ตกดึก ตอนที่พระอาทิตย์ได้ตกดินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การโจมตีอย่างกะทันหันของหยวนเอ๋อได้ทำให้ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ด้านนอกต่างก็ตกตะลึง ทุกๆ คนได้แต่ยืนแน่นิ่งก่อนที่จะจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ ท้ายที่สุดแล้วเรื่องที่เด็กสาวคนนี้ได้บอกกับชายผู้ทดสอบพลังเป็นเรื่องจริง ในตอนนี้ชายคนนั้นได้แต่ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองหยวนเอ๋อ ชายคนนั้นรู้ดีว่าพ่อบ้านโจวแข็งแกร่งแค่ไหน เขาเป็นพ่อบ้านที่มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุด แต่ถึงแบบนั้นพ่อบ้านโจวกลับถูกเด็กสาวตัวนิดเดียวเตะจนกระเด็นลอยหายไป? นี่มันอะไรกัน?
ทุกๆ คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์ต่างก็นิ่งเงียบ พวกเขาจ้องมองไปที่หญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าโดยที่ไม่ขยับไปไหน
พ่อบ้านโจวทีได้ตกลงมาได้ไออย่างรุนแรงก่อนที่จะนอนแผ่อยู่บนพื้น ในขณะที่ไอออกมาตัวเขาก็ได้กระอักเลือดสดๆ ออกมาด้วย
“ท่านอาจารย์ เจ้านั่นยังไม่ตาย ข้าขอเตะเจ้านั่นอีกสักครั้งจะได้ไหม?” หยวนเอ๋อขอร้องผู้เป็นอาจารย์
“…”
คำขอของหยวนเอ๋อได้ทำให้พ่อบ้านโจวกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ตัวเขารู้ได้ทันทีว่าไม่ควรตัดสินหนังสือจากหน้าปก ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก แม้ว่าภายนอกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้จะดูใสซื่อไร้เดียงสา แต่ถึงแบบนั้นนางกลับน่ากลัวเกินกว่าที่จะจินตนาการถึงได้เลย
พ่อบ้านโจวยกมือขึ้นก่อนที่จะชี้ไปยังชายผู้ที่รับหน้าที่ทดสอบพลัง
ชายคนนั้นรีบก้มคุกเข่าในทันที “ข้า ข้า…” ชายคนนั้นก็แค่อยากจะบอกว่าตัวเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าผู้ที่เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นจะมีพลังวรยุทธที่มากกว่าผู้เป็นอาจารย์ของนางได้
ลู่โจวมองไปที่พ่อบ้านโจวที่นอนแผ่อยู่บนพื้น หลังจากนั้นตัวเขาก็หันไปมองผู้ฝึกยุทธที่กำลังหวาดกลัวคนอื่นๆ “ถ้าหากพวกเจ้าอยากที่จะมีชีวิตรอดก็ไปบอกให้เฉินเหลียงชูมาพบช้าซะ”
ในตอนนั้นเองก็มีคนจำนวนหนึ่งมารวมตัวกันอยู่ที่ด้านนอกของประตู
ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจที่พบว่ามีผู้ฝึกยุทธมารวมตัวกันในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองมณฑลเหลียงแบบนี้
พ่อบ้านโจวลุกขึ้นมานั่งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด “อย่าเข้ามา!” ตัวเขาได้สูดหายใจลึกๆ ก่อนที่จะพยายามทำให้ตัวเองสงบลง ตัวเขาได้กดไปที่หน้าอกก่อนที่จะถามขึ้น “ท่านผู้อาวุโส…ท่านต้องการที่จะพบกันนายท่านเฉินจริงๆ อย่างงั้นหรือ?”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตอบแทนผู้เป็นอาจารย์ไป “หุบปากซะ ท่านอาจารย์จะพบใครก็ได้ที่ท่านต้องการ เจ้ากล้าที่จะมีปัญหาอย่างงั้นสินะ?” ในขณะที่นางพูดอยู่ หยวนเอ๋อก็ได้แกว่งแขนของตัวเองไปมา
พ่อบ้านโจวที่เห็นแบบนั้นสะดุ้งตกใจ ‘เด็กผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนที่ไร้เหตุผลสิ้นดี’ ตัวเขาหันกลับไปมองลู่โจวที่ดูเหมือนจะไม่แยแสกับเรื่องทั้งหมดนี้ ตัวเขาได้แต่หวังให้ชายชราผู้ที่มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์พูดอะไรออกมาสักอย่าง
ในตอนนั้นเองความหวังของพ่อบ้านโจวก็เป็นจริง ลู่โจวได้พูดออกมาอีกครั้ง “พรุ่งนี้เช้าข้าจะต้องได้พบกับเฉินเหลียงชู…ข้าจะไม่พูดซ้ำเป็นครั้งที่สองหรอกนะ”
พ่อบ้านโจวตกตะลึง
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้เรียกพลังอวตารร้อยวิถีของนางออกมา พลังอวตารที่มีความสูงกว่า 10 ฟุตได้ปรากฏตัวขึ้น เสียงสะท้อนจากพลังลมปราณของนางทำให้ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นสั่นไปด้วยความกลัว
“นี่มัน…พลังอวตารร้อยวี!”
“น่ะ…นั่น กลีบดอกบัวทองคำ…” ชายคนหนึ่งที่กำลังถือไม้พลองอยู่หน้าซีดจนไม่อาจที่จะยืนต่อไปได้
หยวนเอ๋อหัวเราะ นางได้ชี้ไปที่ชายคนนั้นก่อนที่จะพูดต่อ “ในตอนนี้พวกเขาก็หมดปัญหาแล้วสินะ? ช่างขี้ขลาดซะจริง…ท่านอาจารย์ ท่านเองก็แสดงพลังอวตารของตัวเองให้เจ้าพวกนี้ดูสิ! ให้เจ้าพวกนี้ได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของท่านเลย!”
ลู่โจวพูดไม่ออก “…”
ตัวเขามองไปที่รูด้านบนเพดานห้อง ลู่โจวได้ยกมือเคาะไปที่หัวของหยวนเอ๋อเบาๆ ก่อนที่จะตำหนินางออกมา “ระวังตัวเจ้าไว้เถอะ”
หยวนเอ๋อรีบกุมศีรษะของตัวเองไว้อย่างเร่งรีบ นางไม่กล้าที่จะเรียกร้องอะไรอีกต่อไป “ข้าทำผิดไปแล้วท่านอาจารย์”
ลู่โจวได้ออกจากห้องนั้นไปโดยที่เอามือไขว้หลัง
เมื่อผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งเห็นแบบนั้น ตัวเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าจะต้องทำอะไรต่อ “ข้าจะเป็นคนเตรียมห้องใหม่ให้ท่านเอง”
หยวนเอ๋อได้กระโดดไปมาก่อนที่จะหยุดอยู่ที่หน้าชายผู้ใช้พลอง “ข้าเกือบลืมไป…เจ้าน่ะไม่สมควรที่จะเห็นพลังอวตารของอาจารย์ข้าหรอก!” หลังจากที่พูดจบหยวนเอ๋อก็ได้ตามลู่โจวไปติดๆ
เมื่อทั้งสองคนจากไป พ่อบ้านโจวและผู้ที่รับหน้าที่ทดสอบพลังต่างก็สบตากัน
ผู้ที่รับหน้าที่ทดสอบพลังน้ำตาคลอในขณะที่กอดอัญมณีของตัวเองไม่ยอมวางไปไหน “ได้โปรด…พ่อบ้านโจว…ได้โปรดเมตตาข้าด้วย…ผู้อาวุโสคนนั้นมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์จริงๆ …ข้าสาบานได้เลย ถ้าหากข้าโกหกจริงขอให้ข้าไม่ตายดี!”
