เมื่อสีวู่หยาคุกเข่าลง ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้ได้แม้ว่าต้องการมากแค่ไหน ทุกๆ คนต่างก็เฝ้ามองชายชราที่กำลังยืนอยู่
ต้วนมู่เฉิงเดินไปด้านหน้าก่อนที่จะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ท่านอาจารย์ ข้าเป็นคนที่ปล่อยเขาออกมาเอง สีวู่หยาได้ติดหนี้หย่งหนิง ข้าก็แค่อยากให้ศิษย์น้องมีโอกาสได้บอกลาหย่งหนิงเท่านั้น”
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าและกวาดตามองไปรอบๆ ตัวเขารู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นว่าสีวู่หยาอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าเพียงใด ตัวเขาไม่ได้คาดหวังมาก่อนเลยว่าคำถามทางคณิตศาสตร์จะทรมานสีวู่หยาได้ถึงขนาดนี้ จากเรื่องนี้ตัวเขาก็ได้รู้ว่าสีวู่หยาเป็นผู้ที่ดื้อรั้นมากแค่ไหน หลังจากที่ถามไปครู่หนึ่ง ลู่โจวก็ได้มองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า “อาการของนางเป็นยังไง?”
ฮั๊ววู่เด๋า, เล้งลั่ว และฝานลี่เทียนได้หันมามองลู่โจวด้วยสีหน้าที่สิ้นหวัง
หลังจากที่เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ลู่โจวก็ได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในตอนนี้ตัวเขามีการ์ดรักษาฉุกเฉิน 2 ใบ และการ์ดรักษาฉุกเฉินโฉมใหม่อีก 2 ใบ การที่จะช่วยหย่งหนิงไม่น่าใช้ปัญหาสำหรับลู่โจว ลู่โจวได้หันมาถามสีวู่หยา “เจ้าขอร้องข้าอย่างงั้นเหรอ?”
สีวู่หยาได้ก้มคำนับลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าขอร้องท่านอาจารย์ ได้โปรดช่วยนางด้วย แม้ว่าจะมีโอกาสเพียงน้อยนิดเท่านั้นแต่ได้โปรดช่วยชีวิตนางด้วย”
“ขอเหตุผลให้ข้าทีว่าทำไมข้าถึงจะต้องช่วยนาง” ลู่โจวได้ถามกลับมา
“…”
คำพูดของลู่โจวทำให้สีวู่หยาและคนอื่นๆ ตื่นตกใจ
‘ในเมื่อเห็นฉันว่าเป็นอาจารย์ของตัวเองฉันก็ได้ช่วยสีวู่หยาตามศีลธรรมที่ควรจะเป็นจากการต่อสู้ที่มณฑลเหลียงมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสีวู่หยายังเป็นศิษย์ทรยศ สีวู่หยาปิดบังความจริงไม่ให้ความร่วมมือแต่ก็ยังจะกล้าทำอะไรกับฉันแบบนี้…ถ้าหากฉันช่วยสีวู่หยาง่ายๆ ศักดิ์ศรีของปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าคงจะไม่เหลือแน่’
สีวู่หยาไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่าตัวเขาเข้าใจคำพูดของผู้ที่เป็นอาจารย์ดี สีวู่หยาจะพูดได้อย่างไรว่าอาจารย์จะต้องช่วยเหลือศิษย์ของตัวเองด้วยการช่วยเหลือหย่งหนิงแทนตัวเขา? สีวู่หยาที่เป็นศิษย์ทรยศจะมีหน้าไปพูดแบบนั้นได้ยังไงกัน? สิ่งที่ลู่โจวพูดยังฟังดูสมเหตุสมผล ตัวเขาไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องช่วยเหลือหย่งหนิง
“ท่านต้องการอะไรกันแน่ท่านอาจารย์?”
