ลู่โจวมองไปที่ของทุกอย่างที่ถูกนำออกมา เป็นธรรมดาที่ตัวเขาจะจดจำของบางอย่างจากในความทรงจำได้ ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะจ้องมองพวกของลู่ปิง การที่ลู่ปิงมาที่นี่ก็เพื่อที่จะขอขมาตัวเขา แล้วทำไมลู่ปิงถึงได้เอาของพวกนี้มากันด้วย?
ก่อนที่จะได้ถามอะไรลู่ปิงก็ได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมาซะก่อน “ท่านผู้อาวุโสจี ทั้งสี่คนนี้คือผู้ช่วยเหลือที่น่าเชื่อถือมากที่สุดสำหรับข้าในสำนักลั่ว พวกเขาเองยังมีทักษะในการขัดเกลาอาวุธอีกด้วย ข้าได้ยินมาว่าชานหยุนเจิ้งได้มอบคันธนูจันทราให้กับแม่น่าฮั๊วยู่จิงไปแล้ว…”
แคล๊ง!
“วางเอาไว้ตรงนั้นแหละ!” ต้วนมู่เฉิงได้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับหอกราชันย์ที่มีอยู่ในมือ ต้วนมู่เฉิงได้ทำให้ลู่ปิงตกใจกลัว ลู่ปิงที่ได้ฟังแบบนั้นสั่นไปทั้งตัว ตัวเขาเองไม่กล้าที่จะส่งเสียงหายใจออกมาดังๆ ด้วยซ้ำไป
ลู่ปิงรู้สึกประหม่าเป็นอย่างมาก เขาถือว่าเป็นผู้อาวุโสคนที่สามของสำนักลั่ว แต่ถึงแบบนั้นตัวเขากลับไม่ได้ความเคารพนับถือในศาลาปีศาจลอยฟ้าเลย
“ข้าจะต้องการแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้น…ชานหยุนเจิ้งไม่ได้มอบคันธนูจันทราให้กับฮั๊วยู่จิงตั้งแต่แรก บัดนี้ธนูจันทราได้กลับคืนสู่มือของเจ้าของเดิมของมันแล้ว” ต้วนมู่เฉิงจ้องไปที่ลู่ปิง
“ถูก ถูกต้องแล้ว…บัดนี้คันธนูจันทราได้ส่งคืนสู่มือแม่นางฮั๊วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” ลู่ปิงอยากที่จะเอามือก่ายหน้าผากตัวเอง ตัวเขาได้แต่สาปแช่งชานหยุนเจิ้งอยู่ภายในใจอีกครั้ง “คันธนูจันทราได้ยอมรับแล้วว่าชานหยุนเจิ้งเป็นผู้ที่เป็นเจ้าของของมัน เพราะแบบนั้นข้าจึงได้นำคนของข้าทั้งสี่มาที่นี่ก็เพื่อที่จะขัดเกลาธนูจันทราให้กลับมาใช้งานได้ใหม่อีกครั้ง”
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นพยักหน้าพลางลูบเคราไปด้วย ตัวเขาได้แต่ใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง ‘ฉันเองก็ไม่ได้เครื่องรางขัดเกลามาสักชิ้น บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีแล้วที่จะให้เจ้าพวกนี้ลองขัดเกลาอาวุธดู’
ทักษะการขัดเกลาอาวุธถือว่าเป็นทักษะที่หาได้ยากมากในโลกของการฝึกยุทธ แต่ไม่แปลกเลยที่สำลักลั่วจะมีคนมีความสามารถเช่นนี้
“แล้วเจ้ามั่นใจมากแค่ไหนล่ะ?” ลู่โจวถามออกมา
“มากกว่าหกในสิบส่วน” ลู่ปิงได้พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ
นั่นเป็นอัตราความสำเร็จที่นับว่าสูงแล้ว แม้ว่าจะล้มเหลวสิ่งที่จะต้องเสียไปก็มีแต่ความพยายามอีกครั้ง
“แล้วจะใช้เวลานานแค่ไหนกันล่ะ?”
