“อันที่จริงข้าได้พบกับวิธีที่จะฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นที่เก้าได้แล้ว” ลู่โจวได้ตอบกลับมา คำพูดของเขาเป็นเหมือนกับคำพูดเล็กๆ ที่ทำให้เกิดคลื่นอันใหญ่ยักษ์ได้
ทุกคนยกเว้นหมิงซี่หยินต่างก็แสดงสีหน้าที่ตื่นตกใจออกมา
สีวู่หยาในตอนแรกที่ดูเหนื่อยล้าดูเหมือนว่าเขาจะกลับมามีแรงอีกครั้ง ดวงตาของสีวู่หยาเบิกกว้างในขณะที่จ้องมองลู่โจว มือของเขาสั่นเครือจนไม่สามารถที่จะควบคุมได้ นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
หมิงซี่หยินโบกมือก่อนที่จะพูดออกมา “แม้ว่าเจ้าอยากจะรู้วิธีฝึกฝนมากสักแค่ไหน แต่เจ้าจะมีความกล้ามากพอไหมล่ะ? ความกล้ามากพอที่จะตัดดอกบัวทองคำจากพลังอวตารของตัวเองน่ะ?”
“ตัดดอกบัวทองคำ?” ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ
วิธีนี้เป็นเพียงวิธีเดียวที่พอจะมีความหวังสำหรับในตอนนี้ ลู่โจวคงจะชอบวิธีนี้มากกว่าเดิมถ้าหากมีใครสักคนได้ลองทำมันก่อนตัวเขา ท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็ยังมีการ์ดพลังชีวิตอีกหลายใบ ยังไงตัวเขาก็จะสามารถรักษาอายุขัยของตัวเองให้อยู่ต่อไปได้แม้ว่าจะไม่ได้ฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นที่เก้าก็ตามที ลู่โจวหวังเอาไว้ว่าลูกศิษย์ของตัวเขาจะสามารถฝึกฝนตัวเองไปจนถึงขั้นที่เก้าได้ แต่ลู่โจวรู้ดี การที่ตัดดอกบัวทองคำของตัวเองออกมาไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย ไม่มีใครกล้าที่จะทำแบบนั้นได้เว้นแต่ว่าคนคนนั้นจะกล้าหาญมากพอ นอกจากนี้ยังไม่มีอะไรรับประกันอีกด้วยว่ามันจะเป็นวิธีที่ประสบความสำเร็จ ในฐานะที่ลู่โจวเป็นผู้ที่ข้ามมิติมา ตัวเขาต้องการที่จะพิสูจน์ความเป็นจริงของทฤษฎีที่ว่า ตัวเขายังต้องการหนูทดลองเพื่อทดสอบความคิดนี้ ปัญหามีเพียงอย่างเดียว แล้วใครล่ะกล้าพอที่จะเต็มใจรับบทเป็นหนูทดลอง?
หมิงซี่หยินโค้งคำนับ ตัวเขามองไปที่สีวู่หยาก่อนที่จะถามออกมาเบาๆ “ศิษย์น้องเจ็ด และเจ้าล่ะกล้าพอไหมล่ะ?”
สีวู่หยายังคงนิ่งเงียบ ตัวเขาหรี่ตาลงก่อนที่จะขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเองตัวเขาก็จำขึ้นมาได้ว่าเคยได้ยินใครบางคนกำลังศึกษาวิธีการฝึกฝนตัวเองไปสู่ขั้นที่เก้าได้ในตอนที่อยู่ในพระราชวัง ถ้ามันเป็นความจริง นั่นจะไม่หมายความว่าทางพระราชสำนักจะมียอดฝีมือเป็นไพ่ตายอยู่ก่อนหรอ?
