ต้วนมู่เฉิงได้กระโดดลงมา พลังอวตารของตัวเขาได้กระแทกลงบนพื้นราวกับกระสุนของปืนใหญ่
ตู๊ม!
หลุมที่ถูกทิ้งเอาไว้เพราะแรงกระแทกจากพลังอวตารได้ทิ้งเอาไว้เบื้องหลังต่อหน้าของทุกๆ คน
หุ่นเชิดทั้งหลายที่ถูกกระแทกเข้าไปได้ล้มลงกับพื้น
“ศตราวีมอดไหม้!”
“สหัสะราวี!”
[ศตราวี คือการโจมตีนับร้อยในพริบตา, สหัสะราวี คือการโจมตีนับพันในพริบตาของต้วนมู่เฉิง]
ฮั๊ววู่เด๋าอดไม่ได้ที่จะกระแอมออกมา ตัวเขากำลังรู้สึกอยากที่จะอาเจียนเมื่อได้เห็นภาพการโจมตีของต้วนมู่เฉิง ฮั๊ววู่เด๋าได้แต่แอบถอนหายใจอยู่อย่างเงียบๆ ‘อดไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องนึกถึงภาพในวันวาน ข้าจะต้องเป็นกังวลอยู่ทุกวันเมื่อต้องอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เพราะแบบนี้’ ฮั๊ววู่เด๋าเปลี่ยนไปมองฮั๊วยู่จิงที่กำลังลอยอยู่เหนือศาลาปีศาจลอยฟ้า นางได้ยิงลูกธนูพลังงานใส่หุ่นเชิดทั้งหลายต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งฮั๊ววู่เด๋าได้เห็นภาพนั้นตัวเขาก็เริ่มรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง
ในตอนนั้นเองฉางจิน หนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเฮ้งชูก็ได้ลุกขึ้นมาก่อนที่จะพุ่งเข้าหาเป้าหมายอีกครั้ง ฉางจินเองก็เป็นเพียงหนึ่งในหุ่นเชิดเท่านั้น หุ่นเชิดทั้งหลายพวกนี้ไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บปวด, หวาดกลัว หรือกลัวที่จะต้องตาย
ฝานลี่เทียนขมวดคิ้ว ขวดน้ำเต้าของตัวเขาก็ได้เปล่งแสงสีทองออกมาอีกครั้ง ฝานลี่เทียนเลือกที่จะโยนมันออกไปที่หุ่นเชิดทั้งหลาย
หยวนเอ๋อ, จ้าวยู่, หมิงซี่หยินย และซู่ฮ่องกงเองก็กระโดดลงมาจากภูเขาทองเช่นกัน
ณ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความชุลมุน ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยพลังจนดูวุ่นวาย พื้นที่ภายในหุบเขากว่าหลายร้อยเมตรเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย มันมีพลังปรากฏขึ้นจากทุกหนทุกแห่ง…
ลู่โจวได้เคาะไปที่หลังของวิซซาร์ดด้วยปลายนิ้ว วิซซาร์ดได้ลอยขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่ตัวมันจะดูหายไปในอากาศอันเบาบาง สัตว์ขี่อย่างวิซซาร์ดเป็นสัตว์ขี่ที่เต็มไปด้วยพลังมงคล มันเป็นพลังที่จะทำให้ลู่โจวดูสะดุดตามากจนเกินไป ถ้าหากเป็นแบบนั้นลู่โจวคงจะถูกเจอตัวได้อย่างง่ายดายแน่ ดังนั้นตัวเขาจึงเลือกที่จะใช้บี่เอี๊ยนแทน สัตว์ขี่อีกตัวที่ไม่ได้ดูสะดุดตาแทน
ลู่โจวได้เดินไปยังก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังหุบเขาพร้อมกับบี่เอี๊ยน ลู่โจวเลือกที่จะสังเกตเหตุการณ์ทุกอย่างจากเงามืดแทน
คนอื่นๆ ต่างก็เข้าใจเรื่องนี้ได้ดีเมื่อเห็นผู้เป็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าหายตัวไป ศัตรูที่ทุกคนในตอนนี้กำลังเจอเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น เพราะแบบนั้นปรมาจารย์อย่างลู่โจวจึงไม่จำเป็นจะต้องจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลย
สำหรับลู่โจว การที่ตัวเขาจะอยู่ต่อไปก็คงไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ อย่างมากลู่โจวก็คงจะโบกธงส่งเสียงให้กำลังใจกับเหล่าสาวกที่กำลังสู้อยู่ก็เท่านั้น
ลู่โจวที่เฝ้าสังเกตการณ์การต่อสู้ที่อยู่ด้านล่างได้พึมพำออกมา “ไป่มาเต็มใจที่จะสละอายุขัยกว่า 200 ปีเพื่อที่จะทำลายศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ?”
จางหยวนฉานในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ตัวเขาได้เป็นผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ เท่ากับว่าไป่มาไม่ใช่คนที่อ่อนแอเลย เป็นไปได้ไหมว่ายู่ฉางตงจะถูกไป่มาจับเป็นตัวประกันหลังจากที่ยู่ฉางตงได้จัดการกับจางหยวนฉานได้? ลู่โจวไม่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว
ในขณะที่ฝานลี่เทียนกำลังขับไล่ฉางจินอีกครั้ง ในตอนนั้นเองตัวเขาก็ได้พึมพำออกมา “เจ้านี่มีร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ”
เล้งลั่วได้ใช้พลังจากวิชาเต๋าพรางตัวเพื่อโจมตีเข้าใส่ฉางจิน ในตอนที่เล้งลั่วเปิดฉากการโจมตี ในตอนนั้นพลังฝ่ามือจำนวนมากก็ได้พุ่งเข้าใส่ฉางจิน เล้งลั่วที่โจมตีได้พูดออกมา “ฝานลี่เทียน โจมตีที่ด้านหลังหัวของมันซะ”
“ก็ได้ ข้าจะฟังเจ้าแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ” ด้วยความร่วมมือของเล้งลั่วทำให้ฝานลี่เทียนสามารถปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่ได้ ขวดน้ำเต้าของฝานลี่เทียนได้ปล่อยแสงสีทองออกมามากขึ้น แสงสีทองได้ขยายขนาดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ก่อนที่ฝานลี่เทียนจะกู่ร้องออกมา “หลับให้สบาย!”
ตู๊ม!
ฝานลี่เทียนได้ใช้ขวดน้ำเต้าโจมตีฉางจินจากที่ด้านหลังศีรษะ
แคร๊ก!
เสียงของอะไรบางอย่างที่แตกหักได้ดังขึ้น
หุ่นเชิดฉางจินที่ถูกโจมตีได้สะบัดแขนอย่างเกรี้ยวกราด มันดูเหมือนจะบ้าคลั่งขึ้นมา แต่หลังจากนั้นไม่นานฉางจินก็ได้ถอยหลังกลับไป ท้ายที่สุดแล้วฉางจินก็ได้ล้มลง
“เจ้าคิดยังไงกับวิชาหลับให้สบายของข้ากัน?” ฝานลี่เทียนได้ถามเล้งลั่ว
เล้งลั่วไม่ได้ตอบคำถาม ตัวเขาได้เลือกที่จะถามกลับมา “มีวิชาแบบนี้อยู่ในสำนักแห่งความบริสุทธิ์ด้วยอย่างงั้นหรอ?”