ลู่โจวไม่ได้ตอบคำถามของสีวู่หยาโดยตรง ตัวเขาได้เดินเข้าไปในห้องแทน
ทุกๆ คนต่างก็เปิดทางให้เขา
“มันเร็วเกินไปที่เจ้าจะรับปากข้า ผู้อาวุโสทั้งสามก็ได้บอกไว้แล้วว่าหย่งหนิงยากที่จะรอดชีวิตได้ ถ้าหากข้าทำไม่สำเร็จมันก็คงจะไม่มีความหมายอะไรที่เจ้าจะมาขอร้องข้า” เมื่อพูดจบลู่โจวก็ได้เปิดประตูก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านใน
สีวู่หยารีบลุกขึ้นยืนในทันทีก่อนที่จะเดินตามลู่โจวไปด้วยความเคารพ
ทุกๆ คนที่ยืนดูเหตุการณ์ทำได้แค่รอเท่านั้น
หลังจากที่เดินเข้ามา ลู่โจวและสีวู่หยาก็ได้เห็นหย่งหนิงกำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียง สภาพร่างกายของนางดูอ่อนแอ ริมฝีปากของนางเหือดแห้งไร้ชีวิตชีวา
สีวู่หยาที่ได้เห็นแบบนั้นขมวดคิ้ว ความคิดของเขาในตอนนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ “สาวน้อยคนนี้เห็นอะไรในตัวเจ้ากัน? ทำไมนางถึงเต็มใจที่จะเสียสละตัวเองเช่นนี้?”
“…” ในขณะที่มองหย่งหนิงที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง สีวู่หยาก็รู้สึกหายใจติดขัดมากขึ้น ตัวเขารู้สึกอึดอัดราวกับว่ากำลังมีของที่หนักหน่วงกดทับบนหน้าอกของตัวเอง สีวู่หยากำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีต ในตอนนั้นทั้งคู่ได้เฝ้ามองดวงจันทร์และหิมะตกเคียงคู่กัน ทั้งคู่ได้แต่งกลอนให้แก่กันและกัน จนถึงตอนนี้…ทุกๆ อย่างกลับจางหายไป มันอาจจะเป็นเพราะว่าสีวู่หยานั้นไร้ประสบการณ์ในตอนที่ตัวเขาเติบโตขึ้น สีวู่หยาเป็นเหมือนกับกระดานที่ว่างเปล่าเมื่อพูดถึงหญิงสาว กว่าที่สีวู่หยาจะรู้ถึงความสำคัญของนาง มันก็สายเกินไปซะแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่สีวู่หยาคาดหวังเอาไว้
สีวู่หยาไม่อาจที่จะทำตามความปรารถนาของผู้คนในพระราชวังได้ สีวู่หยาไม่คิดว่าตัวเองจะรักหย่งหนิง แต่เมื่อได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่หย่งหนิงได้ทำให้กับตัวเอง รวมไปถึงเรื่องที่ยอมเสียสละชีวิตของตน สำหรับสีวู่หยาตัวเขาไม่สามารถทำราวกับว่าตัวเองไม่รู้อะไรได้อีกต่อไป อาจารย์ของตัวเขาพูดถูกทุกอย่าง สีวู่หยาคู่ควรอะไรกันที่จะทำให้หย่งหนิงต้องยอมเสียสละชีวิตเพื่อตัวเขา?
ลู่โจวได้เดินไปตรวจชีพจรของหย่งหนิง ไม่นานนักตัวเขาก็ตรวจสอบมันเสร็จ อันที่จริงมันเป็นเหมือนกับที่ผู้อาวุโสทั้งสามได้พูดเอาไว้ ดาบพลังงานได้ทำลายอวัยวะภายในของนาง ถ้าหากบาดแผลถูกดาบพลังงานธรรมดาสร้างความเสียหาย สิ่งที่ต้องทำมีเพียงการพักผ่อนและพักฟื้นเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าดาบพลังงานของหย่งหนิงจะมีความพิเศษ มันทำให้สภาพของนางไม่สู้ดีจนถึงตอนนี้ พิษจากดาบพลังงานได้เข้าทำร้ายตัวนางเอง
ลู่โจวเหยียดหลังตรงก่อนที่จะเอามือลูบเครา “นางยังมีโอกาสรอด”
สีวู่หยารู้สึกปลาบปลื้มใจ ในขณะที่ตัวเขากำลังคุกเข่าอ้อนวอนลู่โจวก็ได้ถามออกมาซะก่อน “เจ้าไม่รู้จริงๆ สินะว่าคริสตัลแห่งความทรงจำมันอยู่ที่ไหน?”
