ด้วยพลังวรยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ลู่โจวมีจึงไม่มียอดฝีมือผู้ที่ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เอาจริงกับตัวเขา มีคำพูดที่เคยพูดในโลกยุทธภพเอาไว้ ‘ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นแค่พวกมดปลวกเท่านั้น’ ผู้ฝึกยุทธที่ไม่อาจฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้มักจะไม่ถูกให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะกรณีใด ตั้งแต่สมัยไหน ผู้ที่แข็งแกร่งมักจะดูถูกผ่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ ผู้ที่มีพลังขั้นศักดิ์สิทธิ์ก็มักจะดูแคลนผู้ที่มีพลังขั้นมหาราชครู ผู้ที่มีพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ก็มักที่จะดูแคลนผู้ที่มีพลังขั้นศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบก็มักที่จะดูแคลนผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวสี่กลีบ…มันเป็นเช่นนี้เสมอ
อย่างไรก็ตามในวันนี้ ทุกๆ คนที่อยู่ในศาลาปีศาจลอยและเหล่าสาวกของเจ็ดสำนักใหญ่ต่างก็ไม่กล้าดูถูกจีเทียนเด๋า ผู้ที่มีพลังพื้นฐานอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ยอดฝีมือหลายคนพยายามที่จะตรวจสอบพลังวรยุทธเพิ่มเติมของลู่โจว ทุกๆ คนต่างก็อยากจะรู้ว่าพลังวรยุทธของลู่โจวถดถอยไปหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็ไม่อาจจับพลังเพิ่มเติมอะไรได้
ในตอนนี้ลู่โจวมองไปที่ผู้ฝึกยุทธที่กำลังรุมล้อมเข้ามาอย่างไม่แยแส ดอกบัวสีฟ้าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขามันเริ่มขยายใหญ่มากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นดอกบัวสีฟ้าก็เริ่มเบ่งบาน พลังของมันกำลังทะลักไปรอบตัวราวกับคลื่นยักษ์
เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังที่จะทำให้ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน พลังที่มีไว้เพื่อรักษาและแสดงถึงสมาธิ พลังที่เป็นดั่งแสงและเงาที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในสมาธิ
เมื่อดอกบัวสีฟ้าบานสะพรั่ง เหล่าผู้ฝึกยุทธที่แห่เข้ามาก็ถูกผลักกระเด็นกลับไป
เหล่าสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็เบิกตากว้างเมื่อได้เห็นเช่นนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะดูลู่โจวใช้วิชานี้อีกสักกี่ครั้ง ทุกคนก็จะรู้สึกเหมือนกับได้เปิดหูเปิดตา
ฮั๊ววู่เด๋า, ต้วนมู่เฉิง, จ้าวยู่ และหยวนเอ๋อเคยพบเห็นพลังเช่นนี้มากว่าหลายครั้งแล้ว พวกเขาเคยเห็นลู่โจวที่เก็บตัวฝึกฝนตัวเองในห้องลับใช้มันมาก่อน ในตอนนั้นทุกคนพยายามที่จะบุกเข้าไปเพื่อที่จะหยุดยั้ง สิ่งที่ทุกคนได้เห็นในตอนนั้นมันดูคล้ายกับตอนนี้ มีเพียงความแตกต่างเดียวเท่านั้น พลังและพื้นที่ที่พลังครอบคลุมมันยิ่งใหญ่แตกต่างจากเมื่อก่อน
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
เหล่าสาวกจากเจ็ดสำนักใหญ่ต่างก็กระเด็นกลับมา พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่กระอักเลือดออกมาจากป่า
พลังที่แผ่ขยายออกมาได้ซัดเข้าใส่รถม้าลอยฟ้าของสำนักทั้งเจ็ดเช่นกัน รถม้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่จะล้มลงไปกับพื้น
พลังของลู่โจวไม่ได้แบ่งแยกว่าใครจะเป็นมิตรหรือศัตรู เล้งลั่วที่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากที่สุดรู้ดี “ถอยเร็วเข้า!”
สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็ถอยกลับในทันที
“นี่มันวิชาอะไรกันแน่?” ฮั๊ววู่เด๋าพึมพำออกมา
“ข้าไม่รู้หรอก” เล้งลั่วตอบกลับ
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…” ซู่ฮ่องกงตอบกลับเช่นกัน “โอ๊ย…ศิษย์น้องเล็ก เจ้าหยิกข้าทำไมกัน?”
หยวนเอ๋อหยิกแก้มตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “นี่มันไม่ใช่ความฝันสินะ”
“…”
จนถึงตอนนี้ลู่โจวได้ใช้พลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ไปหมดแล้ว ตัวเขาในตอนนี้ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบอย่างไม่หยุดยั้ง
การจัดการกับผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ 1 คนจะทำให้ลู่โจวได้รับแต้มบุญเพียง 10 แต้ม ตัวเขารู้สึกว่ารางวัลมันต่ำจนเกินไป
เหล่าสาวกจากสำนักใหญ่ทั้งเจ็ด มีถึง 70% ที่เป็นผู้ฝึกยุทธระดับล่าง มีเพียงผู้อาวุโสทั้นที่มีพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสหลายคนได้ถูกพลังจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์จัดการไปด้วย
ลู่โจวยังคงลอยอยู่บนอากาศ ตัวเขาจ้องมองมายังพื้นเบื้องล่าง ลู่โจวได้แต่ส่ายหัว ตัวเขารู้สึกไม่พอใจกับพลังจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เท่าไหร่ การใช้พลังในครั้งนี้จัดการกับศัตรูไปได้แค่ 30% เท่านั้น ไม่มีอะไรที่ลู่โจวสามารถทำได้อีก ท้ายที่สุดการโจมตีของลู่โจวใช้เพียงพลัง 10% ที่เหลือเท่านั้น ด้วยพลังจำนวนนั้นมันคงจะมากเกินไปที่จะจัดการกับผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ในจำนวนที่มากกว่านี้ และแน่นอนไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงยอดฝีมือเลย ไม่ว่าจะยังไงศัตรูที่มารวมตัวกันก็มีมากกว่าพลังของลู่โจวอยู่ดี การแสดงให้เห็นถึงพลังเป็นเพียงการแสดงพลังเท่านั้น ตราบใดที่ลู่โจวยังสามารถจัดการศัตรูโดยรอบได้ ตัวเขาก็ยังจะดูดีในสายตาคนอื่นอยู่
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธที่รอดมาได้ก็ล่าถอยกลับไป
ผู้อาวุโสจากสำนักหยุนเองเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ล่าถอย พวกเขาเจ็บไปทั้งตัวเพราะต้องต่อสู้ในตั้งแต่แรกเริ่ม
ในขณะเดียวกันหนิงเหลียง เจ้าสำนักเฮ้งชู, เฟิงชิง เจ้าสำนักเจินชาง, เจียหยวนเจ้าสำนักดวงดาราทั้งเจ็ด, เมียวหยิน เจ้าอาวาสวิหารแห่งความโชคดีและเชาจินหาน ศิษย์คนแรกของสำนักต้วนหลิน พวกเขาทั้งหมดยังคงทรงตัวอยู่บนอากาศเอาไว้ได้ มือของพวกเขาทุกคนกดลงไปที่หน้าอกของตัวเองในขณะที่เหลือบมองลู่โจวด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ ชายชราคนนี้แข็งแกร่งเกินไป! พวกเขาทั้ง 5 ได้แต่กลืนน้ำลายอย่างเงียบๆ ถ้าหากไม่ได้รับการปกป้องจากรถม้าลอยฟ้า พวกเขาทุกคนก็คงจะบาดเจ็บไปแล้ว
เฟิงชิงกลืนน้ำลาย ตัวเขาเหลือบมองไปที่ลู่โจวที่กำลังจ้องมองลงมา ในตอนนี้ตัวเขาไม่อาจบรรยายความรู้สึกให้ออกมาเป็นคำพูดได้ อันที่จริงเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าการโจมตีของลู่โจวจะสามารถสร้างความเสียหายได้มากขนาดนี้ เฟิงชิงรวบรวมความกล้าทั้งหมดในขณะที่สูดหายใจเข้าลึกๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมารักษาอาการบาดเจ็บ ตัวเขาพยายามที่จะปลุกขวัญและกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง “ใจเย็นเอาไว้…นั่นมันเป็นวิชาที่ใช้โจมตีเป็นวงกว้างเพียงเท่านั้น ตราบใดที่สำนักเซียนสวรรค์และสำนักเจินชางมีเครื่องรางอยู่ พวกเราเองก็ทำได้เช่นกัน!”