“ไม่มี ข้าด้นสดเอาน่ะ” ฝานลี่เทียนได้ตอบกลับมาอย่างไร้ยางอาย
“…” เล้งลั่วพูดไม่ออก ตัวเขาได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายไปจากสายตาของฝานลี่เทียน เล้งลั่วได้ลงหุบเขาไปแล้วนั่นเอง
“มันไม่ใช่ชื่อที่เท่หรอกหรอ?” ฝานลี่เทียนกระโดดตามไป
เล้งลั่วได้เคลื่อนไหวไปหาต้วนมู่เฉิงและคนอื่นๆ “เล็งไปที่ด้านหลังศีรษะของพวกหุ่นเชิดซะทุกคน!”
“สมแล้วที่เป็นผู้อาวุโสเล้งลั่ว ท่านมีความรู้กว้างขวางจริงๆ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างสุภาพก่อนที่จะเคลื่อนไหวต่อไปอย่างรวดเร็ว ตัวเขาได้ใช้เคียวพื้นพิภพของตัวเองจู่โจมเข้าใส่หุ่นเชิดจำนวนมาก
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ท้ายที่สุดแล้วหุ่นเชิดทั้งหลายก็เริ่มล้มลง
จากตำแหน่งที่ลอยอยู่เหนือทุกคน ฮั๊วยู่จิงเองก็เริ่มเล็งยิงไปที่ด้านหลังศีรษะของพวกหุ่นเชิดด้วยลูกธนูพลังงานของนางเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยิงโดนด้านหลังของหุ่นเชิดพวกนั้นได้ ท้ายที่สุดแล้วนางก็ต้องรอให้หุ่นเชิดหันหลังให้กับนางก่อน แม้ว่าจะเล็งได้ยากขึ้นแต่ฮั๊วยู่จิงก็ยังสามารถจัดการหุ่นเชิดได้อยู่ดี
ในขณะเดียวกันลู่โจวที่อยู่หลังก้อนหินก็ได้แต่ถอนหายใจ หุ่นเชิดทั้งหมดล้วนแต่เป็นคนที่ตายแล้ว เป็นไปตามคาด ตัวเขาไม่ได้แต้มบุญจากการจัดการหุ่นเชิดเหล่านี้ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ลู่โจวเริ่มเกลียดของอย่างพวกเวทมนตร์คาถา
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้เห็นเจ้าอาวาสซู่จิงลอยอยู่บนอากาศ นักบวชคนนี้กำลังลอยอยู่เหนือเหล่าหุ่นเชิด มีสาวกนักบวชอีกหลายสิบคนยืนอยู่ที่ด้านหลังของตัวเขา
“อมิตตาพุทธ ยังไงซะกาฝากก็ไม่มีวันที่จะเป็นต้นไม้ กระจกใสก็ไม่มีวันที่จะเป็นกระจกเงา”
ซู่จิงและสาวกของตัวเขาได้เปิดปากขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มสวดพระสูตรอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่นานนักเสียงสวดพระสูตรก็ได้ดังขึ้นทั่วภูเขาทอง
“นี่มันเคล็ดวิชาอันยิ่งใหญ่ของชาวพุทธ วิชากระจกแห่งแสง”
เมื่อซู่จิงและเหล่านักบวชเริ่มสวดพระสูตร ในตอนนั้นวงแหวนก็ได้ส่องสว่างก่อนที่จะขยายอาณาเขตไป
ลู่โจวเคยเห็นวู่เหนียนใช้วิชานี้บนแท่นประลองดอกบัวมาก่อน ตัวเขาไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นพลังกระจกแห่งแสงที่มีระยะกว้างถึงเพียงนี้เมื่อเหล่านักบวชที่ร่วมมือกัน
เมื่อแสงจากวงแหวนตกลงสู่พื้นดิน แสงสว่างก็เริ่มขยายตัวต่อไปเมื่อเหล่านักบวชสวดพระสูตรต่อ
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพอใจ แม้ว่าเจียงอาเฉียนจะเป็นชายผู้ที่ขี้เกียจและไร้ยางอาย แต่ถึงแบบนั้นคำแนะนำจากเขาก็ยังดูใช้งานได้
ด้วยความช่วยเหลือจากซู่จิงและเหล่านักบวชทำให้การต่อสู้ในครั้งนี้พวกสาวกของลู่โจวชิงความได้เปรียบไปได้ ถ้าหากขาดซู่จิงและเหล่านักบวชไปการต่อสู้ในครั้งนี้ก็คงจะยากลำบากมากกว่านี้แน่
