ยู่ฉางตงรู้ได้ทันทีว่าหัวใจของเขากำลังเต้นรั่ว ตัวเขากลั้นหายใจเอาไว้ก่อนที่จะจ้องมองดอกบัวทองคำ ขั้นตอนการผลิกลีบดอกบัวแม้ว่ามันจะฟังดูง่าย แต่มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดได้เช่นเดียวกัน และเนื่องจากประสบการณ์อันยาวนานที่ยู่ฉางตงเคยมีทำให้ตัวเขาไม่พบกับอุปสรรคใดๆ เหมือนกับในตอนที่ยอดฝีมือหน้าใหม่ได้พบเจอ ส่วนที่ยากที่สุดก็คือการที่ยู่ฉางตงจะต้องทำทุกอย่างในขณะที่ตัวเขาบาดเจ็บอยู่ นอกจากนี้นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ตัวเขาจะต้องสร้างดอกบัวขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างดอกบัวทองคำกับใบของมันอะไรจะเกิดก่อนกัน? แล้วดอกบัวทองคำที่ไม่มีรากมันเกิดขึ้นมาก่อนใบได้ยังไง?
หวืออ!
พลังอวตารของยู่ฉางตงสั่นสะเทือน ในตอนนั้นเองเสียงสะท้อนก็ได้ดังขึ้น กลีบดอกบัวเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในเวลาไม่นาน มันเริ่มที่จะผลิใบอย่างสมบูรณ์แบบ ยู่ฉางตงสามารถผลิกลีบดอกบัวได้สำเร็จอีกครั้ง เท่ากับว่าในตอนนี้ตัวเขากลับไปเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหนึ่งกลีบอีกครั้ง มันไม่ได้เป็นพลังอวตารที่มีความสูงเท่ากับพลังอวตารอันเก่า ตัวเขาสัมผัสได้พลังอวตารที่มีเป็นพลังอวตารกลีบดอกบัวใบเดียวโดยแท้จริง
พลังดอกบัวทองคำของตัวเขายังคงสั่นไหว แสงที่อยู่ทางด้านล่างก็ยังคงส่องประกายออกมา จากการคาดการของตัวเขา ดอกบัวทองคำสามารถที่จะก่อตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ น่าเสียดายที่พลังลมปราณที่ยู่ฉางตงมีใกล้จะหมดลงแล้ว ตัวเขายังไม่ทันที่จะได้เห็นดอกบัวทองคำของตัวเองซะด้วยซ้ำ การรักษารูปลักษณ์พลังอวตารได้ทำให้ยู่ฉางตงสูญเสียพลังลมปราณไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาในตอนนี้ยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
‘หืม?’ ยู่ฉางตงยกฝ่ามือขึ้นมา ตัวเขาได้กางแขนออกไปข้างหน้าก่อนที่จะจ้องมองไปที่พลังอวตารของตน
แสงที่อยู่ทางด้านล่างได้หายจางไป มีเพียงกลีบดอกบัวเพียงแค่กลีบเดียวลอยอยู่ ในตอนนี้พลังอวตารไม่มีดอกบัวทองคำอีกต่อไป! นี่ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับยู่ฉางตง ตัวเขาเป็นยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบที่สามารถดูดถูกผู้ฝึกยุทธทุกคนได้อย่างเย่อหยิ่ง ฉายาของเขาก็คือดาบปีศาจ เพียงแค่นามของเขามันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนต้องหวาดกลัว แต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงก็ยากที่จะยอมรับในสิ่งที่ได้เห็น “พลังอวตารที่ไม่มีดอกบัวทองคำ”
ยู่ฉางตงกำหมัดแน่นก่อนที่พลังอวตารจะหายจางไป
ดวงตาของยู่ฉางตงเปล่งประกาย ตัวเขาได้หลับตาลงก่อนที่จะเริ่มเดินพลังลมปรารอีกครั้ง ยู่ฉางตงยังคงโคจรพลังต่อไปเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน
พลังลมปราณที่เคยถูกใช้ไปบางส่วนได้รับการเติมเต็มกลับมา สภาพจิตใจของตัวเขาก็ยังดีขึ้นมาก ยู่ฉางตงเริ่มเรียกพลังอวตารขึ้นมาอีกครั้ง ยังไม่มีดอกบัวทองคำอยู่ที่ใต้เท้าของตัวเขาเช่นเคย มันมีเพียงกลีบดอกบัวเพียงแค่กลีบเดียวเท่านั้น
ยู่ฉางตงได้รวบรวมพลังลมปราณทั้งหมดไว้ที่ใต้เท้าของพลังอวตารก่อนที่จะเริ่มพยายามอีกครั้ง ตัวเขาต้องการที่จะสร้างดอกบัวทองคำใหม่ แต่พลังอวตารของตัวเขาก็ยังเป็นเช่นเดิม ในตอนนี้พลังลมปราณของยู่ฉางตงเริ่มที่จะหมดลงแล้ว…
ตู๊ม!
พลังอวตารของยู่ฉางตงสลายหายไป
ตัวเขาได้นั่งลงกับพื้นอย่างกะทันหัน
ยู่ฉางตงล้มลงก่อนที่จะจมอยู่กับความมืด ตัวเขามองไม่เห็นอะไรเลย ลมหนาวได้พัดมาที่ลำตัว ใบหน้าของยู่ฉางตงขาวซีดไปก็เพราะความหนาวเย็น แต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงก็ยังสงบนิ่ง ยู่ฉางตงพบว่าพลังลมปราณของตัวเขาได้สลายตัวเองไปรอบๆ ตัว
ยู่ฉางตงพยายามที่จะใช้ฝ่ามือของตัวเองโคจรพลังอีกครั้ง ในตอนนั้นเองก็มีแสงสว่างสีทองส่องประกายอยู่รอบตัวยู่ฉางตง มันได้นำทางไปสู่ด้านบนศีรษะของตัวเขา
“เมลิล็อตอย่างงั้นหรอ?” ยู่ฉางตงมองเห็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยเมลิล็อต
หวืออ!
เมื่อเห็นแบบนั้นยู่ฉางตงก็เสียสมาธิไปชั่วครู่ จู่ๆ พลังแสงสีทองก็ได้เปิดผนึกที่อยู่เหนือตัวเขาเอาไว้
ยู่ฉางตงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะบินขึ้นไปตามทาง
ตู๊ม!
ยู่ฉางตงกำลังติดกับอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายกับตาข่าย ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นจึงตัดสินใจที่จะใช้พลังฝ่ามือเปิดทาง
ตาข่ายที่ว่ายังไม่ขยับ
ตู๊ม!
ยู่ฉางตงได้ใช้พลังฝ่ามือเปิดทางอีกครั้ง แต่มันก็ยังไม่ขยับ
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
หลังจากที่ใช้พลังฝ่ามือเปิดทางถึง 3 ครั้ง ตาข่ายที่ว่าก็ยังไม่มีวี่แววที่จะเคลื่อนไหว
“นี่มันเหล็กหิมะพันปีอย่างงั้นหรอ?” ยู่ฉางตงส่ายหัวของตัวเองเล็กน้อย
“ดาบยืนยาว!” ยู่ฉางตงค่อยๆ เรียกดาบยืนยาวออกมา
‘ไม่มีทาง’ ดูเหมือนว่าความสามารถในการควบคุมวัตถุจากทางระยะไกลของยู่ฉางตงจะลดลงเป็นอย่างมาก
ยู่ฉางตงได้บินไปสัมผัสที่ตาข่าย และในตอนนั้นเองตัวเขาก็พบกับลวดลายของเขตแดนพลังบางอย่าง…
“ลวดลายเขตแดนพลัง?” ยู่ฉางตงส่ายหัวอีกครั้ง ลวดลายเขตแดนได้ถูกออกแบบมาอย่างละเอียดอ่อน การที่ผู้คนจากดินแดนชนชั้นสูงรอดมาได้อย่างยืนยาวก็เพราะของสิ่งนี้
แม้ว่ามันจะเป็นเขตแดนพลังที่อ่อนแอจนเกินกว่าจะพูดขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังอยู่มาได้นานเกินกว่าความคาดหมายของตัวเขา
ยู่ฉางตงถอนหายใจออกมาเบาๆ ดูเหมือนว่าตัวเขาจะต้องการพลังวรยุทธขั้นที่สูงมากกว่านี้เพื่อที่จะเรียกดาบยืนยาวที่อยู่บนพื้นได้ ในตอนนี้การควบคุมอาวุธจากระยะไกลยังอยู่เหนือความคาดหมายของตัวเขา
ยู่ฉางตงร่อนลงมาอย่างช้าๆ ตัวเขาได้ปล่อยพลังฝ่ามือสีทองออกมาก่อนที่จะจ้องมองรอบตัว
ที่แห่งนี้มันเป็นเหมือนกับกับดัก แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังคล้ายกับที่พักพิงเช่นกัน
หลังจากที่สังเกตมาระยะหนึ่ง ยู่ฉางตงก็ได้หลับตาลงก่อนที่จะทำสมาธิ ตัวเขาตัดสินใจที่จะคิดทบทวนตัวเองใหม่ ของบางอย่างก็ต้องปฏิบัติต่อมันอย่างนุ่มนวล…
แม้ว่าจะเป็นพลังอวตารดอกบัวกลีบเดียวแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังเป็นพลังอวตาร ยู่ฉางตงไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาพลังดอกบัวอีกต่อไป
…
ศาลาปีศาจลอยฟ้า
หลังจากที่เดินทางมาตลอดทั้งวันทั้งคืนลู่โจว สีวู่หยา และหยวนเอ๋อก็เดินทางกลับมาถึงศาลาปีศาจลอยฟ้าบนภูเขาทองได้ ทุกๆ คนได้ร่อนลงสู่ศาลาใหญ่
“นั่นใครกัน?”
“ผู้มาเยือนคนใหม่อีกคน!”
“เจ้าน่ะเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองแล้วรึยัง? มันอาจจะเป็นศิษย์คนที่หนึ่งก็ได้ที่จะกลับมาในเวลาเช่นนี้น่ะ” ฝานซงได้พูดออกมาในขณะที่กอดอก
“ศิษย์คนที่หนึ่งของศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นคนที่ใจดีไหม? หรือเขาอาจจะเป็นศิษย์คนที่เจ็ดกัน?” โจวจี้เฟิงกำลังใช้ความคิด
“มีบางอย่างที่เจ้ายังไม่รู้ ข้าได้ยินมาว่าศิษย์คนที่เจ็ดฉลาดหลักแหลมมาก ตัวเขามีเครือข่ายข้อมูลกระจายไปทั่วทั้งดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ ถ้าหากเขาไม่ได้เต็มใจที่จะกลับมา…ก็คงจะไม่มีใครจับตัวเขาได้แน่” ฝานซงได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ
“เจ้าพูดมีเหตุผล…ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าศิษย์สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าทั้งเก้าคนไม่ใช่คนที่สามารถตัดสินได้จากรูปลักษณ์อีกด้วย”
ดูเหมือนทั้งคู่จะตกลงกันแล้ว หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปหาลู่โจวและคนอื่นๆ
“สวัสดีท่านปรมาจารย์! สวัสดีท่านศิษย์คนที่เก้า…” ฝานซงและโจวจี้เฟิงคุ้นเคยกับพวกเขาทั้งคู่ดี แต่สำหรับศิษย์คนแรก เขาไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับการทักทาย สำหรับศิษย์คนแรกในตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่คนทรยศเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดพวกเขาทั้งคู่ก็ไม่อาจทักทายคนทรยศต่อหน้าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้
“ในช่วงไม่กี่วันมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในศาลาปีศาจลอยฟ้าไหม?” ลู่โจวได้ถามในขณะที่ลูบเคราของตัวเอง
ฝานซงได้ตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมา “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ ท่านศิษย์คนที่สามดูแลศาลาปีศาจลอยฟ้าในแต่ละวันเป็นอย่างดี ทุกอย่างยังคงราบรื่นเช่นเดิม ในทางกลับกันสำนักฝ่ายธรรมะทั้งหลายกำลังแพร่เรื่องโกหกเกี่ยวกับศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ทุกคนทุกแห่ง”
“โกหก?”
“มันเป็นข่าวลือเกี่ยวกับการตายของศิษย์คนที่สองและข่าวลือเกี่ยวกับต้นไม้ที่เหี่ยวเฉารอบหุบเขาทองครับ พวกเขากำลังพูดกันว่า…ว่า…” ฝานซงพูดตะกุกตะกัก
“พูดออกมาตามตรงเถอะ” ลู่โจวพูดออกมา
“พวกเขาลือกันว่าขีดจำกัดของท่านกำลังอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม…” ฝานซงทำหน้ากระวนกระวายในขณะที่ตัวเขาเปิดเผยสิ่งที่ได้ยินออกมา
ลู่โจวพยักหน้าตอบรับ มันเป็นสิ่งที่เกินกว่าที่ตัวเขาคาดหวังเอาไว้มาก หลายครั้งที่ลู่โจวสงสัยว่าคนจากสำนักฝ่ายธรรมะจะต้องถูกบดขยี้สักกี่ครั้งก่อนที่พวกเขาจะรู้ถึงความโง่เขลาของตัวเอง?
‘ขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่? ฉันดูเหมือนคนที่ใกล้ตายในเร็วๆ อย่างงั้นมากสินะ?’ การคิดถึงเรื่องพวกนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไป
ลู่โจวได้หันไปมองสีวู่หยาที่ยังคงนิ่งเงียบ ตัวเขากำลังอุ้มองค์หญิงหย่งหนิงเอาไว้ในอ้อมแขน ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “หยวนเอ๋อ พาองค์หญิงไปพักผ่อนที่ศาลาทางใต้ซะ”
“ค่ะ ท่านอาจารย์” หยวนเอ๋อรีบน้อมรับคำสั่ง
“ส่วนเจ้า…” ลู่โจวหันมามองสีวู่หยา “ไปไตร่ตรองถึงความผิดของตัวเองในถ้ำแห่งเงาสะท้อนเจ็ดวันเจ็ดคืนซะ”
สีหน้าของสีวู่หยายังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขาได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ขอบคุณครับท่านอาจารย์”
แม้ว่าทัศนคติที่สีวู่หยามีต่อลู่โจวยังคงเป็นความเคารพนับถือ แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็สัมผัสได้ถึงความไม่จริงใจ แต่อย่างไรก็ตามตัวเขาก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนที่จะกลับไปยังศาลาทางตะวันออก เวลาเจ็ดวันที่ลู่โจวเคยพูดจะเป็นเวลาที่ตัวเขาเติมเต็มพลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์จนเต็มเปี่ยม ถ้าหากไม่มีพลังวิเศษเป็นทางออกสำรอง ลู่โจวก็รู้สึกว่าตัวเขากำลังมีอะไรบางอย่างขาดหายไป
หลังจากที่ลู่โจวเดินจากไป ฝานซงและโจวจี้เฟิงก็รีบทำความเคารพสีวู่หยาอย่างพร้อมเพรียงกัน “สวัสดีท่านศิษย์คนที่หนึ่ง”
สีวู่หยาเหลือบมองพวกเขาเท่านั้นก่อนที่จะเดินจากไป
ทั้งสองคนรีบเดินตามไปเช่นกัน
“ท่านศิษย์คนที่หนึ่งให้ข้าเก็บเสื้อคลุมของท่านให้ไหม?”
“ท่านศิษย์คนที่หนึ่ง…ท่านดูหล่อกว่าที่ข้าเคยจินตนาการเอาไว้ซะอีก…”