ซู่ฮ่องกงยื้มกวาง ตัวเขาในตอนนี้ยืนอยู่ด้านหลังสีวู่หยาก่อนที่จะนวดไหล่ให้ผู้เป็นศิษย์พี่อย่างระมัดระวัง ซู่ฮ่องกงได้นวดไหล่ของสีวู่หยาอย่างนุ่มนวล ตัวเขาพยายามคลายกล้ามเนื้อเป็นครั้งคราวในขณะที่ถามออกมาด้วย “หรงซีอย่างงั้นหรอศิษย์พี่? ด้วยมันสมองของท่านการที่ท่านจะไปค้นหาคริสตัลแห่งความทรงจำสำหรับท่านอาจารย์คงจะไม่ใช่เรื่องยากเลยสินะครับ?”
สีวู่หยาหันมามองซู่ฮ่องกง “ศิษย์น้องแปด เจ้าดูเหมือนจะจงรักภักดีกับศาลาปีศาจลอยฟ้าจริงๆ แล้วสินะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นซู่ฮ่องกงก็หัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าคิดว่าศาลาเป็นสถานที่ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ดูศาลาทั้งสี่ทิศสิศิษย์พี่ ตอนนี้มันมีคนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว มันยังมีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ที่ให้ซุกหัวนอน ถ้าหากท่านต้องการท่านก็สามารถหาสาวๆ มาชมพระอาทิตย์ตกดินกับท่านก็ยังได้ แม้ว่าจะมีตาแก่ไร้ยางอายอยู่หลายคนก็ตามแต่นั่นก็ไม่เพชฌฆาตที่ทำให้ตัวข้าลำบากใจเลย”
สีวู่หยาหันไปมองซู่ฮ่องกงด้วยความสงสัย ตัวเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา จากสีหน้าที่สีวู่หยาแสดงออก ในตอนนี้ตัวเขาดูไม่เข้าใจคำพูดของซู่ฮ่องกงเท่าไหร่นัก
ซู่ฮ่องกงพูดต่อ “ข้าน่ะชอบในสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
สีวู่หยาผลักมือของซู่ฮ่องกงออกจากไหล่ก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้ากำลังพยายามล้วงตำแหน่งคริสตัลแห่งความทรงจำจากข้าอย่างงั้นสินะ?”
“ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นเลยศิษย์พี่”
สีวู่หยาพูดต่อ “มีห้าประเทศด้วยกันในหรงซี มันมีทั้งวู่เซียน, ลั่วหลาน, ซู่เชิบ, ชางกู และชี่กง ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ทำคริสตัลหายสาบสูญไป ถ้าหากพวกเราจะค้นหาพวกเราควรที่จะหาจากที่ไหนก่อนดีล่ะ? นอกจากนี้ยังไม่มีใครการันตีได้อีกว่าคริสตัลแห่งความทรงจำนั่นจะยังไม่ถูกเปิดผนึกออกมา บางทีมันอาจจะตกอยู่ในชนเผ่าอื่นจากหรงเป่ยไปแล้วก็ได้”
“ถ้าหากท่านอาจารย์เป็นคนที่ปิดผนึกมันด้วยตัวเอง ข้าคิดว่ามันคงจะไม่ง่ายแน่ที่จะมีใครปลดผนึกมันออกมา” ซู่ฮ่องกงพูดกลับมาในขณะที่เกาหัวอยู่
“เจ้าจำไม่ได้แล้วหรอที่ศิษย์พี่สี่พูดเอาไว้ ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกใบนี้ เจ้าเองไม่คิดแบบนั้นหรอไง?” สีวู่หยาตอบกลับมา
ซู่ฮ่องกงพยักหน้าเห็นด้วย แต่ในไม่ช้าตัวเขาก็กลับมามีสติอีกครั้ง “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงทำไมท่านไม่พูดความจริงซะล่ะ? ท่านอาจารย์คงจะไม่ทำโทษท่านแบบนี้แน่ศิษย์พี่”
“ความจริงอาจจะยิ่งทำให้ท่านอาจารย์รู้สึกโกรธมากขึ้นก็ได้” สีวู่หยาตอบกลับ
“…”
เสียงของสีวู่หยาที่ยังไม่ทันได้จางหายไป มีเสียงของใครบางคนได้ดังขึ้นออกมาจากนอกถ้ำซะก่อน “ศิษย์พี่เจ็ด ให้ข้าได้ตอบสิ่งที่ท่านกังวลเองเถอะ…นั่นคือสิ่งที่ศิษย์พี่คิดว่าท่านอาจารย์จะเป็นอย่างงั้นเหรอ?”
