เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายแห่งสำนักลั่วได้แต่ขมวดคิ้ว
“รถม้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ?”
“เตรียมพร้อมรับมือกับศัตรูซะ!”
ภายในสำนักลั่วเริ่มที่จะเกิดความวุ่นวายขึ้นมา
เหล่าศิษย์สาวกต่างก็จ้องมองไปที่รถม้าล่องเมฆาอย่างตั้งใจราวกับว่าทุกคนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจอยู่
“นี่จะต้องมีอะไรไม่ถูกต้องแน่ รถม้าลอยฟ้านั่นผ่านม่านพลังมาได้ยังไงกัน?” ชานหยุนเจิ้งก้าวไปที่ด้านหน้า “แปลกจริงๆ …มีเพียงเหล่าสาวกคนสำคัญเท่านั้นที่จะรู้วิธีการผ่านม่านพลังอย่างถูกต้อง แล้วพวกศาลาปีศาจลอยฟ้าจะผ่านม่านพลังมาได้ยังไงกัน?”
“ไม่มีเวลาที่จะมามั่วตกตะลึงแล้ว คนจากสำนักเทียนกับสำนักหยุนมาถึงแล้วรึยัง?”
สาวกคนหนึ่งได้ตอบคำถามมา “พวกเขากำลังเดินทางมาแล้วครับ”
ผู้อาวุโสแห่งสำนักลั่วมองไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นๆ ในตอนนี้ทุกที่ถูกบดบังเอาไว้ด้วยหมู่เมฆ
รถม้าล่องเมฆาได้ลอยผ่านม่านพลังไปอย่างง่ายดายก่อนที่จะไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักลั่ว เมื่อเห็นสถานการณ์เลวร้ายลงก็มีใครบางคนตะโกนออกมา “เตรียมหน้าไม้จู่โจมซะ!”
ก่อนที่จะได้จู่โจม ในตอนนั้นเองก็มีเสียงใครบางคนดังขึ้นมาจากรถม้าซะก่อน “ข้าลู่ปิงเอง ทุกคนสงบลงซะ!” เสียงของลู่ปิงได้ดังไปทั่วท้องฟ้าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เหล่าสาวกจากสำนักลั่วต่างก็แลกเปลี่ยนความเห็นกัน เหล่าสาวกต่างก็รู้สึกสับสนเช่นกัน จดหมายจากลู่ปิงได้บอกเองว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะมาที่นี่ แต่ผู้ที่นำคนจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามาถึงที่นี่ก็คือผู้อาวุโสลู่ปิงซะเอง นี่มันหมายความว่าอะไรกันแน่?
หวือ! หวือ! หวือ!
พลังลมปราณได้โอบล้อมไปที่ตัวรถม้าเอาไว้ มันได้เปลี่ยนเส้นทางก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรก มันเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างยอดเทือกเขาแรกและยอดเทือกเขาที่สอง
ทั้งสามสำนักมียอดเขาอยู่ 20 ยอดและดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีก 10 แห่งด้วยกัน สำนักหยุนจะมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ 3 แห่งและยอดเขาของตัวเอง 6 ยอด สำนักเทียนจะมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ 3 แห่งและยอดเขาของตัวเอง 6 ยอด และสำนักลั่วจะมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ 4 แห่งและมียอดเขาเป็นของตัวเอง 8 ยอดด้วยกัน
ถ้าหากจะวัดจากดินแดนที่มีเพียงอย่างเดียวก็รู้แล้วว่าสำนักลั่วนั้นทรงพลังมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนที่เหลือที่ไม่ได้ถูกนับอยู่ ที่นั่นจะถูกเรียกว่าดินแดนคุณธรรมแห่งสวรรค์ มันเป็นชื่อที่ถูกตั้งตามชื่อจากทั้งสามสำนักที่ถูกขนาบข้างไปด้วยยอดเขาทั้งสอง บนดินแดนแห่งนั้นจะมีปรมาจารย์ของทั้งสามสำนักเก็บตัวฝึกฝนตัวเองอยู่
รถม้าล่องเมฆาได้พุ่งผ่านก้อนเมฆที่มีไป ในตอนนั้นเองลู่ปิงก็ได้หันมามอง ตัวเขากำลังมองหมิงซี่หยินเหมือนกับกำลังต้องการความช่วยเหลือ
หมิงซี่หยินได้ก้าวไปที่ด้านหน้าเพื่อที่จะควบคุมรถม้าแทนลู่ปิง ไม่นานนักรถม้าก็ได้หยุดอยู่เหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรก
ลู่ปิงเป็นคนแรกที่กระโดดลงไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เหล่าผู้อาวุโสที่เห็นลู่ปิงลงมาก็ยิ่งรู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่
“ผู้อาวุโสลู่ นี่มันหมายความว่าอะไรกัน?”
