หลังจากที่จ้าวยู่ออกจากศาลาทางตะวันออกไป ลู่โจวก็ได้มองไปยังเส้นผมของตัวเอง เส้นผมของตัวเขาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็สามารถบอกได้ว่ามันกำลังดำเข้มขึ้นถ้าเทียบกับในอดีต
หลายครั้งที่ลู่โจวรู้สึกสงสัยว่าเหล่าสาวกของเขาจะตอบสนองแบบไหนเมื่อลู่โจวใช้การ์ดพลังชีวิตฟื้นฟูอายุขัยของตัวเองจนกลับกลายเป็นหนุ่มได้ในชั่วข้ามคืน จีเทียนเด๋าในวัยหนุ่มจะมีหน้าตาที่หล่อเหลาหรือหน้าตาที่น่าเกลียดกันแน่?
จู่ๆ ลู่โจวก็ได้ไอออกมาก่อนที่จะส่ายหัว ‘นี่ฉันคิดฟุ้งซ่านอีกแล้วอย่างงั้นหรอ?’
“ท่านอาจารย์” หยวนเอ๋อรีบกระโดดข้ามกำแพงที่อยู่ด้านนอกศาลาทางตะวันออก หลังจากนั้นนางก็วิ่งมาหาลู่โจวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะปรากฏตัวที่ด้านหน้าตัวเขา “ท่านอาจารย์เรียกหาข้าอย่างงั้นหรอคะ?”
ลู่โจวมองไปที่หยวนเอ๋อ ‘สาวน้อยคนนี้โตขึ้นมากจริงๆ รูปลักษณ์ของนางเองก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน’ หยวนเอ๋อในตอนนี้ได้โตจนกลายเป็นสาวสวยผู้ทรงเสน่ห์แล้ว ดังนั้นถ้าหากพานางออกไปด้วยทั้งแบบนี้นางจะต้องดึงดูดความสนใจได้อย่างแน่นอน
“เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าธรรมดาซะ พวกเราจะเดินทางไปยังมณฑลเหลียง” ลู่โจวได้พูดออกมาในขณะที่ลูบเคราของตัวเอง
หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นรู้สึกดีใจมาก เป็นธรรมดาที่นางจะเฝ้ารอโอกาสที่จะได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก “ข้าจะรีบเปลี่ยนชุดในทันที”
“ท่านปรมาจารย์”
“มีอะไรอย่างงั้นหรอผู้อาวุโสฝาน?” ลู่โจวสับสน ฝานลี่เทียนเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้กับไป่มา ดังนั้นตัวเขาควรที่จะพักฟื้นอยู่ในที่พักของตัวเองมากกว่าที่จะมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาแบบนี้
ฝานลี่เทียนไม่ได้พูดอะไร ตัวเขาได้เดินไปหาลู่โจวด้วยความเคารพก่อนที่จะตรวจสอบรอบตัวให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้คุกเข่าลง
ลู่โจวยิ่งสับสน แม้ว่าตัวเขาจะเห็นภาพแบบนี้จนชินตาแล้ว แต่สถานะที่ฝานลี่เทียนมีในอดีตไม่ธรรมดา และเพราะแบบนั้นมันเลยทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างที่จะพิเศษมากยิ่งขึ้น ครั้งหนึ่งฝานลี่เทียนเป็นหนึ่งในยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ มันเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแบบนั้นถึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ฝานลีเทียนจะคุกเข่าแบบนี้โดยที่ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร
“นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?” ลู่โจวได้ถามออกมา
“ข้ามีเรื่องที่อยากจะขอให้ท่านช่วยเหลือ” ฝานลี่เทียนคารวะให้
“พูดมา”
ฝานลี่เทียนพยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าอยากที่จะวิงวอนท่านแทนองค์ชายสี่”
ลู่โจวไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินเรื่องนี้
เมื่อฝานลี่เทียนออกจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์เมื่อหลายปีก่อน ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปด้วย โชคยังดีที่ตัวเขาได้รับความช่วยเหลือจากองค์ชายสี่ หลังจากที่ตัวเขาได้กลายเป็นทหารมาเป็นเวลากว่าหลายปี เป็นธรรมดาที่ตัวเขาจะต้องตอบแทนบุญคุณที่ได้รับมา
“องค์ชายสี่หลิวปิงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่พรมแดน ตัวเขาได้ปกป้องดินแดนเป็นอย่างดี ในฐานะที่องค์ชายสี่เป็นทหารคนหนึ่ง ข้ารู้ดีว่าเขาก็เป็นคนที่น่านับถือ แต่อย่างไรก็ตาม…”
ลู่โจวถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ทำไมข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณแทนเจ้าด้วยล่ะ?”