หยวนเอ๋อได้ปรากฏตัวขึ้นจากปากถ้ำในชุดคลุมสีเขียว ในตอนนี้นางจ้องมองไปที่สีวู่หยาด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดใจ “ถ้าหากไม่ใช่เพราะความเมตตาของท่านอาจารย์ ท่านน่ะจะต้องตายไปแล้วศิษย์พี่!”
“ศิษย์น้องเล็กอย่างงั้นหรอ?” สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นดูอึดอัดใจ “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าแบบนั้น”
“ข้าแน่ใจเลยแหละว่าท่านหมายความว่าแบบนั้น” หยวนเอ๋อได้หายใจรุนแรงมากยิ่งขึ้น นางรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม “ท่านน่ะก็เป็นแค่คนอวดดีเท่านั้นแหละ!” หลังจากนั้นหยวนเอ๋อก็ได้หมุนตัวจากไปโดยที่ไม่รอให้สีวู่หยาได้แก้ตัว
ซู่ฮ่องกงและสีวู่หยาต่างก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่อ
สีวู่หยาถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “แม้แต่ศิษย์น้องเล็กก็ยังเข้าใจข้าผิดไป…”
ซู่ฮ่องกงไม่กล้าที่จะพูดอะไร
สีวู่หยาส่ายหัวอีกครั้ง คนอื่นๆ เองก็คิดเช่นนี้กับตัวเขา “ศิษย์น้องแปด บอกข้าเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของศาลาปีศาจลอยฟ้าทีเถอะ”
“ได้ศิษย์พี่” ซู่ฮ่องกงตอบรับก่อนที่จะเกาศีรษะของตัวเอง “งั้นมาเริ่มกันที่ตาแก่ไร้ยางอายกันก่อนเถอะ…”
…
ภายในศาลาทางตะวันออก
หลังจากที่ทำสมาธิกับเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ลู่โจวก็รู้สึกว่าพลังวิเศษของเขาในตอนนี้เกือบที่จะเติมเต็มกลับมาแล้ว ลู่โจวรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย ตัวเขาได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะจ้องมองกระดาษเก่าแก่ที่วางอยู่บนโต๊ะ นอกจากสถานที่ที่ดูชัดเจน สถานที่ที่เหลือลู่โจวยังคงเห็นเป็นภาพเบลอ ตัวเขามองไม่เห็นอะไรเลย แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็เห็นโครงร่างของหุบเขาลูกหนึ่ง มันเป็นหุบเขาวู่เซียนนั่นเอง
‘ยู่ฉางตงอยู่ที่หุบเขาวู่เซียนอย่างงั้นเหรอ?’ ลู่โจวได้แต่ใช้ความคิดอยู่กับตัวเองก่อนที่จะลูบเครา หลังจากที่คิดไปชั่วครู่ตัวเขาก็คิดว่ามันคงจะไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นลู่โจวจึงกลับไปนั่งทำสมาธิอีกครั้ง ตัวเขาได้เปิดเมนูระบบก่อนที่จะตรวจสอบแต้มบุญที่เหลือ
แต้มบุญ: 44,200
ลู่โจวต้องการแต้มบุญอีกกว่า 50,000 แต้มเพื่อที่จะซื้อพลังอวตารร้อยวิถี ตัวเขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันเรียบง่าย “จับฉลากนำโชค”
“ติ้ง! ใช้แต้มบุญ 50 ได้รับการ์ดพลังชีวิต x10”
การ์ดพลังชีวิต?
ลู่โจวเข้าใจแล้ว ในตอนแรกๆ โอกาสที่จะได้รางวัลใหญ่จากการจับฉลากนำโชคจะมีสูง แต่ในตอนนี้รางวัลกลับเปลี่ยนไป มันเป็นรางวัลที่จะถูกมองให้ตามความต้องการของผู้ใช้
‘ระบบนี่มันจะมอบพลังอวตารให้ฉันไหมนะ?’
