื่อลงบนอาวุธของท่านจะสร้างความเสียหายให้กับพลังที่สลักเอาไว้บนหอก ลวดลายที่ดูคล้ายกับมังกรเป็นเหมือนกับแหล่งพลังความแข็งแกร่งของหอกราชันย์ นอกจากจะต้องผ่านการขัดเกลาด้วยเปลวไฟอันยาวนาน ก็แทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลบลวดลายนั้นออกเพื่อที่จะสลักชื่อเอาไว้แทนได้ แม้ว่าจะลบลวดลายมังกรออกได้แต่ความเสี่ยงที่อาวุธจะเสียหายไปด้วยก็มีสูง การที่ผู้ฝึกยุทธจะดัดแปลงอาวุธของตัวเองได้นอกจากจะต้องผ่านการขัดเกลาที่แสนยากลำบากแล้ว มันยังต้องพบกับความเสี่ยงมากมายอีกด้วย”
ฝานซงที่ได้ฟังแบบนั้นยิ้มก่อนที่จะพูดเสริม “ถ้าหากอาวุธธรรมดาสามารถผ่านการขัดเกลาได้ง่ายๆ อาวุธระดับสรวงสวรรค์ก็คงจะไม่มีค่าเช่นนี้แน่”
ต้วนมู่เฉิงพยักหน้า “อย่างงี้นี่เอง…”
ทั้งห้องโถงใหญ่เงียบลงอีกครั้ง
ทุกคนๆ จ้องมองไปที่ชานหยุนเจิ้ง
หัวใจของนางในตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง นางได้ถอยหนีไปตามสัญชาตญาณ
ต้วนมู่เฉิงสูดลมหายใจเข้าไปก่อนที่จะใช้แขนเสื้อเช็ดไปที่หอกราชันย์ของตน ตัวเขาได้พึมพำออกมา “น่าเสียดายอะไรเช่นนี้! หอกราชันย์ของข้าไม่ได้แทงยอดฝีมือให้ตายคาหอกมานานแล้วซะด้วย”
“…” ชานหยุนเจิ้งที่ได้ยินแบบนั้นสั่นไปทั้งตัว
“ข้าจะไม่พูดให้มากความ ผู้อาวุโสชานเจ้าเอาธนูออกมาได้แล้ว” ต้วนมู่เฉิงเช็ดหอกของตัวเองต่อไป ทุกๆ คนจ้องไปที่ชานหยุนเจิ้งอย่างกดดันมากยิ่งขึ้น
ชานหยุนเจิ้งไม่สามารถที่จะทนได้อีกต่อไป นางได้คุกเข่าลงก่อนที่จะพูดขึ้น “ได้โปรดยกโทษให้ข้าสักครั้งเถอะท่านผู้อาวุโส…ตั้งแต่ที่ข้ามาที่นี่ข้าก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ศาลาปีศาจลอยฟ้าต้องขุ่นเคือง ข้ายินดีที่จะชดใช้เรื่องเกี่ยวกับคันธนูจันทราให้แต่โดยดี” ชานหยุนเจิ้งได้โบกมือส่งสัญญาณให้กับสาวกทั้งสี่ที่ติดตามนางมาให้วางกล่องทั้งหลายไว้ที่ด้านหน้า
แคล๊ก!