“เอ่อ…” ฝานลี่เทียนตกตะลึง ตัวเขาตอบกลับไม่ได้
ลู่โจวได้พูดอีกครั้ง “ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับเขา ทำไมเจ้าจะต้องขอร้องอ้อนวอนกับข้าด้วยล่ะ?”
เมื่อได้ฟังแบบนั้นความคิดที่ฝานลี่เทียนมีก็เริ่มกระจ่างในทันที ที่ลู่โจวพูดมันฟังดูสมเหตุสมผลทุกอย่าง หลิวปิงไม่ได้มีความแค้นหรือความบาดหมางอะไรกับศาลาปีศาจลอยฟ้า เพราะแบบนั้นศาลาปีศาจลอยฟ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจัดการเขา เหตุผลที่ว่ามาทั้งหมดทำให้ฝานลี่เทียนไม่หลงเหลือเหตุผลอะไรที่จะต้องขอร้องแทนหลิวปิงอีก
ลู่โจวได้เดินออกจากศาลาทางตะวันออกไปโดยที่เอามือไขว้หลัง
ฝานลี่เทียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้ลุกขึ้นมา ตัวเขาได้ตบเสื้อผ้าของตัวเองที่เต็มไปด้วยฝุ่น ‘เดี๋ยวก่อนนะ ท่านเป็นมหาวายร้ายอย่างท่านต้องการเหตุผลในการโจมตีใครสักคนด้วยอย่างงั้นหรอ?’ แม้ว่าจะสงสัยแบบนั้นแต่ฝานลี่เทียนก็ไม่ได้พูดออกมา ในตอนนี้ลู่โจวได้เดินจากตัวเขาไปแล้วนั่นเอง
…
หนึ่งวันต่อมาที่เมืองแห่งหนึ่งแห่งมณฑลเหลียง
เสื้อผ้าที่ลู่โจวใส่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ มันเป็นเสื้อผ้าหยาบๆ ที่คนทั่วไปสวมใส่กัน ลู่โจวได้ผสมผสานเครื่องแต่งกายอย่างลงตัว แต่ถึงแบบนั้นเครื่องแต่งกายยังไม่สามารถช่วยตัวเขาได้ สีวู่หยาเป็นคนที่เจ้าเล่ห์และยังมีสายตาที่เฉียบคมจนเกินไป ตัวเขาจะต้องถูกเจอตัวแน่ถ้าหากไม่ระวังตัว
แม้จะได้เห็นสมาชิกคนเก่าๆ ของศาลาปีศาจลอยฟ้า สีวู่หยาก็คงจะจดจำได้อยู่ดี การเดินทางด้วยรถม้าล่องเมฆาเองจะต้องถูกพบตัวอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อสีวู่หยารู้ตัว เขาก็คงจะต้องวิ่งหนีแน่ เพราะแบบนั้นลู่โจวจึงจำเป็นที่จะปลอมตัวให้แนบเนียนสมบูรณ์แบบ
เมื่อลู่โจวเดินทางมาถึงมณฑลเหลียง ตัวเขาและหยวนเอ๋อก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ที่เมืองแห่งนี้ไม่มีทหารรักษาการณ์หรือแม้แต่ป้อมปราการหน้าไม้อยู่เลย แต่อย่างไรก็ตามมันก็มีคราบเลือดติดอยู่ที่กำแพงเมือง เห็นได้ชัดว่าที่เมืองแห่งนี้เพิ่งจะเกิดการต่อสู้ขึ้นเมื่อไม่นาน ในตอนนี้เมืองทั้งเมืองดูเงียบเหงาจนไร้ชีวิตชีวา
ภายในเมืองจะมีผู้ฝึกยุทธกลุ่มเล็กๆ ปรากฏตัวบนท้องฟ้าเป็นระยะๆ
ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ!