ลู่โจวได้จับฉลากนำโชค 20 ครั้งติดต่อกัน ตัวเขาได้รับรางวัลปลอบใจเป็นค่าความโชคดีทั้งหมด 20 แต้ม ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นจึงเลิกที่จะพยายาม เป็นเวลานานแล้วที่ตัวเขาจะได้ของมีค่าจากการจับฉลากนำโชค เมื่อเร็วๆ นี้ตัวเขาก็ได้การ์ดพลังชีวิตเหมือนกับในตอนนี้
ลู่โจวได้เปิดหน้าร้านค้าออกมา ตัวเขาได้ตัดสินใจกัดฟันซื้อการ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตไปอีกสองใบ เพราะแบบนี้แต้มบุญที่ตัวเขามีจึงลดไป 6,000 แต้ม ‘แม้ว่ามันจะแพงแค่ไหนแต่ก็ต้องซื้อเก็บไว้…’ แม้ว่าการ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตจะมีราคาที่แพงมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า แต่ยังไงซะการ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตก็ยังเป็นไพ่ตายสำหรับลู่โจวอยู่ดี
ลู่โจวยังคงครุ่นคิดอยู่กับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป ในตอนนั้นเองจ้าวยู่ก็ได้ปรากฏตัวอยู่ที่ด้านนอกศาลา “ท่านอาจารย์ มีจดหมายใหม่มาจากเจียงอาเฉียนค่ะ”
“อ่านซะ”
จ้าวยู่ได้คลี่จดหมายออกก่อนที่จะเริ่มอ่านออกเสียง “ท่านผู้อาวุโส มีสองอย่างที่ข้าอยากจะชี้แจ้ง เรื่องแรกข้าได้ตรวจสอบเรื่องของพระราชวังเกี่ยวกับการศึกษาวิธีการฝึกฝนตนไปสู่ขั้นที่เก้าแล้ว อันที่จริงในตอนนี้มีคนกำลังศึกษาวิธีที่จะฝึกฝนตัวเองไปสู่ขั้นที่เก้าอยู่ คนคนนั้นอยู่ในพระราชวังไม่ผิดแน่ แต่ถึงแบบนั้นเรื่องนี้ก็ถูกปิดเป็นความลับ แม้แต่แหล่งข่าวของข้าเองก็ยังไม่สามารถหาข้อมูลอะไรเพิ่มได้ สิ่งเดียวที่พวกเรารู้ก็คือเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มีกองกำลังมืดที่กำลังศึกษาเรื่องนี้ พวกมันได้ปกป้องความลับเป็นอย่างดี จากสิ่งที่ข้าคิดพวกมันจะต้องรู้สึกหงุดหงิดมากแน่ที่ท่านผู้อาวุโสได้ปล่อยข่าวเกี่ยวกับการฝึกฝนตนไป ส่วนเรื่องที่สอง สำนักฝ่ายธรรมะกำลังเริ่มแผนการที่จะกำจัดสำนักฝ่ายอธรรม ท่านเองก็ควรระวังไว้ ท้ายที่สุดแล้วท่านผู้อาวุโสคิดยังไงกันที่เจอหลี่จิงยี่ในเมืองแห่งมณฑลเหลียงล่ะ? ฮาฮ่า!”
สีหน้าของจ้าวยู่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อนางอ่านจดหมายเสร็จ นางได้พูดออกมาอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ จดหมายของเจียงอาเฉียนได้ทำให้ข้านึกถึงอะไรบางอย่าง”
“อะไรกันล่ะ?”