พ่อบ้านโจวตาแดงก่ำ การเตะของหยวนเอ๋อเพียงครั้งเดียวได้ทำให้ตัวเขาบาดเจ็บสาหัส ตัวเขาสามารถตัดสินใจเองได้ว่าลู่โจวมีพลังอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์จริงไหม
พ่อบ้านโจวได้มองไปที่ผู้ฝึกยุทธที่เหลือ “แจ้งนายท่านเฉิน…บอกให้เขามาที่นี่ให้เร็วที่สุด…” หลังจากนั้นพ่อบ้านโจวก็ได้มองไปยังชายผู้รับหน้าที่ทดสอบพลัง “เจ้าน่ะ ไสหัวไปซะ”
ความหมายของคำว่า ‘ไสหัวไป’ ในหมู่บ้านเฉินหมายความว่าเขาจะต้องหายไปจากที่นี่นั่นเอง ไม่ว่าจะตาบอด, หูหนวก, เป็นใบ้ ถ้าหากไม่ตายชายคนนั้นก็จะถูกทำลายอวัยวะสำคัญอยู่ดี มันเป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้คนที่เคยอยู่ที่นี่ไม่แพร่งพรายเรื่องราวให้กับคนภายนอกได้รับรู้ คำว่า ‘ไสหัวไป’ เป็นเพียงวิธีการพูดอ้อมๆ เท่านั้น
เมื่อชายคนนั้นได้ยิน ใบหน้าของเขาก็ดูเปลี่ยนสีอีกครั้ง ตัวเขาได้แต่ก้มหัวอย่างสิ้นหวัง
…
กลางดึก
ลู่โจวกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องใหม่พร้อมกับทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อยู่
หลังจากนั้นไม่นานตัวเขาก็ได้ยินเสียงการแจ้งเตือนจากระบบ
“ติ๊ง! คุณได้ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ครบ 100 ครั้งแล้ว ได้รับรางวัล: เปิดชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ (ส่วนกลาง) ”
ลู่โจวลืมตาตื่นขึ้น ตัวเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้เห็นการแจ้งเตือนนี้ ตัวเขาจำได้ว่าการที่จะทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ 100 ครั้งจะต้องใช้เวลาอันยาวนาน ดูเหมือนว่านับตั้งแต่ตอนนั้นเวลาก็ได้ผ่านมาอย่างเนิ่นนานแล้ว ในตอนนี้ลู่โจวมีชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ 2 ส่วนแล้ว ส่วนที่เหลือลู่โจวคิดว่ามันจะต้องอยู่บนหุบเขาน้ำกร่อย สถานที่นี้ทำให้ตัวเขานึกถึงยู่ฉางตง
ลู่โจวได้แต่ถอนหายใจ ยู่ฉางตงไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่ที่เขายังเด็ก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะไม่ส่งข่าวกลับมา ยู่ฉางตงมักจะยืนหยัดที่จะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองเสมอ ลู่โจวหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับยู่ฉางตง
หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้หลับตาทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อไป
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ท้องฟ้าในตอนนี้ยังคงมืดมิด
มีการจุดคบเพลิงอยู่ทั่วทั้งลานกว้าง
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงดังขึ้น
มีใครบางคนได้เรียกพลังอวตารออกมา ไม่ใช่คนเพียงคนเดียวที่เรียกพลังอวตารออกมา มันมีผู้ฝึกยุทธหลายคนด้วยกันที่พยายามทำเช่นนั้น
ลู่โจวไม่ได้ขยับไปไหน ตัวเขาไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร
มีผู้ฝึกยุทธประมาณ 6 คนลอยอยู่เหนือหมู่บ้านแห่งนี้ พวกเขากำลังล้อมรอบรถม้าขนาดเล็กคันหนึ่ง มันเป็นรถม้าที่มีขนาดพอดีกับคนเพียงคนเดียว