มีคนกลุ่มหนึ่งได้เดินทางเข้าเมืองมา พวกเขาทั้งหมดดูเกรี้ยวกราดและโหดเหี้ยมเกินกว่าที่จะน่าพูดคุยด้วย
ลู่โจวได้ดึงหยวนเอ๋อหลบกลุ่มคนเหล่านั้นไปที่ข้างถนน
กลุ่มคนเหล่านั้นได้เดินไปตามด้านบนของกำแพงเมือง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นทหารรักษาการณ์ของเมืองแห่งนี้
“ท่านอาจารย์ดูพวกเขาสิ พวกเขาช่างดูโหดเหี้ยมอะไรเช่นนี้…” หยวนเอ๋อได้พูดออกมา
“ไม่ต้องไม่ใส่ใจเจ้าพวกนั้นหรอก”
ทั้งสองคนยังคนเดินเล่นกันต่อไป
นอกเหนือจากสภาพพร้อมรบของเมืองแห่งนี้ ทั่วทั้งเมืองดูรกร้างว่างเปล่า แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ยังหวังให้ได้พบที่พักพิง เมื่อทั้งสองกำลังเดินหาที่พักกันอยู่นั้น ในตอนนั้นเองชายวัยกลางคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ท้ายถนนคนเดิน ชายคนนั้นได้มองไปทางซ้ายขวาก่อนที่จะผิวปากขึ้นมาให้กับลู่โจวและหยวนเอ๋อเพื่อเป็นการส่งสัญญาณ
“ผู้อาวุโส” ชายวัยกลางคนคนนั้นพูดขึ้น
“เจ้ากำลังพูดกับข้าอย่างงั้นหรอ?”
ชายวัยกลางคนคนนั้นได้เดินเข้ามาหาลู่โจวอย่างระมัดระวัง ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง “พวกท่านไม่ได้อยู่แถวนี้อย่างงั้นสินะ?”
หยวนเอ๋อไม่อยากที่จะทนฟังให้มากความ “พูดในสิ่งที่เจ้าต้องการออกมาซะ”
ชายวัยกลางคนพูดต่อ “มณฑลเหลียงในตอนนี้กำลังตกอยู่ในความศึกสงคราม ข้าน่ะสังเกตพวกท่านทั้งสองคนมานานแล้ว ข้าคิดว่าพวกท่านคงต้องการหาที่พักสักคืน มากับข้าสิ…ข้ามีที่ที่พร้อมสำหรับพวกท่านแล้ว”
เป็นธรรมดาที่ลู่โจวจะรู้สึกสงสัยชายวัยกลางคน ตัวเขาเพิ่งจะมาที่เมืองมณฑลเหลียงเป็นครั้งแรก แล้วชายคนนี้รู้ได้ยังไงกันว่าตัวเขากำลังมองหาที่พักอยู่
นอกจากนี้มณฑลเหลียงก็อยู่ติดกับมณฑลยี่ ในตอนนี้ทั้งสองมณฑลกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ชายวัยกลางคนคนนี้จึงยิ่งดูน่าสงสัยไปกันใหญ่
“เจ้าสามารถจัดหาที่พักให้กับพวกเราได้สินะ?” ลู่โจวได้ถามออกมา
ชายวัยกลางคนได้ตอบกลับมาอย่างมีเลศนัย “ข้างนอกน่ะมันวุ่นวาย ท่านจะได้เห็นถ้าหากท่านไปถึงที่ที่ข้าพูดถึงแล้วน่ะ…”
สีหน้าของลู่โจวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขายอมตอบรับแต่โดยดี “เชิญนำทาง” ยังไงซะตัวเขาก็จะต้องรออยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อรอพบกับยู่เฉิงไห่และสีวู่หยา
หลังจากนั้นไม่นาน ภายใต้การนำทางของชายวัยกลางคน ทั้งสามคนก็ได้เดินผ่านถนนหลายสายด้วยกันก่อนที่จะมาถึงนอกหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ชายวัยกลางคนเคลื่อนไหวอย่างเกรี้ยวกราดก่อนที่จะผิวปากส่งสัญญาณให้กับใครบางคนที่อยู่ในหมู่บ้าน
ไม่นานนักก็มีชายทั้งสองคนออกมาพบตัวเขา
ชายวัยกลางคนคนนั้นได้พูดออกมา “ได้มาอีก 2 คน ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าจัดการก็แล้วกัน”
“ได้มาอีก 2 คน”
‘ได้มาอีก 2 คน?’ ลู่โจวที่ได้ยินแบบนั้นก็เกิดคำถามขึ้นมาอยู่ภายในใจ แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าของตัวเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขาได้ลูบเคราก่อนที่จะถามออกมา “ที่นี่คือที่พักที่เจ้าหาให้กับจ้าอย่างงั้นหรอ?”
ชายผู้มาเยือนทั้งสองคนเป็นชายหนุ่ม คนที่อยู่ทางด้านซ้ายได้พูดตอบกลับมา “เชิญทางนี้ครับ”
จู่ๆ ลู่โจวก็คุ้นตากับอิฐสีดำที่อยู่ภายในหมู่บ้าน
ลู่โจวมองไปที่ชายวัยกลางคนก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้านายของเจ้าใช้นามสกุลเฉินอย่างงั้นสินะ?”
