หัวหน้าของเหล่าโจรปล้นสุสานเป็นผู้ที่มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาราชครู ชื่อเสียงของยู่ฉางตงเป็นชื่อเสียงที่ดังไปทั่วยุทธภพ ชายคนนี้เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับดาบปีศาจที่ทำให้ทั่วทั้งโลกตกอยู่ในความกลัวมาก่อน แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่รู้เลยว่าคนที่ได้เห็นตรงหน้าก็คือดาบปีศาจ ร่างกายของชายคนนั้นไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป มันได้แต่สั่นกลัวเพียงเท่านั้น ชายคนนี้เคยคิดมาเสมอว่าดาบปีศาจเป็นแค่เพียงเครื่องจักรสังหาร มนุษย์มักจะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวเมื่ออยู่ในสภาวะที่ตกใจหรือกลัวสุดขีด และในตอนนี้เองหัวหน้าของเหล่าโจรปล้นสุสานก็กำลังประสบอยู่
ชายคนนี้อยากที่จะอ้าปากขอความเมตตา แต่พลังแรงกดดันและสีหน้าอันเย็นชาที่ยู่ฉางตงปล่อยออกมาทำให้ตัวเขาไม่อาจที่จะพูดได้เลย เมื่อเงยหน้าขึ้น ตัวเขาก็พบว่ายู่ฉางตงไม่ได้จ้องมองตัวเองเลย ยู่ฉางตงกำลังเหลือบมองไปที่ด้านนอกแทน โจรปล้นสุสานได้แต่สงสัยว่ายู่ฉางตงคิดอะไรอยู่กันแน่ ในตอนนี้ตัวเขาเข้าใจแล้วว่าไม่ได้มีภูตผีเฝ้าสุสาน สิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเพียงแค่ชายที่ซ่อนตัวอยู่เท่านั้น
ในตอนนั้นเองเสียงเห่าหอนของหมาป่าก็เริ่มดังขึ้น เสียงของมันได้ดังไปทั่วดินแดนสีขาว
เสียงของมันได้ทำให้โจรปล้นสุสานกลับมามีสติอีกครั้ง
ในที่สุดยู่ฉางตงก็หันไปจ้องมองชายคนนั้น ตัวเขายังคงสงบนิ่งในขณะที่เดินเข้าไปใกล้
โจรปล้นสุสานได้พูดออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ “จะ…เจ้า…เจ้าเป็นใครกัน?”
ยู่ฉางตงเหลือบมองไปที่ซากศพทั้งสี่ก่อนที่จะเดินผ่านไป ในตอนนี้ความสนใจของเขาทั้งหมดอยู่ที่แสงแดดภายนอก มันเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม มันเป็นแสงที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นราวกับเป็นแสงแรกของฤดูใบไม้ผลิ
“โขกศีรษะสามครั้ง” ยู่ฉางตงเอ่ยปากพูด เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
โจรปล้นสุสานไม่กล้าปฏิเสธ ตัวเขารีบโขกศีรษะคำนับให้กับเหล่าโครงกระดูกที่อยู่ภายในสุสาน เมื่อโขกศีรษะเป็นการไถ่โทษเสร็จตัวเขาก็เหลือบมองไปที่ยู่ฉางตง ในตอนนี้ดาบยืนยาวยังคงส่องแสงไปทั่วทั้งสุสาน
ชิ๊ง!
ดาบยืนยาวได้เฉือนคอโจรปล้นสุสานอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกลับไปยังฝัก
ร่างของโจรปล้นสุสานถูกตรึงไว้อยู่ที่เดิม ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ไม่นานนักของเหลวสีแดงในตัวก็เริ่มไหลรินลงสู่พื้น มันได้ไหลไปรวมกับเลือดของโจรปล้นสุสานคนอื่นๆ เลือดที่ไหลมารวมกันดูคล้ายกับสระน้ำที่อยู่ท่ามกลางเมลลิล็อตที่กำลังเบ่งบาน เมื่อชายปล้นสุสานล้มตัวลง ประตูหินของสุสานเมลิล็อตก็ถูกปิด
ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมืดมิดอีกครั้ง
…
ยู่ฉางตงมองขึ้นไปยังฝูงหมาป่าที่อยู่ด้านบน
ฝูงหมาป่ายังคงเห่าหอน เสียงของมันทำให้กิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ถึงกับสั่นไหวจนหิมะตกลงสู่พื้น
ยู่ฉางตงหันไปทางแสงแดดก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าอีกแล้วสินะ”
บรู๊ววว!
“ข้าสบายดี”
บรู๊ววว!
“ข้าขอฝากที่เหลือไว้กับพวกเจ้าด้วย”
บรู๊ววว!