“10 วัน”
เวลา 10 วันนั้นรวดเร็วมาก แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็จะต้องมีของที่จำเป็นในการใช้ที่มากพอ ถ้าหากไม่มีของที่มากพอการขัดเกลาอาวุธคงจะเสร็จสิ้นในอีกหลายเดือนแน่ แม้แต่ของที่ใช้ในการขัดเกลาเองก็ยังหาได้ยาก ถ้าเป็นวิธีการขัดเกลาทั่วๆ ไปคงจะต้องใช้เวลานานกว่านี้แน่
จากนั้นลู่ปิงก็ได้พูดออกมา “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาขอขมาจากใจจริง โปรดยกโทษให้กับความผิดพลาดของข้าด้วยท่านผู้อาวุโส”
ลู่โจวลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินลงมาตามบันได ตัวเขากำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าของทั้งหมดก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้ารู้จักกับผู้ฝึกยุทธผู้ใช้เวทมนตร์คาถาได้ยังไงกัน?” หลังจากที่พูดจบลู่โจวก็ได้หยิบเหล็กทั้งหลายรวมไปถึงหินที่ใช้ในการขัดเกลาขึ้นมาดู ลู่โจวได้ประเมินมันในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะวางกลับลงไป
“ข้าเคยไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เมื่อ 10 วันก่อน และข้าก็ได้เป็นสหายกับชายคนนั้นที่นั่น มันเป็นความผิดของข้าเองที่โลภมากรับสัตว์ขี่ตัวนั้นมา” ลู่ปิงพูดขึ้น
“แล้วคนคนนั้นอยู่ที่ไหนกัน?” ลู่โจวยังคงถามต่อ
“ก็คงจะอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์นั่นแหละ” ลู่ปิงได้พูดต่ออย่างหมดหนทาง “หลังจากที่สัตว์ขี่ได้ตายจากไปแล้ว ข้าก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้อีกเลย”
ลู๋โจวไม่ได้คิดว่าคนคนนั้นจะยังอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ องค์ชายสองได้สิ้นพระชนม์ลงไปแล้ว และม่อหลี่เองก็ตายไปแล้วเช่นกัน ชายคนนั้นไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป
ลู่ปิงได้พูดต่อ “ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้เองท่านผู้อาวุโส”
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า…แต่ไม่ว่าจะยังไงเจ้าก็จะต้องตอบคำถามข้าอย่างตรงไปตรงมา”
ลู่ปิงโค้งคำนับให้อย่างเร่งรีบ “ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้เอง”
“ดีมาก”
ลู่โจวหยุดพูดชั่วขณะก่อนที่จะเอามือไขว้หลังและถามออกมา “ตอนนี้หยุนเทียนลั่วอยู่ที่ไหนกัน?”
ถ้าหากเป็นคนอื่นถาม ลู่ปิงคงจะโกรธไปแล้ว แต่ลู่โจวเป็นคนรุ่นเดียวกันกับปรมาจารย์หยุนเทียนลั่ว บางทีลู่โจวอาจจะเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเอ่ยนามของปรมาจารย์ได้แบบนี้ ตัวเขาได้ตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมา “ท่านปรมาจารย์ได้แยกตัวไปฝึกฝนอย่างสันโดษมาโดยตลอด”
“เขาอยากที่จะทำลายขีดจำกัดงั้นสินะ?” ลู่โจวได้ถามออกมา
“ถูกต้องแล้ว…” ลู่ปิงพูดตอบกลับตะกุกตะกัก นี่เป็นความลับของสำนักลั่วนั่นเอง แต่เมื่อเห็นท่าทีของลู่โจวที่ดูเอาจริงเอาจังตัวเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเปิดเผยความลับนี้
“หยุนเทียนลั่วฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบมานานแล้ว เวลาได้ผ่านมาเนิ่นนานแล้วเขายังฝึกฝนตัวจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบยังไม่ได้อีกอย่างงั้นหรอไงกัน?”
ลู่ปิงตกใจมากเมื่อได้ยินคำว่าอวตารดอกบัวเก้ากลีบ “ท่านผู้อาวุโสอย่าล้อเล่นกับข้าเลย การที่จะฝึกฝนตัวเองไปถึงอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้เป็นอะไรที่ยากมาก…” ลู่ปิงต้องการที่จะบอกว่าแม้แต่ลู่โจวเองก็ยังไม่อาจทำได้ แน่นอนว่าผู้ที่เป็นปรมาจารย์ของเขาก็ย่อมที่จะทำไม่ได้เช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นลู่ปิงก็ไม่อยากพูดให้ใครผิดใจ ดังนั้นตัวเขาจึงเลือกที่จะไม่พูดออกมาแบบนั้น
“อีกนานแค่ไหนถึงหยุนเทียนลั่วจะมาถึงขีดจำกัด?” ลู่โวได้ถามออกมา นี่เป็นคำถามสำคัญสำหรับตัวเขา
อายุขัยของหยุนเทียนลั่วเป็นเรื่องที่ลึกลับมาโดยตลอด จีเทียนเด๋ามีอายุที่มากกว่าหยุนเทียนลั่วประมาณ 100 ปีด้วยกัน ถ้าหากการเอาชนะขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่จะต้องทำให้คนคนนั้นเสียอายุขัยไปจำนวนหนึ่ง เป็นไปได้สูงว่าหยุนเทียนลั่วจะต้องพบกับจุดจบของตัวเองในเร็ววันนี้
