หลังจากที่สีวู่หยากวาดล้างชนเผ่าอื่นอยู่ ตัวเขาก็เหลือบเห็นผู้เป็นอาจารย์ของตนกำลังใช้วิชาที่สองออกมา
วิชาแรกที่ลู่โจวใช้ก็คือพลังพุทธรูปทองคำ และวิชาที่สองก็คือพลังฝ่ามือสละปัญญา
สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่นึกเรื่องราวในอดีต คนของตัวเขาเคยบอกเอาไว้ว่าเคยพบเห็นพระพุทธรูปทองคำที่มีความสูงกว่า 100 ฟุตในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเมืองรูหนาน ในตอนนั้นสีวู่หยาไม่คิดที่จะเชื่อเลย ท้ายที่สุดแล้วมีเพียงนักบวชยอดฝีมือเท่านั้นที่จะมีพลังพระพุทธรูปทองคำที่สูงถึง 100 ฟุตได้ แต่เมื่อสีวู่หยาได้เห็นภาพตรงหน้าตัวเขาก็รู้แล้วว่าคำพูดที่เคยได้ยินมาเป็นเรื่องจริง ในขณะที่ลอยขึ้นไปบนอากาศ ตัวเขาก็จ้องมองลู่โจวด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน เขาไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองกำลังเลือกสิ่งที่ถูกต้องไหม สีวู่หยากลัวว่าจะทำผิดพลาดเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมาของตัวเอง
เฉินเหลียงชูได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่บนพื้น ตัวเขาจ้องมองไปที่ลู่โจวที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าในขณะที่ปรบมือไปด้วย เสียงปรบมืออย่างกะทันหันได้ทำลายความเงียบสงบไป ในตอนนี้ทุกๆ คนกลับมามีสติอีกครั้ง
สาวกสำนักอเวจีได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ
หลี่จิงยี่ก้าวถอยหลังไปหลายก้าวด้วยกัน
ทุกๆ คนที่เห็นพลังฝ่ามือของลู่โจวยากที่จะสงบใจลงได้
เซียงลี่เป็นศิษย์สาวกจากสำนักเซียนสวรรค์ ตัวเขาได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในโลกยุทธภพมาอย่างเนิ่นนานแล้ว เซียงลี่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้พลังผนึกมนตราและพลังเครื่องรางจากสำนักเซียนสวรรค์ เขาเป็นเพียงหนึ่งในยอดฝีมือที่โดดเด่นภายในสำนักเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กลายเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งของโลกยุทธภพไปได้ พลังฝ่ามือสละปัญญาของตัวเขายังเป็นวิชาขั้นสุดยอดที่สร้างชื่อให้กับเซียงลี่มาอย่างเนิ่นนาน คงจะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเซียงลี่จะตายเพราะวิชาที่ตัวเองเชี่ยวชาญแบบนี้
ที่พื้นดินมีแต่หลุมรูปฝ่ามือสลักเอาไว้ ไม่มีใครได้เห็นเซียงลี่อีกเลย และแน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในหลุมฝ่ามือกันแน่ หลังจากที่ผ่านไปสักระยะเวลาหนึ่งก็ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตปรากฏขึ้นมาจากหลุม
เมื่อลู่โจวเห็นการแจ้งเตือนเป็นรางวัลแต้มบุญ 1,500 ตัวเขาก็ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตัวเขาได้หันไปรอบๆ อย่างช้าๆ ก่อนที่จะจ้องมองแม่ทัพทั้งสี่ที่เพิ่งจะจู่โจมตัวเขาไป
เลือดลมของแม่ทัพทั้งสี่เดือดพล่าน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจและความหวาดกลัว หลังจากที่พวกเขาทั้งสี่ปะทะกับพลังพุทธรูปทองคำ แม่ทัพทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บกลับมา
ลู่โจวได้ประเมินพลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ในตัวเอง…ตัวเขาได้ใช้พลังหนึ่งในสามส่วนไปกับการสังหารฮาลั่ว ยอดฝีมือแห่งรั่วหลี่ นอกจากนี้ตัวเขายังใช้พลังหนึ่งในสามไปกับการใช้พลังฝ่ามือสละปัญญาไป อันที่จริงพลังที่ใช้จากในระยะใกล้และในระยะไกลเป็นพลังที่แตกต่างกัน แม้ว่าพลังวิเศษจะมีประโยชน์แต่โชคไม่ดีที่การใช้งานของมันมีอยู่อย่างจำกัด ‘คงจะดีกว่านี้มากถ้าหากฉันใช้พลังวิเศษได้มากกว่านี้’
ลู่โจวได้กลับมาใคร่ครวญอีกครั้งว่าตัวเขาควรจะจัดการกับแม่ทัพทั้งสี่ได้อย่างไร ‘หรือว่าฉันจะต้องใช้พลังคลื่นเสียงกับพวกเขาดีไหม?’ ถ้าหากลู่โจวไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่ตัวเขาก็คงมีแต่จะต้องใช้การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาต
ลู่โจวยังคงมองไปที่แม่ทัพทั้งสี่อย่างไม่แยแส
แม่ทัพทั้งสี่ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเข้ามาใกล้แม้แต่นิดเดียว
“บ้า! ทุกคนบ้ากันไปหมดแล้ว!” จู่ๆ หลิวปิงก็เป็นผู้หัวเราะออกมา ดวงตาของเขาดูเปลี่ยนไปนิดหน่อย ในตอนนี้หลิวปิงกำลังหัวเราะเฮือกใหญ่ หลังจากที่ใช้เวลาหลายปีอยู่ในพรมแดน ตัวเขาก็ไม่เคยได้หัวเราะเฮฮาจนกระทั่งวันนี้
ทุกๆ คนต่างก็งุนงงกับสิ่งที่หลิวปิงกำลังทำ แต่เมื่อทำความเข้าใจได้พักหนึ่งทุกๆ คนก็เริ่มที่จะเข้าใจอะไรได้ ในฐานะที่หลิวปิงเป็นองค์ชายผู้ที่อยู่พรมแดนมาอย่างเนิ่นนาน ตัวเขาจะต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดก็เพื่อที่จะรักษาดินแดนและรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้…หลิวปิงยังต้องอดทนฝ่าฟันอุปสรรคเสมอมา มันคงจะสมเหตุสมผลกว่าถ้าหากผู้เป็นพ่อของเขายอมมอบความสำคัญให้กับตัวเขา แต่ถึงแบบนั้นสิ่งที่ผู้เป็นพ่อของหลิวปิงทำก็คือการส่งคนของตัวเองมาควบคุมการเคลื่อนไหวของเขา เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของหลิวปิงซ้ำร้ายจนเป็นเรื่องน่าตลกขบขันไปในที่สุด หลิวปิงในตอนนี้ทำได้เพียงหัวเราะให้กับโชคชะตาอันน่าเศร้าของตัวเอง
“องค์ชาย!” ทหารรับใช้หลิวปิงได้เรียกหลิวปิง
แม่ทัพทั้งสี่เองก็เหลือบมองหลิวปิงเช่นกัน…
“…พวกเราไม่มีทางเลือกอื่น” หนึ่งในแม่ทัพพูดขึ้น
“พวกเรามีแต่จะต้องทำตามคำสั่ง แม้ว่าพวกเราตายพวกเราก็จะต้องพยายาม”
อันที่จริงผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้อยู่ในสนามรบมักจะไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธธรรมดา พวกเขามักจะเยือกเย็น สงบนิ่ง และจะไม่ว่อกแว่กต่อสิ่งใด…พวกเขาจะไม่ใช่ผู้ที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของตัวเอง
“แม้แต่เซียงลี่ก็ยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีของข้าได้…อะไรกันที่ทำให้พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับข้า?” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น
“…” แม่ทัพทั้งสี่ได้เปลี่ยนมาสบตากันเมื่อได้ยินดังนั้น
ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็ได้กางแขนออก ปีกที่อยู่บนหลังของตัวเขาได้หายจางไป ขนนกยูงทั้งหมดได้กลับมาผสานอีกครั้งก่อนที่จะกลับมาหามือของสีวู่หยา ตัวเขาได้บินขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ในเมื่อพวกเจ้าปรารถนาที่จะตาย ข้าก็จะเป็นผู้เติมเต็มความปรารถนาของเจ้าเอง!”
“…” แม่ทัพทั้งสี่เหลือบมองไปที่สีวู่หยา ความหวังของเหล่าแม่ทัพลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว สีวู่หยามีพลังมากกว่าที่พวกเขาได้คิดเอาไว้ สีวู่หยาเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบเพียงเท่านั้น แต่สีวู่หยากลับเอาชนะเซียงลี่ในก่อนหน้านี้ได้
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ยังคงได้รับบาดเจ็บสาหัส มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่พวกเขาจะเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อที่จะเอาชีวิตเข้าแลกกับเซียงลี่ สีวู่หยาเป็นเพียงคนเดียวที่ยังสามารถต่อสู้ได้ แม่ทัพทั้งสี่รู้ดีว่าความดื้อรั้นมีแต่จะทำให้พวกเขาต้องตาย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีที่ให้หันกลับไป ทันทีที่พวกเขาเปิดฉากการโจมตีลู่โจวพวกเขาก็ไม่มีทางที่จะหันหลังกลับได้แล้ว
“ข้าไม่อยากที่จะยอมรับเลยจริงๆ …” แม่ทัพทั้งสี่ยังเห็นลู่โจวใช้สุดยอดเคล็ดวิชาหลายครั้งติดต่อกันกับตาตัวเอง ชายชราคนนี้มีพลังลมปราณอยู่กับตัวมากเท่าไหร่กัน? เสียงของแม่ทัพเต็มไปด้วยความลำบากใจ เสียงของตัวเขาแหบแห้งและเต็มไปด้วยความลังเล ตัวเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ แม้ว่าจะไม่มีความหวังเหลือแต่พวกเขาก็มีแต่จะต้องพยายามกันต่อไป แม้ว่าจะต้องตายแต่เหล่าแม่ทัพก็มีแต่จะต้องทำ
ลู่โจวส่ายหัว ‘หย่งชิง เจ้าทำอะไรไปกันแน่เพื่อที่จะทำให้เจ้าพวกนี้จงรักภักดีกับเจ้าได้ถึงขนาดนี้?’
แม่ทัพทั้งสี่ได้ตกลงปลงใจกันด้วยสาเหตุบางอย่าง ในตอนนี้ความมุ่งมั่นและความดื้อด้านทั้งหมดที่เคยมีอยู่ในดวงตาได้หายไปจนหมดสิ้น มันเหลือเพียงความว่างเปล่าอยู่ในนั้นเพียงอย่างเดียว
หวืออ!
พลังอวตารดอกบัวหกกลับได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันได้พุ่งเข้าหาลู่โจวเพื่อที่จะโจมตี
เป็นเพราะว่าทุกคนได้รับบาดเจ็บมาจากการโจมตีก่อนหน้านี้ ดังนั้นการโจมตีในครั้งนี้จึงเป็นการโจมตีที่ทุ่มทั้งชีวิต แม่ทัพทั้งสี่ไม่คิดที่จะสนใจชีวิตของตัวเองอีกต่อไป
ในตอนนั้นหลิวปิงก็ได้หยุดหัวเราะอย่างกะทันหัน ตัวเขาได้ชี้ไปที่เหล่าแม่ทัพก่อนที่จะพูดออกมาอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้า…จัดการพวกมันให้หมด!” บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้หลิวปิงตัดสินใจเช่นนี้
แม่ทัพทั้งสองที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับตกตะลึง พวกเขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะยอมรับคำสั่ง “พวกข้าน้อมรับคำสั่ง!”
แม่ทัพทั้งสองเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์กลุ่มสุดท้ายที่หลิวปิงเหลือ เมื่อได้รับคำสั่ง ทั้งสองก็ได้พุ่งตรงไปหาแม่ทัพทั้งสี่
ในเวลาเดียวกันสีวู่หยาก็ได้โยนพัดขนนกยูงออกมาจากมือ…มันได้หมุนรอบตัวเองก่อนที่จะยิงเข็มพลังงานจำนวนมากออกไป
แม่ทัพทั้งสี่ได้ปล่อยพลังฝ่ามือมากมายนับไม่ถ้วนไปที่กลางอากาศ…การโจมตีของพวกเขาได้ลอยอยู่ทั่วฟ้า
“แบบนี้แย่แน่…ถอยเร็วเข้า!” สีหน้าของฮั๊วจงหยางเปลี่ยนไปจนดูน่ากลัว
“เกิดอะไรขึ้นกัน” ไป่ยู่ชิงได้พูดออกมาในขณะที่เอามือกดไปที่หน้าอกของตัวเอง
“นั่นมันยาปีศาจ!”
เมื่อทุกคนได้ยินคำว่า ‘ยาปีศาจ’ สีหน้าของสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป พวกเขาไม่มามัวลังเลที่จะถอยอีกต่อไป เหล่าสาวกของสำนักอเวจีรวมไปถึงสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งหมดต่างก็ถอยกลับ
พลังลมปราณได้พุ่งสูงขึ้นอยู่เหนือเมืองมณฑลเหลียง
ผลของยาปีศาจก็คือการดูดซับพลังจากโลกใบนี้ก็เพื่อที่จะเพิ่มพลังให้กับผู้ใช้ยา…ด้วยวิธีนี้การดูดพลังจากโลกจะทำให้คนคนนั้นสร้างพายุพลังลมปราณขึ้นมาได้ มีเพียงผู้ฝึกยุทธผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะต้านทานพายุเช่นนั้นได้
ก่อนหน้านี้ยี่เทียนซินเข้าใจผิดคิดว่าลู่โจวได้ใช้ยาชนิดนี้เพื่อรักษาพลังของตัวเองให้อยู่ในจุดสูงสุด
เมื่อทุกคนเห็นขวดยาพลังปีศาจในมือของแม่ทัพทั้งสี่ทุกคนก็ได้แต่ตกใจ ยานี้ถือว่าเป็นยาต้องห้ามในดินแดนหยานนั่นเอง แต่ถึงแบบนั้นลูกน้องของจักรพรรดิหย่งชิงกลับมียาที่เป็นของต้องห้ามซะเอง เรื่องนี้มันหมายความว่าอะไรกัน? ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่แต่ก็ไม่มีใครมีเวลาที่จะมาไตร่ตรองเรื่องนี้ได้แล้ว ทุกๆ คนเลือกที่จะถอยห่างให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
พลังลมปราณยังคงโคจรอยู่รอบอากาศ
แม้ว่าสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา ในตอนนี้ทุกคนอยู่ห่างจากคลื่นพลังลมปราณมากพอที่จะหลบหลีกพลังจากพายุพลังลมปราณได้
หยวนเอ๋อจ้องมองท้องฟ้าด้วยความตกใจ “ท่านอาจารย์?”
เฉินเหลียงชูได้คลานถอยกลับไป ในตอนนี้ตัวเขาสูญเสียพลังวรยุทธที่เคยมีไปแล้ว ตัวเขาทำได้แต่พึ่งพาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้เท่านั้น เฉินเหลียงชูได้แต่พูดอ้อนวอนออกมา “สาวน้อย ได้โปรดแสงพลังปาฏิหาริย์ของเจ้าด้วยเถอะ”
…
บนท้องฟ้า
ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นแม่ทัพทั้งสี่ดึงพลังทั้งหมดออกมาจากจุดตันเถียน ลู่โจวในตอนนี้มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แม้ว่าตัวเขาจะยืนหยัดอยู่ต่อหน้าพายุพลังลมปราณได้ แต่ถ้าหากเหล่าแม่ทัพทั้งสี่โจมตีกลับมา ลู่โจวก็คงจะไม่อาจต้านทานได้ ตัวเขามีแต่ต้องใช้การ์ดวิเศษป้องกันตัวเท่านั้น
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ในขณะนี้สีวู่หยาก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้กับแม่ทัพทั้งสี่ ด้วยพลังจากขนนกยูงที่เป็นพลังระดับสรวงสวรรค์ ทำให้สีวู่หยาไม่มีปัญหาเลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังพายุ
เหล่าลูกน้องของหลิวปิงได้คว้าตัวแม่ทัพทั้งสองคนเอาไว้ได้
แล้วแม่ทัพอีกสองคนอยู่ที่ไหนกัน?
พรึ๊บ!
ข้างบน!
ทันใดนั้นเองร่างของใครบางคนที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังงานสีทองก็ได้พุ่งไปบนอากาศ ใครคนนั้นได้พุ่งลงมาก่อนที่จะพุ่งเข้าหาลู่โจว
ลู่โจวยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ในตอนนั้นเองอาวุธนิรนามก็ได้ปรากฏตัวขึ้น มันได้กลายเป็นโล่ที่มีพลังวนเวียนอยู่รอบๆ
ตู๊ม!
พลังลมปราณอันแข็งแกร่งที่ได้เข้ากระแทกกับโล่จนเกิดการระเบิด
“อ่อนแอ!” แม่ทัพคนหนึ่งได้พูดออกมาอย่างเย็นชา ตัวเขารู้สึกได้ว่าเรี่ยวแรงที่ชายชราคนนี้อ่อนแอไม่ต่างอะไรกับชายชราทั่วๆ ไป ตัวเขายังมั่นใจมากว่าจะสามารถชายชราคนนี้ได้ด้วยการโจมตีเพียง “เจ้าน่ะไม่เหลือพลังลมปราณแล้ว!”
อวตารของแม่ทัพคนนั้นได้ปรากฏตัวขึ้น
ในเวลาเดียวกันที่ใต้เท้าของลู่โจวก็มีแสงจากดอกบัวสีฟ้าปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ลู่โจวได้พลิกฝ่ามือของตัวเองก่อนที่จะเปลี่ยนโล่ให้กลายเป็นดาบ
อักษรสีดำได้ปรากฏขึ้นมาตามอาวุธนิรนาม ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นได้ใช้อาวุธนิรนามฟันออกไปเป็นแนวนอน
ตู๊ม!
“อั๊กกก…!”
พลังอวตารถูกตัดขาด
สีหน้าของลู่โจวยังคงนิ่งเงียบ ตัวเขาได้กางแขนของตัวเอง ฝ่ามือของตัวเขากำลังเปล่งประกายแสงสีฟ้าสดใส แสงนั้นก่อตัวอยู่ที่ฝ่ามือของลู่โจว แม่ทัพผู้ที่เสียพลังอวตารไปไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ในกำมือของลู่โจว
“…พลังฝ่ามือผนึก!”