ต้วนมู่เฉิงที่ได้ฟังแบบนั้นก็สงสัย “ตัดดอกบัวทองคำของตัวเองออกอย่างงั้นเหรอ? นั่นเป็นวิธีการแบบไหนกัน?”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงกัน? ท่านก็ลองถามท่านอาจารย์ดูซะสิ” หมิงซี่หยินได้ตอบกลับมาพลางมองลู่โจว
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดขึ้น “การแยกดอกบัวทองคำออกจากตนเป็นหนึ่งในวิธีที่จะฝึกฝนตัวเองไปสู่ขั้นที่เก้าได้ แต่การจะทำแบบนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่คนคนนั้นจะต้องเสียชีวิต ดังนั้นมันจึงเป็นวิธีที่ยังไม่ถูกพิสูจน์ให้แน่ชัด”
คนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าตอบรับเบาๆ
ลู่โจวมองไปที่สีวู่หยาก่อนที่จะถามออกมา “เจ้าพอใจในคำตอบของข้าแล้วรึยังล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีวู่หยาก็หยุดสั่นเครือ ตัวเขาได้คุกเข่าลงก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าไม่กล้าคิดเช่นนั้น!”
“เป็นหน้าที่ของอาจารย์อย่างข้าที่จะต้องคลี่คลายข้อสงสัยให้กับผู้เป็นศิษย์…ข้าจะตอบคำถามทุกอย่างของเจ้าเอง” ลู่โจวพูดต่อ
ในทางตรงกันข้าม สีวู่หยารู้สึกว่าคำตอบของลู่โจวเป็นเหมือนกับการเยาะเย้ยตัวเขาซะมากกว่า แต่ถึงแบบนั้นสีวู่หยาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นกลัว ยังไงอาจารย์คนนี้ก็ยังเป็นอาจารย์อยู่ แล้วศิษย์อย่างตัวเขาล่ะ จะยังกลายเป็นศิษย์เหมือนกับเมื่อก่อนไหม?
ลู่โจวพูดอีกครั้ง “จะว่าไปเจ้าคิดว่าข้าเหลือเวลานานแค่ไหนกัน?”
“อืม…” สีวู่หยาลุกขึ้น ตัวเขากลัวที่จะพูดในสิ่งที่คิดออกมา แม้ว่าตัวเขาและเกือบทุกคนจะคิดว่าขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่กำลังจะใกล้มาเยือนตัวของผู้เป็นอาจารย์เต็มที แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดความจริงอันนี้ออกไปอยู่ดี
ลู่โจวไม่รอคำตอบของสีวู่หยาอีกต่อไป ลู่โจวได้มองไปที่ทุกคนที่อยู่ด้วยก่อนที่จะถามออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด “แล้วพวกเจ้าล่ะคิดว่าข้าเหลือเวลามากแค่ไหนกัน?”
ทั้งห้องโถงเงียบราวกับว่ามันได้กลายเป็นสุสานไป
ลู่โจวอยากจะถามคำถามนี้มานานแล้ว สำหรับลู่โจวมันเป็นเพียงเรื่องที่น่าขบขันเท่านั้น มนุษย์มักจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดว่าตัวเองนั้นเป็นผู้ชาญฉลาด แต่ถึงแบบนั้นเหล่ามนุษย์ก็ไม่อาจที่จะข้ามผ่านหรือเอาชนะความกลัวได้
ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ
เป็นไปตามที่คาดไว้ ลู่โจวรู้ดีว่าพวกเขาจะไม่กล้าพอที่จะตอบคำถามนี้แน่ ลู่โจวได้สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะพูดต่อ “ขังสีวู่หยาไว้ในถ้ำแห่งเงาสะท้อน ปิดผนึกการใช้พลังลมปราณของเขา และโบยเจ้านั่นเป็นการลงโทษ 50 ครั้งซะ!”
“ครับท่านอาจารย์”
“ติ้ง! ลงโทษสีวู่หยาสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 600”
ซู่ฮ่องกงเดินเข้าไปหาสีวู่หยาด้วยความตั้งใจของตน ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ยังเป็นมิตรต่อสีวู่หยามากที่สุด เพราะแบบนั้นมันคงจะเหมาะสมแล้วที่ตัวเขาจะคอยดูแลสีวู่หยาต่อ
คนอื่นๆ มองไปที่สีวู่หยาก่อนที่จะส่ายหัว ทุกคนไม่เข้าใจเลยว่าเพราะอะไรกันสีวู่หยาถึงยังจะดื้อรั้นและต้องต่อต้านลู่โจวแบบนี้? ทำไมเขาถึงไม่ยอมจำนนและยอมเชื่อฟังกัน?