กล่องทุกใบถูกเปิดออก ภายในกล่องเต็มไปด้วยทองคำ เงิน และอัญมณีต่างๆ
สามสำนักดูเหมือนว่าจะร่ำรวยกันอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ถึงแบบนั้นศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ใช่สถานที่ที่ต้องการความมั่งคั่ง สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใช้เงินทองอะไรมากมายในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว สมบัติทางโลกพวกนี้ไม่ได้มีค่าพอที่จะดึงดูดความสนใจของใครไว้ได้ ถ้าหากชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าต้องการเงินทองจริงๆ สมบัติทั้งหมดที่ถูกเก็บไว้ที่ศาลาทางตะวันตกก็คงจะถูกขายจนหมดแล้ว
ลู่โจวมองดูสมบัติอย่างไม่แยแส ตัวเขาได้ลุกขึ้นมาก่อนที่จะเดินลงไปที่บันได “ถ้าไม่ใช่เพราะฮั๊วยู่จิง เจ้าก็คงจะไม่มีโอกาสที่จะมาที่นี่”
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกสักครั้ง…”
ชานหยุนเจิ้งที่ได้ฟังแบบนั้นดีใจมาก นางรีบตอบรับในทันที “ขอบคุณมากผู้อาวุโส”
“ยอมแพ้แต่โดยดีและส่งคันธนูจันทรามาซะ ถ้าหากทำแบบนั้นข้าจะปล่อยเรื่องที่แล้วๆ มาให้ผ่านไป”
ชานหยุนเจิ้งที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึง นางพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
“เจ้าไม่เต็มใจอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวได้ถามออกมา คำถามของตัวเขากดดันชานหยุนเจิ้งเป็นอย่างมาก
ท่าทางโอ่อ่าของลู่โจวได้สร้างความกดดันให้กับชานหยุนเจิ้งจนไม่อาจที่จะปฏิเสธได้เลย “ข้า…ข้าจะยอมมอบอาวุธให้…” นางได้เอามือล้วงไปที่ใต้ผ้าคลุมอย่างไม่เต็มใน ในตอนนั้นเองคันธนูที่ดูสวยงามก็ได้ปรากฏขึ้นให้กับทุกคนได้เห็น
คันธนูที่ว่ามีสีดำและเรียวบาง ในแวบแรกที่เห็นมันดูคล้ายกับหน้าไม้ขนาดเล็กมากกว่าคันธนู
คนอื่นๆ ต่างก็จับจ้องไปที่มัน
แม้แต่ฮั๊ววู่เด๋าเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าธนูจันทราจะมีลักษณะเช่นนี้ มันเป็นธนูที่ขนาดเล็กและบอบบางเกินไป คันธนูแบบนี้จะไปยิงธนูที่ทรงพลังออกมาได้ยังไงกัน?
ทุกคนที่เห็นแบบนั้นต่างก็สงสัย
ชานหยุนเจิ้งได้ยื่นธนูคันนั้นให้ด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเคารพ
ลู่โจวยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆ ทันใดนั้นคันธนูได้บินลอยมาหาฝ่ามือของตัวเขา เมื่อเห็นธนูจันทราลู่โจวก็นึกถึงธนูฟากฟ้า มันเป็นธนูที่ตัวเขาได้เจอในเจดีย์ลอยฟ้านั่นเอง ดูเหมือนว่าธนูจันทราจะมีลักษณะที่เล็กไปกว่าธนูฟากฟ้าซะอีก
“ติ้ง! ได้รับอาวุธระดับสรวงสวรรค์ธนูจันทรา จำเป็นจะต้องผ่านการขัดเกลาใหม่ก่อนที่จะใช้งาน”
“ฮั๊วยู่จิง” ลู่โจวเห็นชื่อที่ถูกสลักเอาไว้บนคันธนูจันทรา
ชานหยุนเจิ้งในตอนนี้ได้แต่ก้มหัวลง นางไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา หลักฐานที่ติดอยู่บนคันธนูรัดตัวนางจนยากที่จะแก้ตัว ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปเป็นสีแดงด้วยความอับอาย ในตอนนี้ความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผยแล้วนั่นเอง
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเฉยเมย “เจ้ามีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกไหม?”
ชานหยุนเจิ้งไม่มีทางเลือกอะไรอีกต่อไป ถ้าหากนางตายไป อาวุธที่นางมีก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป ดังนั้นนางจึงยอมรับผิดแต่โดยดี “ไม่มี…”
“ดี”
ลู่โจวมองไปที่ฮั๊วยู่จิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตัวเขาเหลือบมองไปที่ฮั๊ววู่เด๋าด้วยเช่นกัน “ก็ยังดีที่เจ้ากล้ายอมรับสิ่งที่ทำลงไป ยังไงซะครั้งหนึ่งเจ้าก็ยังเคยเป็นอาจารย์ของฮั๊วยู่จิงมาก่อน ข้าจะไว้ชีวิตของเจ้าสักครั้ง”
ชานหยุนเจิ้งที่ได้ยินแบบนั้นรู้สึกโล่งอก นางดีใจที่ได้รับการอภัย แต่ถึงแบบนั้นนางก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ดีที่จะต้องเสียธนูจันทราไป นางพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อพูดขอบคุณ “ขอบคุณท่านปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า”
ชานหยุนเจิ้งคิดว่าตัวนางสามารถออกไปจากศาลาปีศาจลอยฟ้าได้แล้ว แต่ในตอนนั้นเองก็มีสาวกหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาซะก่อน “ท่านปรมาจารย์ สัตว์ขี่ที่มาจากสำนักลั่วกำลังอาละวาดค่ะ”
ชานหยุนเจิ้งขมวดคิ้ว
ฝานซงได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าเห็นว่าสำนักลั่วร่ำรวยมาก ไม่คิดเลยว่าสัตว์ขี่ตัวเดียวก็ยังควบคุมไม่ได้”
โฮร๊ก!
เสียงคำรามได้ดังกึกก้องมาจากด้านนอก
ลู่โจวรู้สึกว่าเสียงคำรามของสัตว์ร้ายตัวนั้นฟังดูคุ้นหู ตัวเขารู้สึกว่าเคยได้ยินเสียงของมันในก่อนหน้านี้ แต่ก็จำไม่ได้ว่าได้ยินมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“ท่านอาจารย์ศิษย์ยินดีที่จะไปปราบสัตว์ขี่นั่นเอง ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ไม่ใช่สนามเด็กเล่นที่จะอาละวาดได้แบบนี้!” ต้วนมู่เฉิงได้ยกหอกราชนัย์ขึ้นมา
ชานหยุนเจิ้งรีบพูดขึ้น “ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้นแล้ว…สัตว์ขี่ตัวนี้เป็นของผู้อาวุโสคนที่สามแห่งสำนักลั่ว ข้าก็แค่ยืมมันมาใช้เดินทางก็เท่านั้น มันคงยังไม่เชื่องอย่างสมบูรณ์ ได้โปรดเมตตาด้วยท่านผู้อาวุโส! ข้าจะเอามันออกไปจากที่นี่เอง!”
โฮร๊ก!
สาวกหญิงอีกคนรีบเดินเข้ามา นางรีบพูดออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน “ท่านปรมาจารย์ เกิดเรื่องขึ้นแล้ว สัตว์ขี่นั่น…กำลังปล่อยพิษออกมา!”
“ปล่อยพิษอย่างงั้นหรอ?”
“เป็นไปได้ไงกัน?” ชานหยุนเจิ้งสับสน
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “สัตว์ชั้นต่ำ พาข้าไปหามันซะ”
ชานหยุนเจิ้งรู้สึกอยากจะร้องไห้ นางได้ยอมมอบอาวุธอย่างคันธนูจันทราเพื่อเป็นการรักษาชีวิตของตัวเองไปแล้ว นางยังจะต้องยอมทิ้งสัตว์ขี่อีกด้วยอย่างงั้นหรอ? สัตว์ขี่ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าอาวุธมาก เมื่อสัตว์ขี่ตัวไหนยอมรับผู้ฝึกยุทธสักคนเป็นเจ้านายของมัน มันก็จะเชื่องอยู่กับผู้ฝึกยุทธคนนั้นเพียงคนเดียว การที่จะทำให้มันเชื่องกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นได้เป็นอะไรที่ยากไปกว่าการขัดเกลาอาวุธ เพราะแบบนั้นจึงไม่มีใครคิดที่จะเปลี่ยนสัตว์ขี่ที่มีเจ้าของแล้วให้กลายเป็นของตัวเอง
ทุกๆ คนได้เดินตามลู่โจวออกมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้า
ชานหยุนเจิ้งรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้น นางวิ่งไปพร้อมกับสาวกทั้งสี่คนที่มาพร้อมกับนาง เมื่อมองขึ้นไปนางก็เห็นสัตว์ขี่ที่มีรูปร่างคล้ายหมาป่ากำลังปล่อยควันสีม่วงออกมา มันกำลังบินวนไปรอบท้องฟ้า
ควันสีม่วงที่ถูกปล่อยออกมาค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้น
“นี่มันพิษจริงๆ ด้วย!”