ผู้คนที่กำลังต่อสู้อยู่กับหุ่นเชิดที่เชิงเขาล้วนแต่เป็นยอดฝีมือของศาลาปีศาจลอยฟ้า มีทั้งเล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน, หยวนเอ๋อ, ต้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน, จ้าวยู่ และซู่ฮ่องกง พวกเขาทุกคนล้วนแต่มีพลังที่เพิ่มมากขึ้นเพราะผลมาจากวิชากระจกแห่งแสง หลังจากนั้นไม่นานที่เชิงเขาก็เต็มไปด้วยพลังอวตาร
ในขณะที่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ในตอนนั้นเองแสงสว่างจากเหล่านักบวชก็เริ่มส่องสว่างมากขึ้น
…
ในตอนนั้นเองไป่มาที่สังเกตเห็นแสงสว่างก็ได้ขมวดคิ้ว “นี่มันชาวพุทธอย่างงั้นหรอ?”
ไป่มาที่เห็นหุ่นเชิดทั้งหลายของตัวเองกำลังล้มลงไปกับการต่อสู้กับศัตรูก็ยังไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา แม้ว่าจะเป็นแบบนั้นตัวเขาก็ได้แต่กำหมัดแน่น
ไป่มาได้โบกมือขวาของตัวเอง “ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า…ข้าไม่คิดหรอกว่าเจ้าจะเต็มใจดูเหล่าสาวกของตัวเองกำลังตายไปในกองซากศพแบบนี้…”
ทันใดนั้นเองแสงสีม่วงก็ได้พุ่งเข้าหาเหล่านักบวช มันเป็นแสงที่มาจากรถม้าสีดำนั่นเอง
ดวงตาของเหล่านักบวชเบิกกว้างขึ้น เหล่านักบวชได้จ้องมองท้องฟ้าอย่างว่างเปล่า
“กงหยวน…ไปจัดการพวกมันซะ! พวกมันทั้งหมดคือศัตรูของเจ้า จงปลดปล่อยความเกลียดชังที่มีเพื่อทำลายทุกอย่างซะ!”
กงหยวนตายไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นกงหยวนก็ยังดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ไป่มาพูด ดวงตาของกงหยวนเบิกกว้างขึ้น
ตู๊ม!
ด้วยการเคลื่อนไหวที่เร็วดุจดั่งปีศาจทำให้กงหยวนบินออกมาจากวงแหวนเวทมนตร์คาถาของไป่มาก่อนที่จะพุ่งไปใกล้เหล่านักบวชที่กำลังรวมตัวกันภายในพริบตา ทันทีที่กงหยวนพุ่งตัวมาใกล้มากพอ พลังฝ่ามือสีดำจำนวนมากก็ได้ปรากฏขึ้นตามมาด้วย
“ระวัง!” ฮั๊วยู่จิงได้ตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง ในตอนนั้นเองนางก็เลือกที่จะจู่โจมไปที่กงหยวนด้วยธนูพลังงานสามดอก
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ลูกธนูพลังงานทั้งหมดได้พุ่งเข้าหาพลังฝ่ามือสีดำก่อนที่จะหายไป
ในตอนนั้นเองลู่โจวที่เห็นเหตุการณ์ก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
‘หุ่นเชิดที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ? เจ้านี่ได้ทุ่มทุกอย่างกับการโจมตีครั้งนี้จริงๆ ด้วย…’
ลู่โจวไม่เคยคิดชอบเวทมนตร์คาถามาก่อนเลย ยิ่งหุ่นเชิดที่ไป่มาควบคุมมีระดับที่สูงมากเท่าไหร่ สิ่งที่ลู่โจวใช้เพื่อที่จะจัดการกับมันก็จะต้องมีมูลค่าที่สูงขึ้นตามไปด้วย
ลู่โจวได้นึกถึงต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาที่ดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนในช่วงหลังๆ มานี้ ‘หรือว่านี่จะเป็นการหยิบยืมพลังชีวิตจากสวรรค์กัน?’