สีวู่หยาลุกขึ้นก่อนที่จะตามสีวู่หยาไป แต่ก่อนที่จะเดินออกจากศาลาทางตะวันออกสีวู่หยาก็ได้หยุดเดินซะก่อน “เมื่อสามวันก่อนสำนักแห่งความมืดได้ข่าวมาว่าสิบสำนักใหญ่จะจัดตั้งพันธมิตรขึ้นมา พวกเขาเรียกพันธมิตรนี้ว่าพันธมิตรกำจัดมาร มีข่าวลือมากมายว่าศิษย์พี่รองได้ถูกสังหารไปแล้ว ในตอนนี้สำนักฝ่ายธรรมะกำลังวางแผนที่จะตอบโต้กลับมา” ทันทีที่พูดจบสีวู่หยาก็เดินออกจากศาลาไปพร้อมกับซู่ฮ่องกง
หมิงซี่หยินขมวดคิ้ว
หยวนเอ๋อทำหน้าบึ้งตึงก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ เจ้าคนพวกนั้นมันช่างน่ารังเกียจซะจริง พวกเราจะต้องสั่งสอนเจ้าพวกนั้นซะแล้วล่ะ!”
“แล้วเจ้าวางแผนที่จะสอนบทเรียนให้กับเจ้าพวกนั้นยังไงกันล่ะ?”
หยวนเอ๋อเกาหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าจะจับพวกมันและใช้กำลังเป็นการสั่งสอน!”
แน่นอนว่าลู่โจวไม่ได้เห็นด้วยกับคำแนะนำของหยวนเอ๋อ แต่ดูเหมือนว่าเจตนาในการเข่นฆ่าของนางจะรุนแรงไม่เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว ผ่านไปชั่วครู่ตัวเขาก็ได้โบกมือก่อนที่จะพูดออกมา “วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน”
“พักผ่อนให้สบายท่านอาจารย์!”
“ศิษย์ขอตัวก่อนท่านอาจารย์!”
“หมิงซี่หยิน อย่าเพิ่งไปไหน” ลู่โจวได้พูดออกมา
ในตอนนั้นคนอื่นๆ ก็ได้ออกจากศาลาทางตะวันออกไป
หมิงซี่หยินเหลือบมองไปที่ประตูที่แตกออกเป็นเสี่ยงก่อนที่จะพูดออกมาด้วยความเคารพ “ศิษย์จะซ่อมแซมประตูให้กับท่านอาจารย์เอง”
ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าจะมอบงานให้เจ้า 2 งาน”
หมิงซี่หยินดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น “เพียงแค่ท่านอาจารย์ต้องการ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อท่านเอง ข้าจะต้องทำมันให้สำเร็จแน่ไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟก็ตาม”
“ภารกิจแรกจงปล่อยข่าวไปว่าการตัดดอกบัวทองคำก็คือหนทางที่จะฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่เก้าได้”
“หะ?” หมิงซี่หยินตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น ชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องลำบากมากแค่ไหนกว่าที่จะเดินทางไปยังสำนักหยุนเพื่อที่จะได้รู้ถึงเรื่องนี้ เหตุใดพวกเขาถึงจะต้องเปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนอย่างง่ายดายกัน? หมิงซี่หยินไม่เข้าใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ลู่โจวได้พูดต่อ “การตัดดอกบัวทองคำก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย ยังไม่มีใครเคยคิดที่จะลองวิธีนี้มาก่อน การตัดดอกบัวทองคำก็เท่ากับการฝึกฝนตัวเองใหม่ทั้งหมด ถ้าหากพวกเรารวบรวมข้อมูลจากผู้ที่พยายามตัดดอกบัวทองคำได้มากขึ้น พวกเราเองก็จะมีความรู้มากขึ้นไปด้วย” นี่เป็นความคิดอันก้าวหน้า สำหรับผู้ฝึกยุทธในอดีต พวกเขามักที่จะเก็บซ่อนวิธีฝึกฝนตนเอาไว้ มันจะเป็นของที่ถูกเปิดเผยให้กับคนใกล้ชิดเท่านั้น มันเป็นเหมือนกับสมบัติล้ำค่าที่จะส่งต่อให้กับผู้สืบทอดเพียงไม่กี่คน มันก็เหมือนกับหมากกระดานของสำนักหยุนเทียนลั่ว พวกเขาไม่มีวันที่จะมอบหมากกระดานนั้นให้กับใครง่ายๆ แน่แม้ว่าสำนักหยุนเทียนลั่วของพวกเขาจะถูกทำลายไปก็ตาม การทำอะไรเช่นนี้จะเป็นการหยุดยั้งไม่ให้โลกของการฝึกตนก้าวหน้าต่อไป การแบ่งปันข้อมูลร่วมกันจะทำให้ขีดจำกัดทางด้านความรู้ถูกทำลายไป ท้ายที่สุดแล้วความหลากหลายที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ก็จะพัฒนาวิธีการฝึกฝนเดิม มันเป็นของที่ต้องลงทุนนั่นเอง