“ในตอนที่ข้าอยู่ในพระราชวัง ข้าได้ฟังคนในพระราชวังพูดกันมา จักรพรรดิองค์ปัจจุบันไม่เคยที่จะปรากฏตัวออกมาจากห้องตำราเลย ในตอนที่ท่านยายของข้าเจ็บป่วย ข้าก็ไม่เคยเห็นจักรพรรดิสักครั้ง ขันทีหลี่บอกข้าว่าจักรพรรดิกำลังยุ่งอยู่กับอะไรบางอย่าง ข้าสงสัยจริงๆ ว่าอะไรจะสำคัญไปกว่าเหตุการณ์ในเมืองมณฑลเหลียงและสุขภาพของท่านยายข้า?” จ้าวยู่ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ
เสียงของลู่โจวได้ดังออกมาจากด้านในศาลา “แน่นอน เขาจะต้องมีเรื่องสำคัญที่กำลังต้องดูแลอยู่แน่” ผู้ที่มุ่งตรงไปยังทางใดทางหนึ่ง มักจะเป็นธรรมดาที่จะต้องเสียสละสิ่งรอบข้างไป
เมื่อจ้าวยู่ได้ยินแบบนั้นนางก็สั่นไปทั้งตัว จ้าวยู่จำเวลาที่นางได้ใช้ในพระราชวังได้ดี นอกจากกฎเกณฑ์และมารยาทอันเข้มงวดแล้ว ในพระราชวังก็ไม่มีอะไรนอกเหนือจากความเหน็บหนาว จ้าวยู่รู้สึกเหมือนกับในพระราชวังไม่มีมนุษย์อยู่เลย
…
สิบวันต่อมา
ข่าวการตัดดอกบัวทองคำเพื่อฝึกฝนตัวเองไปขั้นที่เก้าได้แพร่ไปไกลมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่ผ่านการโต้แย้งเป็นเวลานาน เรื่องโกหกก็เริ่มขยายวงกว้าง
มีคนกลุ่มหนึ่งให้ความเห็นเอาว่าวิธีการตัดอกบัวทองคำเป็นเรื่องที่หลอกลวง มันเป็นข่าวที่จะหลอกให้ผู้ฝึกยุทธสูญเสียพลังวรยทุธทั้งหมดไป
ฝ่ายที่เชื่อเรื่องนี้ล้วนแต่เป็นฝ่ายที่ใกล้จะเสียชีวิตเต็มที คนเหล่านั้นไม่สามารถที่จะเอาตัวรอดหลังจากที่ตัดดอกบัวทองคำได้เลย มันเป็นเพราะร่างกายของพวกเขาอ่อนแอมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยึดมั่นใจความเชื่อของตน
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธหลายคนเสนอทฤษฎีขั้นสูงเพื่อที่จะตัดดอกบัวทองคำเพิ่มเติม ทฤษฎีต่างๆ ล้วนแต่ถูกคิดเพื่อที่จะแยกดอกบัวทองคำออกมาให้ได้ก่อนที่พลังอวตารจะผลิกลีบออกมา
…
ภายใต้สุสานเมลิล็อตอันมืดมิด
ยู่ฉางตงลืมไปแล้วว่าตัวเขาได้อยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว
ยู่ฉางตงได้ยกฝ่ามือขึ้นมา ในตอนนั้นเองพลังอวตารสีทองก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของตัวเขาเอง ยู่ฉางตงในตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองมีพลังลมปราณมากพอที่จะผลิกลีบดอกไม้กลีบที่สองแล้ว
“จงผลิบาน!”
แสงใต้เท้าของพลังอวตารได้ส่องสว่างมากขึ้นอีกครั้ง พลังอวตารของยู่ฉางตงเริ่มเคลื่อนตัวลงมา มันดูต่างจากเมื่อก่อน ในตอนนี้แสงสว่างที่เปล่งประกายออกมาไม่ได้เปล่งประกายออกมาจากใต้ฐานของพลังอวตารเท่านั้น
ยู่ฉางตงเข้าใจสิ่งที่สำคัญแล้ว ในตอนนี้พลังอวตารของตัวเขาไม่มีดอกบัวทองคำอีกต่อไป ดังนั้นยู่ฉางตงจึงไม่ต้องคิดอะไรเผื่อดอกบัวทองคำอีก
เมื่อพลังลมปราณของยู่ฉางตงเพิ่มมากขึ้น แสงจากใต้พลังอวตารก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังลมปราณ อวตารของยู่ฉางตงได้ทำให้พลังลมปราณที่ตัวเขาเคยมีเหือดแห้งจนสนิท!