“ถูกต้องแล้ว ท่านรู้จักเจ้านายของข้าอย่างงั้นสินะท่านผู้อาวุโส?” ชายวัยกลางคนได้ถามออกมาอย่างตื่นเต้น
“เฉินเหลียงชูอย่างงั้นสินะ?” จู่ๆ ลู่โจวก็นึกอะไรขึ้นมาได้เมื่อเห็นสถานที่ที่อยู่ตรงหน้า
“ท่านผู้อาวุโส ท่านรู้จักชื่อของเจ้านายข้าจริงๆ ด้วย แต่ท่านควรจะพูดจาระวังมากกว่านี้จะดีกว่านะ ถ้าหากนี่เป็นบ้านหลังอื่น ท่านคงจะถูกไล่ไปแล้วแน่” ชายคนหนึ่งกล่าวตักเตือนลู่โจว
แท้จริงแล้วเฉินเหลียงชูวเป็นชายที่มีชื่อเสียงมาก เนื่องจากโลกยุทธภพมีของอย่างบัญชีดำอยู่ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะมีของที่ตรงกันข้ามอย่างบัญชีขาว ในตอนนี้ผู้ที่มีรายชื่ออยู่ที่ด้านบนสุดของบัญชีดำก็คือจีเทียนเด๋า ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าผู้ชั่วร้าย
ในเมื่อมีดำก็ย่อมมีขาว
ผู้ที่มีรายชื่ออยู่ที่ด้านบนสุดของบัญชีขาวก็คือเฉิงนเหลียงชู เขาเป็นชายผู้ที่ทำความดีได้ทุกที่ทุกเวลา เขาเป็นเพียงชายคนเดียวที่จะทำเรื่องโง่ๆ ได้โดยที่ไม่มีแรงจูงใจอะไร ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์ไหน ไม่ว่าจะเป็นยังไง ชายคนนี้ก็จะทำแต่ความดี เขาเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในมณฑลเหลียงในตอนนี้ เป็นธรรมดาที่ทุกๆ คนจะเคารพชื่นชมชายที่มีชื่อว่าเฉินเหลียวชู
“เชิญทางนี้” ชายคนนั้นได้นำทางลู่โจวต่อไป
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะเดินตาม เมื่อตัวเขาเดินเข้ามาในหมู่บ้านได้ ตัวเขาก็สังเกตเห็นม่านพลังได้อย่างชัดเจน มันเป็นม่านพลังที่มีลักษณะคล้ายกับฟองสบู่ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วหมู่บ้าน
ลู่โจวและหยวนเอ๋อรีบหาที่พักอย่างรวดเร็ว
ชายที่นำพวกเขามาถึงที่นี่ได้เหลือบมองก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับลู่โจว “นายท่านของข้าได้บอกว่าใครก็ตามที่เข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้จะต้องถูกตรวจสอบพลังวรยุทธเพื่อไม่ให้ใครคนนั้นก่อความวุ่นวายอะไรได้ ดังนั้นข้าจึงต้องขอความร่วมมือจากท่านด้วย”
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ชายวัยกลางคนคนนั้น เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเฉินเหลียงชูจะเป็นคนที่ระมัดระวังตัวถึงขนาดนี้ เขาเป็นชายที่ชื่นชอบในการทำความดี แล้วทำไมเขาจะต้องตรวจสอบพลังวรยุทธของคนอื่นด้วยล่ะ?
เมื่อตัวเขามองเห็นของสิ่งหนึ่งที่ดูคล้ายกับอัญมณี ลู่โจวก็รู้ได้ทันทีว่าเฉินเหลียงชูไม่ได้เพิ่งจะอยู่ที่นี่ อัญมณีที่เห็นมันคืออัญมณีวัดพลัง โดยปกติแล้วการที่จะใช้อัญมณีเหล่านี้ได้จะมีแต่สำนักใหญ่ๆ รวมไปถึงเหล่าราชวงศ์เท่านั้น
“ท่านอาจารย์ให้ข้ารับการทดสอบเองเถอะ…ข้ากังวลว่าอัญมณีนั่นที่พวกเขามีจะด้อยเกินกว่าที่จะรับมือของพลังท่านได้” หยวนเอ๋อที่พูดเสร็จก็ได้เดินไปข้างหน้า
เมื่อผู้ที่ถืออัญมณีได้ยินหยวนเอ๋อพูดว่าลู่โจวเป็นอาจารย์ ตัวเขาก็ได้แต่ตกใจ ชายคนนั้นได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “จะขู่พวกเราอย่างงั้นหรอ?”