ลู่โจวสัมผัสได้ถึงพลังอันแรงกล้าจากด้านนอก แม้ว่าตัวเขาจะมองไม่เห็นแต่เสียงสะท้อนจากพลังนั้นแต่ลู่โจวก็รู้อยู่ดี เจ้าของพลังที่ลู่โจวสัมผัสได้จะต้องเป็นยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างน้อย 2 คน
แท้จริงแล้วมันเป็นวิชาที่เฉินเหลียงชูเชี่ยวชาญ
รถม้าได้ร่อนลงสู่พื้น ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ เองก็ลงมาเช่นกัน
“ใครกันที่กล้าสร้างปัญหาให้กับหมู่บ้านเฉินของข้า” น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลังได้ดังออกมา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการพูดที่จงใจข่มขู่
‘เฉินเหลียงชูเองก็เป็นยอดฝีมือเหมือนกันอย่างงั้นหรอ?’ ลู่โจวได้โบกมืออย่างลวกๆ ในตอนนั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยพลังของตัวเขา
ทั่วทั้งหมู่บ้านสว่างไสวก็เพราะแสงจากคบเพลิง นอกเหนือจากผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครู ล้านกว้างก็เต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธทั้งหลายและรถม้าลอยฟ้า
เฉินเหลียงชูนั่งอยู่ที่ใจกลางรถม้าคันนั้น
ลู่โจวที่เดินออกมาได้กวาดตามองรอบหมู่บ้าน นอกเหนือจากเฉินเหลียงชูยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังมีผู้ฝึกยุทธที่อยู่รอบข้างที่มีพลังอยู่ในขั้นเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธที่เหลือมีเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์และขั้นมหาราชครูเท่านั้น พวกที่เหลือไม่ได้มีความสำคัญอะไรเกินกว่าที่จะพูดถึง
“เจ้าคือเฉินเหลียงชูอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวเอ่ยปากถาม
“เจ้ากล้าดียังไงกัน!?” เสียงของเขาแผ่ไปทั่วลาน
พ่อบ้านโจวกลับมามีพลังอีกครั้ง ที่ใบหน้าของเขามันเต็มไปด้วยสีหน้าแห่งความโล่งใจ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังต้องทนกับอาการบาดเจ็บที่ได้รับมาอยู่ดี
ผู้ที่เพิ่งจะพูดออกมาก็คือยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดของเฉินเหลียงชู เขาก็คือเฟิงปิงนั่นเอง
เมื่อเฟิงปิงได้ยินลู่โจวเอ่ยชื่อเฉินเหลียงชูออกมาห้วนๆ ตัวเขาก็รู้สึกโกรธจนต้องตะโกนกลับมา
“ว่ากันว่าตีสุนัขให้มองเจ้าของ เจ้าพลาดเองแท้ๆ ที่เอาชีวิตมาทิ้งที่นี่!” เฟิงปิงที่พูดจบก็ได้ปล่อยพลังฝ่ามือกว่าหลายสิบฝ่ามือมาจากกลางอากาศ
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ในตอนที่ตัวเขากำลังใช้พลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ในตอนนั้นหยวนเอ๋อก็ได้เคลื่อนไหวไปที่ด้านหน้าของเขาซะก่อน นางได้คลายสายสะพายนิพพานออกมาก่อนที่จะใช้วิชาเจ็ดดวงดาวล่องเมฆาบดขยี้
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
พลังฝ่ามือถูกป้องกันเอาไว้ได้
หยวนเอ๋อได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าลู่โจว นางได้ชี้ไปที่เฟิงปิงที่กำลังลอยอยู่ที่กลางอากาศ “เฮ้ย เจ้าคิดว่าตัวเองคู่ควรแล้วสินะที่จะต่อสู้กับท่านอาจารย์ข้าน่ะ?”