ลู่ปิงรู้สึกอึดอัดใจ ตัวเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะถามเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้
ลู่โจวที่เห็นลู่ปิงลังเลก็ได้ลูบเคราก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ข้ารู้จักกับหยุนเทียนลั่ว เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลอะไร”
ลู่ปิงคิดว่าสิ่งที่ลู่โจวพูดพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง
จีเทียนเด๋าเองก็ใกล้ที่จะถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังไม่ได้ดูประหม่าแม้แต่น้อย ทำไมสำนักลั่วถึงได้กังวลเกี่ยวกับปรมาจารย์ของพวกเขามากถึงขนาดนี้? ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากศาลาปีศาจลอยฟ้าต้องการที่จะโจมตีสำนักลั่วจริงๆ มันก็คงจะเกิดขึ้นมาต้องนานแล้ว ไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องปล่อยให้มาถึงเวลาแบบนี้
“30 ปี”
’ 30 ปีสินะ’ ลู่โจวได้รำพึงอยู่ภายในใจ หยวนดู่ได้ใช้เวลากว่า 100 ปี แต่สุดท้ายตัวเขาก็ล้มเหลว
หยุนเทียนลั่วได้ใช้เวลาไปประมาณกว่า 70 ปีแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังเอาชนะขีดจำกัดที่ยิ่งใหญ่จนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบไม่ได้ ลู่โจวได้คิดเอาไว้ว่าการที่จะเอาชนะผ่านขีดจำกัดที่ยิ่งใหญ่ไปได้คนคนนั้นจะต้องมีเวลาเหลือเป็นอย่างน้อย 100 ปี แต่น่าเสียดายที่ลู่โจวยังมีตัวอย่างน้อยเกินไปที่จะยืนยันทฤษฎีนี้ ลู่โจวได้ถามออกมาอีกครั้ง “แล้วหยุนเทียนลั่วยังฝึกฝนตัวเองอย่างสันโดษอยู่อีกอย่างงั้นหรอ?”
“ถูกต้องแล้ว”
ลู่โจวเอามือไขว้หลังก่อนที่จะถอนหายใจและพูดขึ้น “ความพยายามของพวกที่ดื้อรั้นมักเปล่าประโยชน์เสมอ”
‘ตัวเขาเหลือเวลาอีกแค่ 30 ปีเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นก็พยายามที่จะลอง?’
ลู่ปิงได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจ “ข้าคิดว่าทุกคนที่ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบก็คงอยากที่จะเอาชนะขีดจำกัดด้วยกันทั้งนั้น…สิ่งที่ข้าคิดมันไม่ถูกต้องหรอกหรอท่านผู้อาวุโส?”
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ลู่ปิง ในตอนนั้นเองลู่ปิงก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
ถ้าหากสิ่งที่ลู่ปิงพูดเป็นความจริง การตายของจีเทียนเด๋าอาจจะเกิดขึ้นมาเพราะความผิดพลาดที่จีเทียนเด๋าพยายามที่จะฝึกฝนตัวเองให้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบก็เป็นได้ แม้ว่าการต่อสู้ของจีเทียนเด๋าและสิบยอดฝีมือจะจบลงด้วยการเสมอ แต่ถึงแบบนั้นจีเทียนเด๋าก็ยังได้รับบาดเจ็บกลับมา…ถ้าหากถูกสิบยอดฝีมือโจมตีอีกครั้ง จีเทียนเด๋าก็คงมีแต่จะต้องฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเท่านั้นถึงจะรอดจากการโจมตีมาได้ นั่นเป็นคำอธิบายที่ฟังดูมีเหตุผลมากที่สุดแล้ว
ลู่โจวสงบสติอารมณ์ลงก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าจะให้โอกาสเจ้า”
ลู่ปิงดีใจมาก ตัวเขารีบพูดตอบรับในทันที “ขอบคุณผู้อาวุโส ข้าจะขัดเกลาธนูจันทราภายในสิบวันให้ได้ เพื่อที่จะเปลี่ยนมันให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอีกครั้ง”
“10 วันคงไม่พอหรอก” ลู่โจวพูดขึ้น
“หะ?”
เจียงอาเฉียนก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับเอามือกอดอก ตัวเขาได้มองไปที่ลู่ปิงก่อนที่จะพูดออกมา “ทำไมเจ้าถึงได้โง่ได้ขนาดนี้กัน? ไป่มาเต็มใจที่จะทิ้งสัตว์ขี่ของตัวเองไว้กับเจ้าก็เพื่อที่จะทำให้ศาลาปีศาจลอยฟ้าผิดใจกับสำนักลั่ว ถ้าหากเจ้ารีบกลับไป เจ้าจะต้องถูกฆ่าแน่”
ลู่ปิงที่ได้ฟังแบบนั้นตกใจ เมื่อตัวเขาคิดทบทวนถึงเรื่องนี้ ตัวเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นกลัว ลู่ปิงรีบพูดออกไปอย่างเร่งรีบ “ขอบคุณที่เตือนสติข้าสหาย ขอบคุณมากท่านผู้อาวุโส!”