“ข้าถือว่าพวกเจ้าตอบตกลงก็แล้วกันนะ” ยู่ฉางตงได้หันกลับไปอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินไปยังทางตะวันออกเฉียงใต้
บางทีอาจจะเป็นเพราะยู่ฉางตงไม่มีความสุขในการเหยียบย่ำหิมะสักเท่าไหร่ ตัวเขาจึงรีบเดินผ่านทุ่งหิมะก่อนที่จะเดินไปหยุดตรงหน้าหุบเขา
ยู่ฉางตงยกมือตัวเองขึ้นมา ในตอนนั้นเองพลังอวตารของตัวเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
พลังอวตารร้อยวิถีได้ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของยู่ฉางตง มันไม่มีดอกบัว มีเพียงร่างอวตารกับกลีบดอกบัวทั้งสามกลีบที่หมุนรอบ ในตอนนี้ดาบปีศาจมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์โดยที่มีพลังอวตารสามกลีบ เป็นเวลานานแล้วที่ตัวเขาไม่แม้แต่จะชายตามองผู้ฝึกยุทธที่มีระดับพลังเพียงแค่นี้ พวกเขาทั้งหมดอ่อนแอ อ่อนแอเกินไป อ่อนแอเกินกว่าที่จะคู่ควรความสนใจของตัวเขา เท่ากับว่ายู่ฉางตงในตอนนี้กลายเป็นดาบปีศาจที่อ่อนแอเองที่สุดไปเองแล้ว
ยู่ฉางตงได้ยกเลิกการใช้พลังอวตารของตัวเองไป หลังจากนั้นตัวเขาก็เหลือบมองท้องฟ้าก่อนที่จะจ้องมองหุบเขาวู่เซียน ที่หุบเขาเต็มไปด้วยหิมะทั่วทุกทิศทาง หุบเขาวู่เซียนดูเหมือนถูกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี
ยู่ฉางตงมองไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตัวเขาเริ่มบินด้วยความเร็วสูง ตัวเขากำลังเดินทางไปยังแท่นบูชาหยกเขียว มันต้องใช้เวลาถึง 5 วันกว่าที่จะเดินทางมาถึง แต่ถ้าหากยู่ฉางตงต้องการที่จะกลับไปโดยที่มีพลังอวตารดอกบัวสามกลีบ ตัวเขาก็คงจะใช้เวลากว่าสิบวันเป็นอย่างน้อยกว่าที่จะไปถึง
เส้นทางที่ยู่ฉางตงกำลังเดินทางไปเป็นเส้นเดียวกับที่ยู่ฉางตงเคยใช้ในวัยหนุ่ม ตัวเขาในตอนนั้นไม่มีพลังวรยุทธแม้แต่นิดน้อย ตัวเขาได้ผ่านอุปสรรคทั้งหมดด้วยความมุ่งมั่นและพลังกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยู่ฉางตงได้ใช้เวลากว่าหลายเดือนกว่าที่จะเดินทางไปถึงที่หมาย
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ตัวเขาจ้องมองไปยังดินแดนที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้
…
อาทิตย์ตกดิน เวลาค่ำคืนได้หวนมาเยือน
ภายในถ้ำแห่งเงาสะท้อน สีวู่หยาได้โยนกระดาษโจทย์ปัญหาทิ้งไปที่ด้านข้าง ตัวเขาขยี้ตาอย่างไม่เสแสร้ง สีวู่หยาส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “ในโลกนี้มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมาย แล้วท่านอาจารย์ไปหาคำถามแบบนี้มาจากไหนกัน?”
จนถึงวันนี้คำถามสองข้อแรกเป็นเพียงคำถามเดียวที่สีวู่หยาแก้ปัญหาได้ ดูเหมือนว่าแม้แต่ตัวเขาเองยังหาคำตอบอื่นไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้สีวู่หยารู้สึกหงุดหงิดตัวเอง
แสงจันทร์สอดส่องลงมาที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อน ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้น
“นั่นใครกัน?” สีวู่หยาชายตามองก่อนที่จะเดินไปที่ทางเข้าถ้ำแห่งเงาสะท้อน
เสียงที่ดังขึ้นมาไม่ได้ดังอะไรเลย มันเป็นเสียงที่แผ่วเบา แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่อาจจะหลุดรอดจากสายตาของสีวู่หยาได้
“เทคนิคการหายใจจากภายใน?”
ผู้ฝึกยุทธหลายคนมักจะฝึกฝนสิ่งที่คล้ายกันอย่างการหายใจ ด้วยการหายใจที่ถูกวิธีจะทำให้ทุกคนสามารถรีดเค้นพลังกายอันสูงสุดของตัวเองออกมาใช้งานได้ การหายใจที่แผ่วเบาเป็นการหายใจที่ไม่อาจทำได้นาน มันอาจจะทำให้อวัยวะภายในของผู้ที่หายใจได้รับบาดเจ็บได้ถ้าหากหายใจไปนานๆ วัตถุประสงค์หลักของการหายใจแผ่วเบามีไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับจากเหล่ายอดฝีมือ
เป็นเพราะเหตุนี้ทำให้สำนักใหญ่ทั้งหลายสร้างเขตแดนพลังขึ้นมาก็เพื่อที่จะปกป้องเขตแดนของตัวเอง
ผู้ฝึกยุทธที่ใช้เทคนิคการหายใจภายในจะดูเป็นเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป แม้ว่าพลังนี้จะไม่อาจทำให้ผ่านเขตแดนพลังเข้ามาได้ แต่ถ้าหากพวกเขาอยู่ในเขตแดนแล้วมันก็ยากที่จะตรวจจับ
พลังเขตแดนของภูเขาทองได้หายไปนานแล้ว แต่อย่างไรก็ตามชื่อเสียงยังคงอยู่ ผู้ฝึกยุทธทั่วไปไม่มีทางที่จะกล้าเข้าใกล้ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ ใครกันที่เป็นผู้กล้าบุกมาในครั้งนี้?