ลู่ปิงรีบบอกเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นไป เมื่อชานหยุนเจิ้งได้ยินเช่นนั้นนางก็ได้แต่ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านปรมาจารย์บัดนี้ยังเก็บตัวฝึกฝนตัวเองอย่างสันโดษอยู่ การทำแบบนี้มันออกจะไม่เหมาะสมไปหน่อยหรอ?”
“ข้าเองก็ได้พูดเช่นนั้นแล้ว” ลู่ปิงได้พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งสองคนต่างก็รู้ดีว่าชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าแข็งแกร่งมากแค่ไหน เพราะแบบนั้นพวกเขาทั้งคู่จึงไม่กล้าออกความคิดเห็นอะไรมากนัก
ในทางกลับกันผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็เต็มไปด้วยความมั่นใจและไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ เมื่ออยู่ในดินแดนของตัวเองอย่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ที่นี่ถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกของสำนักลั่ว เหล่าสาวกทั้งหมดรวมไปถึงผู้อาวุโสของสำนักลั่วต่างก็อยู่ที่นี่จนหมดแล้ว นอกจากนี้พวกเขายังมีม่านพลังรวมไปถึงเขตแดนพลังอีกนับไม่ถ้วน แม้ว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะน่ากลัวแค่ไหนแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเหล่าสาวกของสำนักลั่วจะต้องรู้สึกกลัว
ผู้อาวุโสคนหนึ่งได้ลอยขึ้นไปบนอากาศ “ข้าขอโทษจริงๆ ท่านปรมาจารย์ของพวกเรากำลังเก็บตัวฝึกฝนตัวเองอยู่ ท่านปรมาจารย์ไม่คิดที่จะรับแขก ข้าขอให้ท่านกลับไปแต่โดยดีด้วยเถอะ” น้ำเสียงของเขาดังไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรก
ลู่โจวได้กวาดตามองเหล่าสาวกจากสำนักลั่วที่มารวมตัวกันที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ถึงจะกวาดตามองแต่ตัวเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หมิงซี่หยินเป็นคนที่อาสาพูดแทน ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างชัดเจน “ท่านอาจารย์ของข้ากับผู้อาวุโสแห่งสำนักหยุนรู้จักกันมานานแล้ว ท่านอาจารย์ของข้าไม่ได้เจอผู้อาวุโสจากสำนักหยุนมานานแล้วด้วย ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะส่งข้อความไปก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ”
นี่ถือว่าเป็นความใจดีที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าหยิบยื่นให้ แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ยังไม่เต็มใจเท่าไหร่ ถ้าหากตัวเขาเลือกที่จะใช้วิธีเก่าแก่ ตัวเขาก็คงจะกระโดดลงมาก่อนที่จะเริ่มโจมตีโดยไม่พูดไม่จาแล้ว แต่ในตอนนี้อาจารย์ของเขาได้เปลี่ยนแปลงไป ‘ถ้ามีเพียงผู้อาวุโสอย่างชานหยุนเจิ้งอยู่ การต่อสู้จะต้องเหมาะกับข้าแน่’
น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสทั้งหมดยังคงยืนกรานคำเดิม “ต้องขอโทษด้วย ท่านปรมาจารย์ได้ออกคำสั่งนั้นไว้ก่อนที่จะแยกตัวออกไปอย่างสันโดษ ท่านปรมาจารย์ไม่คิดที่จะรับแขกคนใด ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ดูเหมือนว่าท่านจะมาเสียเที่ยวแล้ว”
“เฮ้! ข้าสุภาพมามากพอแล้ว! บอกที่อยู่ของปรมาจารย์พวกเจ้ามาซะ!” หมิงซี่หยินรู้สึกรำคาญเป็นอย่างมากที่ได้ยินเช่นนั้น ตัวเขาอดไม่ได้ที่จะกลับไปใช้วิธีการพูดตามปกติ เสียงของเขาได้ดังก้องไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ทุกๆ คนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็หันไปพูดคุยกันเอง
หมิงซี่หยินรู้สึกดีขึ้นมากที่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา
‘นี่คือสิ่งที่สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าสมควรที่จะทำแล้วสินะ’
เมื่อหมิงซี่หยินสัมผัสได้ว่าทุกคนมองมาทางตัวเขา ตัวเขาก็ได้แต่เกาหัวก่อนที่จะพูดออกมา “เอ่อ…ขอโทษด้วยที่ข้าหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ แต่ไม่เห็นจะจำเป็นที่ต้องสุภาพกับคนพวกนี้เลยนิ! ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังไม่ชำระแค้นที่มีต่อสำนักหยุนอีกด้วย!”