แม้ว่าผู้นำห้าสำนักใหญ่จะเอาตัวรอดมาได้โดยที่ไม่ใช่พลังอวตาร แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตี ทุกคนแทบที่จะกระอักเลือดออกมา ในตอนนี้ทุกคนได้แต่พยายามเก็บอาการเอาไว้
เชาจินหานศิษย์คนแรกของสำนักต้วนหลินได้พูดออกมา “ผู้อาวุโสเฟิง ท่านคิดว่าพวกเราจะเอาชนะได้ไหม?”
เฟิงชิงเหลือบมองมายังเขาก่อนที่จะตอบกลับมา “เชื่อข้า ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ไม่มีทางอื่นอีก…ฝานลี่เทียนแข็งแกร่ง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังถูกสำนักเจินชางของเราจัดการลงได้ นี่ถือว่าเป็นโอกาสแล้ว”
คนอื่นๆ ที่ได้ยินเช่นกันต่างก็สบตากัน ทุกๆ คนตัดสินใจที่จะใช้โอกาสนี้ยืนหยัดต่อสู้ต่อ
เมียวหยินเจ้าอาวาสวิหารแห่งความโชคดีได้พูดออกมา “ได้ยินกันแล้วสินะ…ใครกันที่ควรจะตกนรกหมกไหม้? เหล่าสาวกของข้าจงลุกขึ้นซะ!”
สาวกของเมียวหยินที่ยืนอยู่ได้ลอยขึ้นไปบนอากาศในทันที
เฟิงชิงยกมือขึ้นก่อนที่จะพูดออกมาชัดๆ “ฟังซะทุกคน! จีเทียนเด๋าคงจะอยู่ได้ไม่นานแน่ นี่คือการระเบิดพลังก่อนตายของเจ้านั่น พวกเราไม่มีอะไรจะต้องกลัว!”
สิ่งที่เฟิงชิงต้องการก็คือการทำให้แน่ใจว่าทุกคนจะประจำตำแหน่งเอาไว้ สิ่งที่เฟิงชิงได้พูดออกไปจะจริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญเลย
ลู่โจวลอยขึ้นไปบนอากาศ ตอนนี้ตัวเขาได้แต่นึกถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อไป ‘ฉันเหลือการ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตเพียงแค่ 2 ใบเท่านั้น…โชคยังดีที่ยังมีการ์ดระเบิดจุดสุดยอดจีเทียนเด๋าอีกใบ พวกยอดฝีมือระดับสูงที่ซ่อนตัวอยู่จะปรากฏตัวออกมาอีกไหม?’ ลู่โจวจำเป็นจะต้องเก็บไพ่ตายเอาไว้ ถ้าหากตัวเขาใช้การ์ดระเบิดจุดสุดยอดไปตั้งแต่แรก เหล่ายอดฝีมือทั้งหมดที่เห็นแบบนั้นจะต้องรีบถอยหนีแน่
สาวกจากสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดรู้สึกงุนงงเมื่อได้เห็นจีเทียนเด๋าเหม่อลอยอยู่กลางอากาศ พวกเขาไม่รู้เลยว่าชายชราคนนี้กำลังคิดอะไรกันแน่
ในขณะนี้เหล่านักบวชของวิหารแห่งความโชคดีได้ประจำตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่ชีกว่าหลายสิบคนเริ่มผสานฝ่ามือขึ้นมา ทุกคนเริ่มส่งเสียงดังขึ้น ดังขึ้น เสียงบทสวดเริ่มลอยไปทั่วสนามการต่อสู้
ลู่โจวส่ายหัว “เปล่าประโยชน์!”