พรึ๊บ!
ใครคนหนึ่งได้กระโดดออกมาจากป่าทางด้านขวาของถ้ำแห่งเงาสะท้อน วินาทีต่อมาใครคนหนึ่งก็ได้ปรากฏตัว คนคนนั้นได้คุกเข่าลงก่อนที่จะพูดทักทายออกมา “ท่านเจ้าสำนัก!”
สีวู่หยาที่เห็นคนตรงหน้าได้พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ “ยี่ฉีชิง…เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน?”
“ชู่วว!” ยี่ฉีชิงมองไปรอบตัวของตัวเอง ตัวเขารีบเดินไปยังถ้ำแห่งเงาสะท้อนก่อนที่จะหยิบมีดออกมา “ข้ามาเพื่อพาตัวท่านออกไป”
“ช้าก่อน” สีวู่หยายกมือขึ้น “ใครส่งเจ้ามา?”
“ท่านเจ้าสำนัก…เวลามีค่า เจ็ดสำนักใหญ่ได้ก่อตั้งพันธมิตรแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึงภูเขาทองจะต้องนองเลือดแน่ มันอันตรายเกินไปที่ท่านจะมาอยู่ที่นี่”
ยี่ฉีชิงตรวจสอบรอบตัว เมื่อแน่ใจแล้วว่าพลังวรยุทธของสีวู่หยาถูกผนึก ยีฉีชิงก็มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือสีวู่หยามากยิ่งขึ้น
สีวู่หยาส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้ามาได้ทันเวลาจริงๆ บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องเจ็ดสำนักใหญ่ซะ”
“ท่านเจ้าสำนัก!” ยี่ฉีชิงยกมีดออกมาด้วยความกังวล
“หืม?” สีวู่หยาขมวดคิ้ว เสียงของเขาที่พูดตอบกลับมาต่ำลง “ยี่ฉีชิง”
ยี่ฉีชิงตกตะลึง
สีวู่หยาพูดต่อไป “ทำตามคำสั่งของข้าซะ!”
“ครับ” ยี่ฉีชิงตัวสั่น ตัวเขาไม่กล้าที่จะขัดขืนคำสั่งของสีวู่หยา
“ติดต่อแหล่งข่าวของพวกเราในเจ็ดสำนักใหญ่ สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับไพ่ตายของพวกเขามาซะ” สีวู่หยาสั่งการออกมา
“ครับ…แล้วข้าจะแจ้งให้กับท่านได้ทราบยังไงกัน?” ยี่ฉีชิงหันไปมองหน้าผาที่ตัดกับท้องฟ้ายามราตรี เมื่อต้องคิดว่าฝ่าฟันอุปสรรคมามากแค่ไหนยี่ฉีชิงก็สั่นไปทั้งตัว
“ส่งจดหมายไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็พอ” สีวู่หยาตอบกลับมา
“ท่านเจ้าสำนัก?” ยี่ฉีชิงงุนงง
“ข้าตัดสินใจแล้ว” สีวู่หยาพูดต่อ “ไปซะและทำตามที่ข้าสั่ง”
เมื่อเห็นว่าสีวู่หยาจริงจังแค่ไหน ยี่ฉีชิงก็ไม่กล้าที่จะใช้เวลาอยู่บนหุบเขาทองอีกต่อไป ตัวเขาหันกลับไปก่อนที่จะเดินหายจากไปในความมืด
ในขณะเดียวกันต้วนมู่เฉิงในตอนนี้ยืนอยู่บนต้นไม้จากด้านนอกศาลาทางเหนือ ตัวเขากวาดสายตาไปยังถ้ำแห่งเงาสะท้อนก่อนที่จะพึมพำกับตัวเอง “ถ้าหากคำนึกถึงคำพูดของศิษย์น้องแปด ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง หวังว่าเจ้าจะช่วยอะไรพวกเราได้ล่ะนะ ศิษย์น้องเจ็ด” หลังจากนั้นต้วนมู่เฉิงก็พุ่งตัวไปยังก้อนหินบนทางขึ้นเขา ตัวเขาได้ผ่าก้อนหินออกเป็นส่วนๆ อย่างไม่สบอารมณ์