หลังจากที่พูดแบบนั้น หยวนเอ๋อก็ได้เคลื่อนไหวต่อด้วยวิชาเจ็ดดวงดาวล่องเมฆาบดขยี้ นางได้ทิ้งภาพลวงตาเอาไว้ที่ด้านหลังด้วยความเร็วก่อนที่จะพุ่งเข้าหาเฟิงปิง
ลู่โจวไม่ได้หยุดนาง…ตัวเขาก็อยากที่จะเห็นฝีมือของหยวนเอ๋อในตอนนี้เช่นกัน
ในช่วงเวลานั้นเองบนหมู่บ้านแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยแสงจากพลัง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
หยวนเอ๋อได้เคลื่อนที่ไปทั้งซ้ายและขวา ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยร่างกายของนาง
พ่อบ้านโจวและคนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็ตกใจ
‘สาวน้อยคนนี้แข็งแกร่ง นางสู้กับเฟิงปิงได้สูสีเลยชัดๆ!’ พ่อบ้านโจวรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปในก่อนหน้านี้มาก ตัวเขารู้แล้วว่าได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกไม่พอใจก็เพราะมีลูกน้องที่ไม่ได้เรื่อง โดยปกติแล้วถ้าหากรู้ว่าเป็นยอดฝีมือตั้งแต่แรก พวกเขาก็จะดูแลรับมือกับยอดฝีมือคนนั้นให้ดีที่สุด พ่อบ้านโจวคงจะไม่กล้าเอาเปรียบหรือจะทำอะไรพวกเขาแน่
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
หยวนเอ๋อที่ได้ต่อสู้นานขึ้นก็มีพลังเพิ่มขึ้นมากไปด้วย เสียงหัวเราะของนางได้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
เฟิงปิงยิ่งรู้สึกผิดหวังมากขึ้นเมื่อต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ตัวเขาเป็นถึงยอดฝีมือผู้ที่มีพลังกลีบพลังอวตารดอกบัว 4 กลีบแท้ๆ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขากลับถูกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ รั้งเอาไว้
หวืออ!
เฟิงปิงตัดสินใจใช้พลังอวตาร!
สายสะพายได้กลับมาพันรอบตัวหยวนเอ๋อก่อนที่นางจะหมุนตัวตั้งหลัก “ต่ำช้า! เจ้ากล้าพึ่งพลังอวตารของเจ้าได้ยังไงกัน?”
เมื่อพบว่าอีกฝ่ายมีพลังแตกต่างกับตน การเลือกโจมตีโดยใช้พลังอวตารจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดไป
เฟิงปิงไม่ได้ตอบโต้อะไร ตัวเขาเลือกที่จะใช้พลังฝ่ามือโจมตีมาแทน พลังฝ่ามือมากมายได้พุ่งเข้าใส่หยวนเอ๋อ
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
หยวนเอ๋อได้ปกป้องตัวเองไว้ด้วยสายสะพายของนางอีกครั้ง พลังฝ่ามือทั้งหมดล้วนสลายหายไปเมื่อเจอกับสายสะพายของนาง
“นั่นมันอาวุธระดับสรวงสวรรค์…” ที่บนรถม้าดวงตาของเฉินเหลียงชูก็ได้สว่างไสวขึ้นมา แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ได้เก็บสีหน้าไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หยุดซะ” เฉินเหลียงชูเป็นผู้พูดขึ้น
เฟิงปิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากต้องถอยกลับมา
เฉินเหลียงชูมองไปที่ลู่โจวที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ข้างประตู “ผู้อาวุโส…การตัดช่องทางทำมาหากินของผู้อื่นมันเป็นบาปพอๆ กับการพรากชีวิตเลยนะ ทำไมพวกเราไม่นั่งลงก่อนที่จะพูดคุยกันละ?” ในขณะที่พูดดวงตาของเฉินเหลียงชูก็จับจ้องไปที่สายสะพายนิพพานสีแดงสด
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ชดใช้บาปทั้งหมดเอง” ลู่โจวได้พูดต่อด้วยน้ำอันนุ่มลึก “อย่างแรกเจ้าจะต้องทำลายพลังวรยุทธของตัวเองทั้งหมดไป อย่างที่สองเจ้าจะต้องตอบคำถามของข้าอย่างตรงไปตรงมา และอย่างที่สามตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ พวกเจ้าทุกคนก็จะต้องทำตามคำสั่งข้า”