“พาเขาไปพักได้แล้ว” ลู่โจวโบกมือสั่งการ
ลู่ปิงที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึงไปชั่วขณะ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ทะ…ท่านผู้อาวุโส…”
“อะไรกัน?”
“ข้า…ข้าจะต้องอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าไปอีกนานแค่ไหนกว่าที่ข้าจะ…ข้าจะออกไปได้?” ลู่ปิงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเขาแน่ถ้าหากตัวเขาอยู่ที่นี่นานจนเกินไป
ลู่โจวได้ลูบเคราก่อนที่จะตอบกลับมา “เมื่อลองมาคิดดูให้ดีข้าก็ไม่ได้พบกับหยุนเทียนลั่วมาเป็นเวลานานแล้วด้วย”
เมื่อได้ยินแบบนั้นลู่ปิงก็เริ่มรู้แล้วว่าคำพูดของลู่โจวหมายถึงอะไร ดวงตาของลู่ปิงเบิกกว้าง
เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสจะเป็นคนปกป้องเจ้าในระหว่างการเดินทางกลับสำนักลั่วเองแบบนี้ เจ้านี่ได้รีบเกียรติน่าดูเลยนะ”
“…” ลู่ปิงน้ำตาคลอ
“ไม่จำเป็นจะต้องกังวลอะไร ข้าสนิทกับหยุนเทียนลั่วดี ถ้าหากข้าอยากที่จะก่อเรื่องจริงๆ ข้าก็คงไม่ต้องใช้วิธีที่ยุ่งยากแบบนี้หรอก”
ลู่ปิงเกาหัวของตัวเอง สิ่งที่ลู่โจวพูดออกมาถูกต้องทุกอย่าง แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดี
ในตอนแรกลู่โจวไม่ได้ตั้งใจที่จะไปที่สำนักลั่ว แต่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวตัวเขาจะต้องไปเยี่ยมหยุนเทียนลั่วเป็นการส่วนตัว ลู่โจวอยากที่จะได้ข้อมูลของอวตารดอกบัวเก้ากลีบให้มากกว่านี้ บางทีตัวเขาอาจจะได้รู้ข้อมูลสำคัญมาจากหยุนเทียนลั่วก็เป็นได้
สำนักหยุนเป็นเพียงสำนักเดียวที่มีเรื่องผิดใจกับศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นสำนักหยุนก็ไม่ได้มีกำลังพลที่จะต่อกรกับศาลาปีศาจลอยฟ้าเหมือนกับที่เคยเป็นได้ นอกจากนี้สำนักเทียนและสำนักลั่วก็คงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ดังนั้นการเดินทางไปครั้งนี้จะต้องไม่มีปัญหาแน่
หยุนเทียนลั่วเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 30 ปีเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังคงเก็บตัวฝึกฝนตัวเองอย่างสันโดษ ยิ่งไปเยี่ยมเยียนเขาให้เร็วมากขึ้นเท่าไหร่ก็คงจะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น ลู่โจวตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมเยียนหยุนเทียนลั่วให้เร็วที่สุด
15 วันต่อมา ที่สำนักลั่ว
ภายในห้องประชุม ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกของสำนักลั่ว
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายกำลังจับจ้องไปที่ชานหยุนเจิ้ง ดูเหมือนว่าทุกคนจะดูอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก “ไม่ต้องกังวลไปผู้อาวุโสชาน ลู่ปิงเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเป็นไหนๆ จะต้องไม่มีปัญหาในการเดินทางครั้งนี้แน่”
ชานหยุนเจิ้งที่ได้ฟังแบบนั้นถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านปรมาจารย์ได้บอกกับพวกเราเอาไว้ว่าอย่าได้สร้างศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้า เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้…” ชานหยุนเจิ้งได้เดินไปตามทางอย่างเป็นกังวล
“ทำไมท่านถึงดูเปลี่ยนไปหลังจากที่กลับมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าล่ะ?” ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะเยาะเย้ย
เมื่อชานหยุนเจิ้งนึกถึงลูกศรที่น่าทึ่งของลู่โจว นางก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ในตอนนั้นเองสาวกคนหนึ่งก็ได้ปรากฏตัวที่ห้องประชุม
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย! ผู้อาวุโสลู่ได้ส่งข้อความมาว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะมาเยี่ยมเยียนที่นี่ด้วยตัวเอง!” สาวกคนนั้นได้พูดออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน
“อะไรนะ?!” ผู้อาวุโสลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน ทุกๆ คนล้วนแต่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทางเดียวกัน สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว