ฮั๊วจงหยาง, ไป่ยู่ชิง, หยางเยียน และดีชิงดูสภาพไม่สู้ดีเล็กน้อย เหล่าสาวกที่ตามเข้ามาติดๆ ได้ส่งเสียงหายใจหอบดังออกมา
เฉินเหลียงชูลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบากในตอนที่เห็นสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่มุ่งตรงมา
หลี่จิงยี่ได้ร่อนลงสู่พื้นจากในระยะไกล
หยวนเอ๋อกระโดดไปหานางก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “สวัสดีพี่สาว”
‘สาวน้อยคนนี้ช่างเป็นคนที่ลำเอียงจริงๆ ทำไมนางถึงได้อ่อนโยนนักเมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นสาวสวยแบบนั้นกัน’
“สวัสดีสาวน้อย” หลี่จิงยี่ได้ทักทายกลับมาด้วยรอยยิ้ม
สีวู่หยาเหลือบมองไปที่หลี่จิงยี่ก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าหากเหวยซู่หยานมีชีวิตอยู่และยังรู้อีกว่าเจ้าเป็นคนขายข่าวให้กับเจียงอาเฉียน ข้าน่ะสงสัยจริงๆ ว่าเหวยซู่หยานจะคิดยังไง”
หลี่จิงยี่ตกตะลึงเล็กน้อย จากที่สีวู่หยาพูดออกมา ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะรู้ดีว่าเหวยซู่หยานคนปัจจุบันก็คือตัวปลอม นอกจากนี้สีวู่หยายังรู้เรื่องเกี่ยวกับมิตรภาพระหว่างหลี่จิงยี่กับเจียงอาเฉียนอีกด้วย ท้ายที่สุดแล้วนางก็ตอบกลับมา “ดูเหมือนว่าท่านจะมีอารมณ์ขันที่ไม่เหมือนใครนะ ท่านสีวู่หยา”
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะถามออกมา “เหวยซู่หยานยังอยู่ในมณฑลเหลียงอย่างงั้นเหรอ?”
“ถ้าหากจะพูดตามตรงองค์ชายสี่ได้พ่ายแพ้ในการต่อสู้ที่เมืองแห่งมณฑลเหลียงมา…เมืองม่อเดิมทีได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์แบบจากเขตแดนพลังที่อยู่ที่นั่น ในตอนนี้ไม่มีทหารคอยคุ้มกันเมืองอีกต่อไป ข้าคิดว่าสำนักอเวจีจะต้องพิชิตเมืองมณฑลเหลียงได้ในเวลาไม่นาน คนของแม่ทัพเหวยเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ดังนั้น…เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จึงส่งเซียงลี่มาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแทน” หลี่จิงยี่ได้ตอบกลับมาในขณะที่จ้องมองสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่จากทางด้านข้าง
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “ฮั๊วจงหยาง…”
หัวใจของฮั๊วจงหยางเต้นผิดจังหวะ ตัวเขารีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว “ผู้อาวุโส…”
“ยู่เฉิงไห่อยู่ไหนกัน?”
“เจ้าสำนักสั่งให้พวกเราปกป้องท่านสีวู่หยา พวกเรา…พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านเจ้าสำนักอยู่ที่ไหนกันแน่” ฮั๊วจงหยางได้ตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมา
ลู่โจวสะบัดแขนเสื้อของตัวเองก่อนที่จะพูดสบถออกมา “เจ้าศิษย์ทรยศไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี”
“…”
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ถือว่าเป็นผู้ติดตามคนสนิทของยู่เฉิงไห่มานานหลายปี พวกเขาทั้งสี่เป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดรองจากเจ้าสำนักเพียงแค่ผู้เดียว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ไม่เคยเห็นใครพูดให้ร้ายกับเจ้าสำนักในลักษณะนี้มาก่อน แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามพวกเขาก็จะไม่โกรธเคืองที่ลู่โจวแสดงความไม่พอใจต่อผู้เป็นเจ้าสำนักของพวกเขา อันที่จริงแล้วมันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้วที่ลู่โจวจะพูดแบบนี้
“เจ้านั่นคิดที่จะพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้เพียงเพราะได้เรียนรู้อะไรจากข้าไปนิดๆ หน่อยๆ อย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวได้พูดเสริมด้วยความโกรธเคือง
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ไม่กล้าที่จะโต้อะไรกลับมา แม้ว่าจะอยากทำเท่าไหร่แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูด
“เจ้านั่นประเมินตัวเองสูงไป” ลู่โจวโบกแขนของตัวเองก่อนที่จะเรียกหยวนเอ๋อ “พวกเรากลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ากันได้แล้ว”
“ค่ะ” หยวนเอ๋อพยักหน้าตอบรับ
สีวู่หยาได้อุ้มหลิวเหวินจุนไปด้วย ในตอนนั้นเองสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็ได้คุกเข่าข้างหนึ่ง “ท่านสีวู่หยา!”
หลังจากนั้นไม่นานเหล่าสาวกของสำนักอเวจีต่างก็คุกเข่าลง
เหล่าสาวกนับร้อยได้คุกเข่าเพื่อให้เกียรติสีวู่หยา
สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นก็ได้หันกลับมา “บอกศิษย์พี่ใหญ่ของข้าด้วย…นี่เป็นความผิดของตัวข้าเอง ถ้าหากข้ามีโอกาส ข้าจะต้องชดใช้ให้กับเขาในอนาคตแน่”
ฮั๊วจงหยางก้มศีรษะลง ตัวเขาได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านสีวู่หยา ข้าจะบอกท่านเจ้าสำนักเองว่าท่านปลอดภัยดี!”
สีวู่หยาส่ายหัวก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าตัดสินใจที่จะกลับศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแล้ว…”
“แต่…ถ้าหากขาดท่านไป แล้วพวกเราสำนักอเวจีจะอยู่รอดต่อไปได้ยังไงกัน?” ฮั๊วจงหยางดูกระวนกระวายใจ
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่สีวู่หยาทำให้สำนักอเวจีเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ตลอดเวลาหลายเดือนมานี้สีวู่หยาได้วางแผนอย่างละเอียดจากข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ และก็เพราะแบบนั้นจึงทำให้สำนักอเวจีกลายเป็นสำนักฝ่ายอธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีสาวกนับพันนับหมื่นได้ ตอนนี้สำนักอเวจีมีพลังมากพอที่จะยืนหยัดต่อสู้กับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะสีวู่หยา อาจจะพูดได้ว่าสีวู่หยาเป็นคนที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับสองของสำนักอเวจี
“สามหาว!” ลู่โจวตะคอกเสียงดัง แม้ว่าพลังวรยุทธของตัวเขาจะอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่พลังคลื่นเสียงที่ลู่โจวได้แผ่ออกมาก็ทำให้ทุกๆ คนต่างก็สั่นไปด้วยความกลัว
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ไม่กล้าที่จะคัดค้านอะไรอีก
หยวนเอ๋อได้ชี้ไปยังสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ “หนึ่ง, สอง, สาม, สี่…เจ้าพวกโง่! ท่านอาจารย์จะพาใครไปด้วยก็มีสิทธิ์ของเขา พวกเจ้าคิดว่าท่านอาจารย์ของข้าจำเป็นที่จะต้องขออนุญาตกับเจ้าอย่างงั้นเหรอ? ถ้าหากพวกเจ้ายังกล้าขัดขืนอีกข้านี้แหละจะเป็นผู้ฉีกพวกเจ้าเป็นชิ้นๆ เอง!”
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ “…”
เฉินเหลียงชู “…”
คำพูดของหยวนเอ๋อแม้จะออกมาจากเล็กๆ ของนางแต่มันก็ยังเป็นคำพูดที่ฟังดูรุนแรงและเกรี้ยวกราดอยู่ดี แต่ยังไงซะสิ่งที่นางพูดก็ยังเป็นเรื่องจริง
เป็นธรรมดาที่ในตอนนี้เฉินเหลียงชูจะรู้ว่าหยวนเอ๋อเป็นศิษย์คนที่เก้าของศาลาปีศาจลอยฟ้า และเพราะรู้แบบนั้นตัวเขาจึงพูดแทรกขึ้นมา “ท่านศิษย์คนที่เก้าพูดถูกแล้ว ในหมู่ของพวกเจ้ามีใครคิดคัดค้านท่านผู้อาวุโสไม่ให้พาใครกลับไปได้ด้วยหรอไงกัน? พะ…พวกเจ้าคิดว่าท่านศิษย์คนที่เจ็ดจะมีสิทธิ์พูดเรื่องนี้น่ะ?”
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ไม่ได้มีเหตุผลที่มากพอที่จะหักล้างคำพูดของเฉินเหลียงชูได้
ลู่โจวได้เหลือบมองพวกเขาอย่างไร้อารมณ์ “ถ้าหากพวกเจ้ายืนกรานที่จะสละชีวิต ข้าก็จะเติมเต็มความปรารถนาของพวกเจ้าเอง” ลู่โจวได้ยกฝ่ามือขึ้นมา ในตอนนั้นฝ่ามือของเขาก็มีพลังลมปราณโคจรอยู่
ฮั๊วจงหยางที่เห็นแบบนั้นสั่นไปด้วยความกลัว ตัวเขารีบลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินจากไป
“ข้าผิดไปแล้ว!”
“ข้าขอตัวก่อน!”
ทุกๆ คนไม่คิดที่จะต่อต้านเช่นกัน เหล่าสาวกจากสำนักอเวจีได้แต่เดินตามฮั๊วจงหยางไปอย่างรวดเร็ว ทุกๆ คนต่างก็ดูทรุดโทรมและเหนื่อยอ่อน เมื่อสาวกสำนักอเวจีเดินจากไป ฝุ่นควันทั้งหมดก็ได้จางหายไปในชั่วพริบตา
ในพริบตาเดียวร่างกายที่แข็งแกร่งของบี่เอี๊ยนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น มันได้ร่อนลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ
เฉินเหลียงชูตกใจกับการมาถึงของมัน ตัวเขารีบถอยห่างออกไปตามสัญชาตญาณในทันที
ตัวเขาคิดมาตลอดว่าผู้อาวุโสจะขู่โจมตีฮั๊วจงหยาง ใครจะไปรู้กันว่าลู่โจวใช้พลังเพื่อที่จะอัญเชิญสัตว์ขี่ของตัวเองแบบนี้
ลู่โจวรีบกระโดดขึ้นหลังของบี่เอี๊ยน
“ผู้อาวุโส!” เฉินเหลียงชูรีบส่งเสียงเรียก
“อะไรกัน?”
“ไม่มีอะไร…ไม่มีอะไรสำคัญ…ฝีมือ…ฝีมือของข้ามันเป็นยังไงบ้าง?” เฉินเหลียงชูมองไปที่ลู่โจวอย่างมีความหวัง มันเป็นเหมือนกับเด็กที่กำลังรอคำชื่นชมอยู่
“เจ้าไม่โกรธที่ข้าทำลายพลังวรยุทธของเจ้าอย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวได้ถามออกมาตรงๆ
“ไม่ ไม่เลย…ข้าสมควรที่จะถูกลงโทษเช่นนั้นแล้ว นอกจากนี้ข้ายังมีดอกแมกโนเลียสีดำอยู่…” เฉินเหลียงชูหยุดพูดก่อนที่จะรีบเปลี่ยนคำพูด “ข้าไม่ได้มีอะไรทั้งนั้น!”