ฮั๊ววู่เด๋าได้ยกนิ้วชื่นชมให้กับหมิงซี่หยิน
ในตอนนี้ใบหน้าของลู่โจวยังคงสงบเช่นเคย ตัวเขาไม่คิดที่จะพูดอะไรออกมา
หมิงซี่หยินรู้สึกโล่งใจ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ไม่ถูกทำโทษอะไร
ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมา “ทำไมศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงทำตัวเป็นใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ สำนักลั่วได้ส่งคนไปขอขมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้ว พวกเจ้ายังไม่พอใจกันอีกอย่างงั้นสินะ?”
“เสียเวลาจริงๆ!”
พรึ๊บ!
เคียวพื้นพิภพของหมิงซี่หยินได้ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือของเขา
เมื่อมีเหล่ายอดคนทั้งหลายอยู่ที่ด้านหลังหมิงซี่หยินก็กล้าหาญขึ้นมาเป็นพิเศษ!
อาวุธระดับสรวงสวรรค์บนมือของเขาได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว ไม่นานนักมันก็ได้ปล่อยพลังออกมา
ตู๊ม!
ผู้อาวุโสคนเดิมไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อเห็นการโจมตีเข้ามาใกล้ตัวเขาก็ได้ปลดปล่อยพลังออกมาเพื่อป้องกันการโจมตีจากเคียวพื้นพิภพเอาไว้ ตัวเขาได้เงยหน้าขึ้นมามองหมิงซี่หยินด้วยความหวาดกลัวก่อนที่จะถอยกลับไป
เคียวพื้นพิภพได้หมุนกลับเข้าหามือของหมิงซี่หยินอีกครั้ง
ด้วยการโจมตีของหมิงซี่หยินทำให้เหล่าสาวกรวมไปถึงผู้อาวุโสของสำนักลั่วบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็บินขึ้นไปบนอากาศ ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“ไม่ ไม่ ไม่นะ…” ลู่ปิงน้ำตาคลอ ตัวเขาได้โบกแขนของตัวเองเพื่อที่จะหยุดไม่ให้ทุกคนได้ต่อสู้กัน
ผู้อาวุโสคนที่สี่ที่เห็นแบบนั้นรู้สึกไม่พอใจลู่ปิง “ผู้อาวุโสลู่ ท่านกำลังทำอะไรกัน?”
ลู่ปิงที่อยู่ไม่ไกลนักได้ตะโกนออกมาอย่างเร่งรีบ “เจ้าพวกโง่!”
เหล่าผู้อาวุโสทีได้ยินดังนั้นต่างก็สบตากัน
ลู่ปิงกำลังสาปแช่งฝ่ายเดียวกันเพื่อปกป้องคนนอกอย่างงั้นหรอ? ผู้อาวุโสคนนี้เสียสติไปแล้วอย่างงั้นสินะ?
ลู่ปิงได้พูดออกมาอย่างจริงจัง “ฟังข้าซะ เหล่าผู้คนที่อยู่บนรถม้านั่น…ไม่ใช่คนที่พวกเราจะเอาชนะได้หรอก!”
มันร้ายแรงถึงขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ?