ซู่ว!
ซู่ว!
ทุกๆ คนต่างก็ใช้พลังป้องกันตัวเองเมื่อเห็นควันสีม่วงกำลังลอยเข้าใส่
“นั่นมันสัตว์ขี่อะไรกัน?” ฝานซงได้ถามออกมาอย่างสงสัย
“บอกให้มันลงมาซะก่อนที่มันจะปล่อยพิษมากกว่านี้!” โจวจี้เฟิงรีบพูดออกมาอย่างเร่งรีบ
ชานหยุนเจิ้งที่เป็นผู้รับผิดชอบรีบบินขึ้นไปบนอากาศ “ลงมาซะ!”
ในตอนนั้นเองสัตว์ขี่ตัวนั้นก็ได้เปลี่ยนทิศทางในการบินอย่างกะทันหัน ที่ดวงตาของมันเปล่งประกายออกมาก่อนที่จะโจมตีชานหยุนเจิ้งด้วยความเร็วดุจดั่งสายฟ้า
“ผู้อาวุโสชาน” สาวกของชานหยุนเจิ้งได้ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทุกๆ คนต่างก็ตกตะลึงกับการเคลื่อนไหวของสัตว์ขี่ตัวนั้น
ชานหยุนเจิ้งเป็นมือธนู นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าสัตว์ขี่ที่นางขี่มาจะโจมตีตัวนางเองแบบนี้
พรึ๊บ!
ชานหยุนเจิ้งล้มลง แม้ว่าจะถูกโจมตีแต่นางก็ยังใช้พลังป้องกันการโจมตีส่วนใหญ่เอาไว้ได้!
โฮร๊ก!
หมาป่าสีม่วงมีขนาดตัวที่ขยายใหญ่ขึ้น ตอนนี้มันดูน่าเกลียดน่ากลัวมากยิ่งกว่าเดิม
ต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว “ท่านอาจารย์ได้โปรดจัดการสัตว์ร้ายด้วยเถอะ!”
ลู่โจวเหลือบมองก่อนที่จะส่ายหัว “นี่ไม่ใช่พิษธรรมดา มันแฝงไปด้วยเวทมนตร์คาถา…”
“เวทมนตร์คาถา?!”
คนอื่นๆ ที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็ตกใจ
เมื่อได้ยินสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์คาถาเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะต้องนึกถึงม่อหลี่
“สัตว์ขี่ตัวนี้ใช้เวทมนตร์คาถาได้ยังไงกัน?”
ในขณะนั้นเองมันก็เริ่มปล่อยพิษไปบนอากาศมากยิ่งขึ้น
ชานหยุนเจิ้งรีบคุกเข่าก่อนจะพูดออกมา “ท่านปรมาจารย์ นี่จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปแล้วแน่ๆ ถ้าหากสำนักลั่วตั้งใจที่จะเป็นศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ข้าก็คงไม่ต้องมาที่นี่ จะต้องมีใครพยายามสร้างความบาดหมางระหว่างพวกเราทั้งสองฝ่ายแน่!”