ในเวลาเดียวกันซู่จิงที่ได้สวดพระสูตรอยู่ก็ได้เห็นพลังฝ่ามือสีดำที่กำลังใกล้เข้ามา เมื่อเห็นแบบนั้นตัวเขาจึงรีบใช้พลังพระพุทธองค์กายาทองคำในทันที
หวืออ!
ตู๊ม!
พลังฝ่ามือสีดำได้เข้าปะทะกับพลังฝ่ามือของซู่จิงที่ใช้พลังอวตาร การปะทะกันของสุดยอดพลังทั้งสองได้ทำให้เหล่าสาวกของซู่จิงกระเด็นถอยกลับไป
“ประจำที่เอาไว้! อย่าแยกกันเด็ดขาด!” ซู่จิงสั่งการเหล่าสาวกของตัวเอง
กงหยวนที่โจมตีไม่สำเร็จได้กระเด็นถอยกลับไปเช่นกัน
ฝานลี่เทียนได้โจมตีไปที่กงหยวนด้วยการเคลื่อนไหวที่ดูอ่อนช้อยราวกับนกนางแอ่น “ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเจ้าเอง!” แม้ว่าฝานลี่เทียนจะยังไม่สามารถฟื้นฟูพลังวรยุทธทั้งหมดที่มีได้ แต่ถึงแบบนั้นครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบมาก่อน เป็นเรื่องยุติธรรมที่ผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจะสู้กับผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบด้วยกันเอง ด้วยน้ำเต้าสุดยอดอาวุธที่ฝานลี่เทียนมี การที่จะรับมือกับกงหยวนได้ก็คงจะไม่ใช่ปัญหาอะไร พลังลมปราณของกงหยวนคงจะหมดลงในไม่ช้าก็เร็ว
ลู่โจวมองไปที่จำนวนหุ่นเชิดที่ยังเหลืออยู่ แม้ว่าจะใช้ความพยายามของเหล่าสาวกแล้วก็ตาม แต่ในตอนนี้จำนวนของหุ่นเชิดลดลงไปเพียงแค่หนึ่งในสามเท่านั้น ลู่โจวยังคงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะเหวี่ยงแขนและตะโกนออกมา “ซู่จิง รับนี่ไปซะ!”
ก่อนที่ซู่จิงจะรู้ว่าสิ่งที่ลอยมาคืออะไร ตัวเขาก็ได้คว้ามันเอาไว้ซะแล้ว “นี่มันลูกประคำอธิษฐาน?”
“มันก็คือลูกประคำชาวพุทธ ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของกงหยวนมาก่อน แม้ว่ามันจะมีเจ้าของเดิมที่เคยครอบครองไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังดีกว่าที่ไม่มีอาวุธอะไรเลย”
เมื่อซู่จิงได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกดีใจมาก “อาตมาไม่กล้ารับความปรารถนาดีจากท่านปรมาจารย์จีได้แล้วจริงๆ ขอบคุณท่านปรมาจารย์จี!”
ในสายตาของลู่โจวอาวุธชิ้นนั้นเป็นเพียงแค่ขยะไร้ค่า ไม่เพียงแต่มันจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แต่มันยังต้องการการขัดเกลาเพื่อทำให้มันเปลี่ยนเจ้าของได้อีกด้วย
ในทางตรงกันข้ามกันซู่จิงได้ทำราวกับว่าลูกประคำที่ได้รับไปเป็นสมบัติล้ำค่า ตัวเขารู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้รับมันมาจากลู่โจว