ลู่โจวมองไปที่เฉินเหลียงชูก่อนที่จะพูดออกมา “สวรรค์น่ะไม่มีเมตตาหรอก ยิ่งนอบน้อม ก็ยิ่งได้เรียนรู้ เจ้าควรจะคิดให้ดีว่าสิ่งไหนควรทำไม่ควรทำ”
หลังจากที่พูดจบลู่โจวก็ได้ควบคุมบี่เอี๊ยนให้บินขึ้นไปบนอากาศ ในตอนนี้มีหยวนเอ๋อและสีวู่หยาบินอยู่ที่ด้านหลังตัวเขา
เฉินเหลียงชูยังคงยืนตกตะลึงอยู่ ตัวเขาจำเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ดี เมื่อเทียบกับสิ่งที่ตัวเขาทำ เฉินเหลียงชูกำลังทำอะไรอยู่กันแน่? หลังจากที่เงียบไปชั่วหนึ่งตัวเขาก็ได้โค้งคำนับให้กับลู่โจวก่อนที่จะวิ่งจากไปไกลทั้งๆ ที่ตัวยังสั่น
…
ในขณะเดียวกัน ณ สุสานเมลิล็อต
ยู่ฉางตงได้ถอนหายใจออกมาในขณะที่คลายฝ่ามือออก ตัวเขาได้โคจรพลังลมปราณที่จุดตันเถียนพร้อมกับปรับพลังลมหายใจและทำสมาธิไปพร้อมๆ กันจนสำเร็จแล้ว ในตอนนี้พลังลมปราณที่มีอยู่ในตัวได้สงบลงอีกครั้ง
ยู่ฉางตงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น…ตัวเขาจ้องมองแสงที่กำลังสอดส่องลงมาที่สุสานเมลิล็อตจากเพดานถ้ำอย่างพึงพอใจ ความรู้สึกที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกวันช่างเป็นอะไรที่พิเศษสำหรับยู่ฉางตง…มันเหมือนกับวันที่ตัวเขาเพลิดเพลินไปกับแสงของพระอาทิตย์ตกดินในเมื่อวันก่อน หลังจากที่พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วในที่สุดพระอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ก็ขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้ง
บนหุบเขาน้ำกร่อยยังคงมีอากาศที่เหน็บหนาวเช่นเคย…แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะสามารถต้านทานความเย็นได้ ยู่ฉางตงต้องการที่จะออกไปรับแสงจากเช้าวันใหม่…แต่น่าเสียดายสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้อ่อนแอไป ตัวเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอยู่ในสุสานเมลิล็อตต่อ
ยู่ฉางตงลุกขึ้นมาก่อนที่จะจ้องมองไปรอบตัว ทุกๆ อย่างยังคงถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเช่นเคย
“จงออกมา!” พลังอวตารขนาดเล็กได้ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของตัวเขา พลังอวตารมีลักษณะคล้ายคลึงกับยู่ฉางตงทุกอย่าง รูปร่างของมันเป็นเหมือนกับชายหนุ่มตัวสีทองขนาดเล็ก สิ่งที่ทำให้มันดูแปลกตาไปมากที่สุดก็คือการที่พลังอวตารไม่มีดอกบัวทองคำ ที่เท้าของพลังอวตารมีเพียงแค่แสงสีทองส่องสว่างเป็นวงกลมเท่านั้น ไม่นานแสงจากวงกลมก็เริ่มที่จะเลือนหายไป
ยู่ฉางตงเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการผลิกลีบดอกบัวเหมือนกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ตัวเขารู้ดีว่ากลีบดอกไม้มันเบ่งบานออกมาได้ยังไง แต่ในตอนนี้ยู่ฉางตงยังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังเดินตามเส้นทางที่จะฝึกฝนตัวเองไปยังขั้นที่เก้า สิ่งที่ยู่ฉางตงตั้งใจที่จะทำมีเพียงการสร้างดอกบัวทองคำอีกครั้ง หลังจากที่แยกดอกบัวทองคำออกจากพลังอวตาร สิ่งที่ยู่ฉางตงจะต้องทำใหม่ก็คือการสร้างมันขึ้นมา ตัวเขาที่คิดแบบนั้นได้จึงรีบโคจรพลังลมปราณทั้งหมดของตัวเองก่อนที่จะควบแน่นมันให้กลายเป็นพลังสีทอง ยู่ฉางตงได้ทุ่มพลังที่มีไปยังพลังอวตารของตัวเอง
พลังอันมหาศาลได้รวมตัวกันอยู่ที่ใต้เท้าของพลังอวตาร จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของยู่ฉางตง การที่รวบรวมพลังลมปราณได้ถึงเพียงนี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะสร้างดอกบัวทองคำได้ แต่ไม่ว่ายู่ฉางตงจะโคจรพลังลมปราณไปมากแค่ไหน ตัวเขาก็ไม่สามารถที่จะสร้างดอกบัวทองคำได้เลย วงแหวนพลังได้ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้าของพลังอวตารก่อนที่จะสลายไปราวกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
“จงออกมาอีกครั้ง!” เสียงของยู่ฉางตงยังคงแน่วแน่และเต็มไปด้วยพลัง ด้วยความปรารถนาที่ตัวเขามีทำให้ลำแสงสีทองปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
หวืออ! หวืออ! หวืออ!
เสียงของอะไรบางอย่างกำลังดังก้องไปทั่วทั้งสุสาน
ที่ใบหน้าของยู่ฉางตงมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น ‘นั่นมัน…กลีบดอกบัว!’