“ศิษย์เข้าใจแล้ว” หมิงซี่หยินตอบกลับมา
“ภารกิจที่สองก็คือการตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับพันธมิตรของสิบสำนักใหญ่ ถ้าหากเจ้าสืบได้อะไรก็รายงานข้าในทันที”
“ได้ครับท่านอาจารย์!”
…
ในขณะเดียวกันที่พระราชวังเขียวชอุ่ม ณ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ผู้ส่งสารคนหนึ่งได้เดินเข้าไปที่ห้องตำราก่อนที่จะทำความเคารพและคุกเข่าลงบนพื้น ตัวเขาได้ถือรายชื่อของอะไรสักอย่างด้วยมือทั้งสองข้าง “ฝ่าบาท นี่คือรายชื่อของผู้ที่มีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ที่เสียชีวิตภายในเดือนนี้”
หลิวกู่ได้วางพู่กันหมึกลงบนโต๊ะก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าจะไม่อ่านมัน เจ้าอ่านให้ข้าฟังซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ผู้ส่งสารได้คลี่รายชื่อออกมาก่อนที่จะเริ่มอ่านออกเสียง “มีผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์สี่คนที่ได้เสียชีวิตไป ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวสามกลีบและผู้ที่ใกล้จะผลิกลีบดอกบัวได้ตายด้วยสาเหตุเดียวกัน พวกเขาไม่สามารถดูดซับพลังอะไรต่อไปได้และได้เสียชีวิตเมื่อจุดตันเถียนของตนระเบิด ส่วนผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบพยายามที่จะใช้กำลังดัดแปลงดอกบัวทองคำของตน ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เสียชีวิต นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีอายุเกินกว่า 900 ปีที่เป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบ เขาคนนั้นได้กินยาอายุวัฒนะไปก่อนที่จะพยายามฝืนผลิกลีบดอกบัวกลีบที่เจ็ดออกมา แต่ท้ายที่สุดแล้วล้มเหลว เขาคนนั้นเสียชีวิตไปเช่นกัน” หลังจากที่รายงานจบตัวเขาก็ยังคงหมอบอยู่กับพื้น
หลิวกุ่ยพยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “ฝังพวกเขาอย่างเป็นพิธี ชดเชยรางวัลด้วยทองคำ 10,000 ชั่งและที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ 4,000 ตารางเมตรให้กับครอบครัวของพวกเขาซะ”
“ฝ่าบาท แล้วถ้าหากพวกเขาคิดปฏิเสธล่ะ?” ผู้รับใช้ได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดก่อนที่จะถามออกมา ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่ฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้นับว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือ มีแนวโน้มสูงมากที่ครอบครัวของพวกเขาจะไม่สนใจของอย่างเงินทองของมีค่า
“นั่นเป็นของที่ข้าจะตอบแทนที่ข้าจะมอบให้ได้แล้ว ข้าขอฝากทุกอย่างไว้กับเจ้าด้วยล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”