“หรงซีไม่ก็หรงเป่ย…นับตั้งแต่วันที่ข้าได้กลับศาลาปีศาจลอยฟ้ามา ข้าก็พูดความจริงทุกอย่าง ถ้าหากมีเรื่องโกหกแม้แต่เรื่องเดียวก็ขอให้ข้าไม่ได้ตายดีด้วยเถอะ” สีวู่หยาตอบกลับมา
ท้ายที่สุดแล้วจีเทียนเด๋าก็เป็นคนผนึกความทรงจำของตัวเองเอาไว้ในคริสตัล มันคงจะเป็นไปได้ยากที่จะมีใครคนอื่นรู้เรื่องนี้
“แผนของเจ้าที่วางไว้ในการต่อสู้ของเมืองมณฑลเหลียงนั้นแยบยล แต่ถ้าหากยู่เฉิงไห่อยู่ที่นั่นสำนักอเวจีจะต้องคว้าชัยแน่…ข้าสงสัยว่าทำไมยู่เฉิงไห่ถึงไม่อยู่ที่นั่น” ลู่โจวได้ถามต่อ
“ตาแผนเดิมศิษย์พี่ใหญ่ควรจะปรากฏตัวที่นั่น แต่ก่อนหน้านั้น…ข้าก็ได้นึกถึงตัวแปรที่สำคัญขึ้นมาก็เลยคิดแผนป้องกันเอาไว้ก่อน เซียงลี่ถือได้ว่าเป็นตัวแปรที่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ ตราบใดที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับศิษย์พี่ใหญ่ ยังไงซะสำนักอเวจีก็จะต้องชนะไม่ช้าก็เร็ว” สีวู่หยาตอบกลับ
“เจ้าคิดว่ายู่เฉิงไห่จะมีวิธีทำลายเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นเหรอ?”
“ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องทำลายเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์…”
“เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเลยสินะ?”
สีวู่หยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ตอบกลับไปอยู่ดี “หลิวกู่เป็นผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถ มันเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วที่พวกเราจะวางแผนเพื่อต่อต้านเขา”
“ผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถ?” ลู่โจวไม่เคยคิดถึงเรื่องในพระราชสำนักมาก่อน ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ตัวเขาได้พบกับจักรพรรดิองค์ก่อนอย่างหย่งโชว ตัวเขาก็ได้พบว่าหย่งเป็นผู้ที่มีความสามารถมากแค่ไหน แม้ว่าจะไม่ใช่จักรพรรดิที่ดีที่สุดก็ตาม แล้วทำไมหลิวกู่ถึงกลายเป็นผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถกัน?