ในตอนนั้นเองฮั๊วยู่จิงก็ได้เสกธนูพลังงานของนางออกมา นางได้ปล่อยลูกธนูสีทองเข้าโจมตีสัตว์ขี่ตัวนั้นในทันที
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
ลูกธนูพลังงานทั้งสามดอกได้พุ่งไปบนท้องฟ้า มันได้พุ่งไปราวกับอุกกาบาตก่อนที่จะพุ่งเข้าหาสัตว์ขี่หมาป่าที่กำลังลอยอยู่
นี่เป็นทักษะของมือธนู มือธนูทั้งหลายมักจะคาดการณ์ได้ว่าศัตรูจะเคลื่อนไหวไปยังทิศทางใด
ชานหยุนเจิ้งยืนขึ้นก่อนที่จะใช้ธนูพลังงานเช่นกัน ด้วยพลังของผู้ที่มีอวตารดอกบัวหกกลีบทำให้นางสามารถปล่อยลูกธนูพลังงานไปทั่วทั้งท้องฟ้าได้
ตู๊ม!
ธนูแต่ละลูกถูกยิงออกมาในเวลาที่ต่างกัน แต่ถึงแบบนั้นลูกธนูทั้งหมดก็ไปถึงตัวของสัตว์ขี่ตัวนั้นในเวลาเดียวกัน
ทุกๆ คนตกใจมากเมื่อได้เห็นเช่นนั้น
ฮั๊วยู่จิงเองก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ฮั๊ววู่เด๋าตบไหล่ของนางก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก เจ้าจะต้องเหนือกว่านางในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแน่ ท้ายที่สุดแล้วเจ้าเพิ่งจะมีพลังอวตารดอกบัวสองกลีบเท่านั้น แต่นางน่ะมีอวตารดอกบัวหกกลีบแล้ว”
“ข้าขอบคุณจริงๆ ที่ท่านให้กำลังใจข้า ผู้อาวุโสฮั๊ว” ฮั๊วยู่จิงพูดขอบคุณ
ชานหยุนเจิ้งไม่มีเวลาที่จะมาสนใจเรื่องของทั้งสองคน สายตาของนางในตอนนี้เฉียบคมราวกับสายตาอินทรี มันเป็นความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ที่มือธนูจะสามารถใช้งานได้ นางจะต้องปราบสัตว์ขี่ตัวนี้ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นสำนักลั่วจะต้องผิดใจกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่
ชานหยุนเจิ้งยิงธนูที่รุนแรงมากกว่าเดิมไปที่สัตว์ขี่ตัวนั้น ในตอนแรกนางได้ยิงธนูสามนัดซ้อนในครั้งเดียว แต่ในตอนนี้นางได้ยิงธนูสิบดอกซ้อนภายในครั้งเดียวแล้ว การยิงธนูของนางทำให้บนภูเขาทองเต็มไปด้วยแสงสว่างราวกับว่ามันเป็นแสงจากดอกไม้ไฟ
แม้ว่าจะโจมตีไปมากมายขนาดไหนแต่สัตว์ขี่ตัวนั้นก็มีพลังป้องกันที่ยอดเยี่ยมอยู่ดี มันได้ส่งเสียงคำรามออกมาอีกหลายครั้ง นอกจากเสียงคำรามแล้วดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย มันเริ่มปล่อยควันพิษด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
สัตว์ขี่ตัวนั้นดูเหมือนจะบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น มันได้บินไปมาระหว่างเมฆแต่ละก้อนอย่างรวดเร็ว
โฮร๊ก!
ใครจะไปตามความเร็วของมันทันกัน? แม้ว่าจะใช้สุดยอดเคล็ดวิชาก็ตาม แต่การที่จะตามสัตว์ขี่ทันได้ก็ยังดูเหมือนเป็นไปไม่ได้อยู่ดี ถ้าหากยอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญในการใช้ธนูอย่างชานหยุนเจิ้งไม่สามารถจัดการได้ คนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้เช่นกัน!