แท้จริงแล้วสำนักลั่วไม่ต้องการที่จะสร้างศัตรูใหม่ ไม่มีใครอยากที่จะสร้างศัตรูโดยที่ไม่จำเป็น
“ปรมาจารย์ของพวกเรายังอยู่ที่นี่ ลู่ปิง เจ้ากล้าดียังไงที่มาดูถูกพวกเราศิษย์สำนักลั่วแบบนี้กัน เจ้าจะต้องถูกลงโทษสถานหนักแน่!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดดูถูกลู่ปิงกลับมา
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงอันแหบแห้งดังขึ้นมาจากรถม้า “ข้าคิดว่าลู่ปิงเป็นคนที่พอจะมีไหวพริบอยู่บ้างมากกว่า” เล้งลั่วที่ได้พูดได้ลอยลงมาจากรถม้า แม้ว่าพลังวรยุทธของเขาจะยังไม่ฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ แต่การที่จะลอยลงมาจากกลางอากาศได้ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับยอดฝีมืออย่างเขาเลย
เล้งลั่วได้โฉบไปที่ด้านหน้ารถม้าก่อนที่จะลดระดับความสูงลง เสื้อผ้าสีดำรวมไปถึงหน้ากากสีเงินของเขาได้ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นรู้สึกสั่นกลัวขึ้นมา
“นี่คือปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ?” สาวกสำนักลั่วต่างก็หวาดผวาชายที่อยู่ตรงหน้า
เล้งลั่วได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าน่ะยังไม่คู่ควรที่จะคุยกับปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าหรอก…ให้ข้าได้คุยแทนท่านปรมาจารย์เถอะ”
ลู่ปิงรีบแนะนำชายชุดดำอย่างรวดเร็ว “ชายคนนี้ครั้งหนึ่งเคยมีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำอันดับสูงสุดเมื่อ 300 ปีก่อน เขาก็คือยอดฝีมือเล้งลั่วนั่นเอง”
เหล่าผู้อาวุโสดวงตาเบิกกว้าง เมื่อพวกเขาคิดถึงการโจมตีก่อนหน้านี้ ทุกคนก็เริ่มรู้สึกสั่นกลัวขึ้นมาในทันที แม้แต่มือของเหล่าผู้อาวุโสก็กำลังสั่นเครือ
มีชายอีกคนได้ปรากฏตัวออกมาจากบนฟากฟ้า
ชายคนนั้นได้ผ่านม่านพลังชั้นต่างๆ ที่อยู่บนท้องฟ้าไปอย่างง่ายดาย ตัวเขาได้ร่อนลงบนต้นไม้ต้นหนึ่งที่สูงตระหง่านก่อนที่จะลงมาสู่พื้นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาดูไม่ธรรมดา แน่นอนว่าชายคนนี้จะต้องมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำแน่ ใบหน้าของชายคนนั้นถูกปิดบังเอาไว้ด้วยหนวดเครา ดวงตาของเขาดูเร่าร้อนดุจดั่งเปลวไฟ
เหล่าสาวกของสำนักลั่วได้มองไปที่ชายคนนั้นก่อนที่จะอุทานออกมา “ผู้อาวุโสสูงสุดมาถึงที่นี่แล้ว”
“ข้าน้อยขอคารวะผู้อาวุโสสูงสุด!”
เหล่าสาวกสำนักลั่วต่างก็โค้งคำนับให้
ชายวัยกลางคนที่เพิ่งจะมาถึงหนวดเครายาวไปถึงเสื้อคลุม ชายคนนี้ก็คือผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักลั่ว จือหนาน
จือหนานลอยอยู่เหนือสาวกสำนักลั่ว
เมื่อตัวเขามาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็เงียบสงบในทันที
ดวงตาของทุกคนกำลังจับจ้องไปที่จือหนาน
สายตาของจือหนานเต็มไปด้วยพลัง ตัวเขาได้คารวะให้กับเล้งลั่วก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักลั่ว จือหนานขอทักทายพี่เล้ง”
เล้งลั่วได้ตอบกลับมา “จือหนานอย่างงั้นหรอ? เป็นเวลากว่าศตวรรษแล้วสินะที่พวกเราไม่ได้พบกัน เจ้าได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักลั่วไปแล้วงั้นหรอ?”
“มันเป็นแค่โชคดีสำหรับข้าเท่านั้น ข้าได้ยินมาว่าศาลาปีศาจลอยฟ้ามาถึงแล้ว แต่ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะมีค่าคู่ควรที่จะทักทายท่านปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้” จือหนานพูดขึ้น
“ดีแล้วที่เจ้ารู้ตัว” เล้งลั่วได้พูดออกมาอย่างห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงอันแหบพร่า