“หลังจากที่หลิวกู่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ตัวเขาก็ไม่เคยเข้าร่วมประชุมขุนนางใดๆ และไม่เคยสนใจเรื่องของการปกครองเลย ตัวเขาได้ค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องความลับแห่งชีวิตและการฝึกตนให้กลายเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบมาโดยตลอด…หลิวกู่เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์การกวาดล้างชาวมนุษย์เผือก” สีวู่หยาตอบกลับมา
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นขมวดคิ้ว
สีวู่หยาพูดต่อ “มีบันทึกว่าเอาไว้ว่าการขี่เฉินกวางจะทำให้คนคนหนึ่งมีอายุยืนได้ถึง 2,000 ปี เพื่อที่จะหาเฉินกวางหลิวกู่ได้สังหารหมู่ชาวมนุษย์เผือกไป ศพของพวกเขาถูกทิ้งลงในแม่น้ำสวรรค์ หลังจากนั้นหลิวกู่ก็ได้สั่งการเก็บกู้ซากศพทั้งหมดจากในแม่น้ำโดยใช้เวลายาวนานเป็นสิบปีก็เพื่อที่จะหาเฉินกวาง เพื่อที่จะค้นหาความลับของการฝึกยุทธขั้นที่เก้า หลิวกู่ได้วางเขตแดนพลังทั้งสิบเอาไว้ในหลายเมืองก็เพื่อที่จะทดลองกับมนุษย์ทั้งเป็น มันเป็นวิธีการทดลองที่เข่นฆ่าชีวิตของทุกคน…นอกจากนี้เขายังเป็นผู้สั่งให้เหล่าอัศวินดำโจมตีเมืองทางตอนเหนือ…เล้งลั่วเองก็เคยเป็นอัศวินดำมาก่อน ข้าคิดว่าเขาจะต้องรู้ความจริงเรื่องนี้แน่ นอกจากนี้หลิวกู่ยังได้ทิ้งศพชาวเมืองกว่า 30,000 ให้ลอยเคว้งอยู่ในแม่น้ำอีกด้วย…”
“พอได้แล้ว” ลู่โจวพูดแทรก ตัวเขารู้ดีว่าสีวู่หยาพยายามที่จะพูดอะไร สีวู่หยาพยายามจะบอกความโหดร้ายทั้งหมดและความสามารถในการปกครองบ้านเมืองของหลิวกู่ออกมา ลู่โจวรู้เรื่องทุกอย่างดีหลังจากที่ผ่านการต่อสู้ที่หมู่บ้านฤดูร้อน หลิวกูไม่ได้รับรู้สึกอะไรเลยกับการตายขององค์ชายสองอย่างหลิวหยวน เมื่อได้เห็นแบบนั้นลู่โจวก็ได้รู้แล้วว่าหลิวกู่เป็นชายที่ไร้หัวใจและโหดร้ายเพียงใด
“เจ้าพยายามที่จะเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่พยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้อย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวได้ถามออกมา
“ข้าไม่ได้มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น นั่นคือสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่คิดไว้ในใจ…ข้าก็แค่อยากจะเข้าใจอะไรบางอย่างก็เท่านั้น”
“แล้วนั่นคืออะไรกัน?”
สีวู่หยาเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าอยากจะรู้ว่าทำไมราชวงศ์ของดินแดนหยางอันยิ่งใหญ่ถึงได้มีอำนาจอันยาวนานเช่นนี้ นอกจากนี้ข้ายังอยากที่จะทราบความลับของราชวงศ์ของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ด้วย!”
ลู่โจวขมวดคิ้วอีกครั้ง ตัวเขาคิดว่าสีวู่หยาจะพูดว่ายู่เฉิงไห่อยู่ที่ไหนสักแห่งในคำตอบ หรือบางทีตัวเขาอาจจะได้รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับคริสตัลแห่งความทรงจำ ตัวเขาไม่ได้คาดคิดว่าสีวู่หยาจะหมกมุ่นอยู่กับเหล่าราชวงศ์เช่นนี้ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้สีวู่หยาเข้าไปในพระราชวังในฐานะราชครูอย่างงั้นเหรอ? ทำไมสีวู่หยาถึงมีความคิดที่แปลกประหลาดแบบนี้?
สีวู่หยาดูเหมือนจะรู้ว่าลู่โจวกำลังสับสนในสิ่งที่ตัวเขาได้พูดออกมา “พลังอวตารดอกบัวแปดกลีบและเขตแดนพลังทั้งสิบ…ทั้งสองอย่างยังมีพลังไม่พอ!” สีวู่หยาหยุดชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าหากท่านไม่เชื่อข้า ข้าสามารถให้คนจากสำนักแห่งความมืดส่งข้อมูลทั้งหลายมายังที่นี่ได้”
ลู่โจวพูดตอบกลับ “ถ้าหากเจ้าพบคำตอบ เจ้าจะทำอะไรกัน?”
ในตอนนั้นเองหย่งหนิงก็ได้ไอออกมา
เมื่อเห็นแบบนั้นสีวู่หยาก็ได้ก้มหน้าลงก่อนที่จะพูดอย่างเร่งรีบ “ได้โปรดช่วยนางด้วยเถอะ ท่านอาจารย์!”