วิชาทั้งหมดจะไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอันแข็งแกร่ง
ลู่โจวได้พลิกฝ่ามือของตัวเอง ในตอนนั้นการ์ดใบหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในมือของเขา การ์ดใบนั้นก็คือการ์ดระเบิดจุดสุดยอดของจีเทียนเด๋านั่นเอง
ในตอนนั้นมีอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวอย่างฉับพลันที่มุมตะวันออกของป่าเชิงเขา ใครคนนั้นมาพร้อมกับฝ่ามือที่ถือเครื่องรางเอไว้ ชายคนนั้นได้พุ่งไปบนอากาศราวกับลูกศรที่ถูกยิง “จีเทียนเด๋า! เจ้ากล้าแตะต้องศิษย์ของข้าอย่างงั้นสินะ!”
เหล่าสาวกแห่งสำนักต้วนหลินต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ “ท่านปรมาจารย์!”
เฟิงชิงที่เห็นแบบนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “เยี่ยม ปรมาจารย์แห่งสำนักต้วนหลิน…ในที่สุดท่านก็เคลื่อนไหว!”
ใบหน้าของฉางยานแดงก่ำ ดวงตาของเขาก็เป็นสีแดงเช่นกัน ฉางยานใกล้ที่จะถึงขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่เต็มที แต่ถึงแบบนั้นรูปลักษณ์ของเขากลับดูแปลกไป เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์คนนี้ได้ดื่มยาเพิ่มพลังปีศาจมา ด้วยยาเพิ่มพลังปีศาจทำให้ฉางยานกลับไปมีพลังวรยุทธอยู่ที่จุดสูงสุดอีกครั้ง
ทุกคนเฝ้ามองฉางยานโจมตี ทุกคนที่เห็นแบบนั้นได้คาดการณ์เอาไว้ว่าลู่โจวคงจะต้องตายไม่ก็บาดเจ็บสาหัสแน่
ตู๊ม!
สาวกจากสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดจ้องมองการต่อสู้อย่างมีความคาดหวัง
พรึ๊บ!
พลังลมปราณที่ก่อตัวเป็นรูปกรวยได้ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของฉางยาน ตัวเขากำลังบินตรงมาหาลู่โจวอย่างรวดเร็ว
ลู่โจวหยุดจ้องมองฉางยานชั่วครู่ หลังจากนั้นตัวเขาก็ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ดีมาก” การ์ดระเบิดจุดสุดยอดในมือของเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ทันทีที่การ์ดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แสงสว่างก็ได้พุ่งออกมาจากฝ่ามือของลู่โจว มันได้วนอยู่รอบตัวของเขา จุดตันเถียนที่เคยอ่อนแอบัดนี้กลับไปเปี่ยมด้วยพลังอีกครั้ง แม้แต่เส้นพลังลมปราณทั้งแปดเองก็ยังเต็มไปด้วยพลัง ลู่โจวรู้ดีว่าเหล่ายอดฝีมือจะไม่แสดงตัวออกมาอย่างประมาท แต่ในท้ายที่สุดลู่โจวก็ตัดสินใจที่จะใช้การ์ดระเบิดจุดสุดยอดเพื่อจัดการกับศัตรูทั้งหมด การปรากฏตัวของฉางยานถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่เป็นเรื่องน่ายินดี ด้วยพลังจุดสุดยอดของจีเทียนเด๋ามันจะต้องเหนือกว่าพลังของฉางยานแน่ “ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะตาย ข้าก็จะเป็นผู้เติมเต็มความปรารถนานั้นให้เอง”
สีหน้าของลู่โจวยังคงนิ่งเฉยก่อนที่จะยกฝ่ามือขวาขึ้น ที่ฝ่ามือของเขาส่องแสงสีทองไปยังทิศที่ฉางยานกำลังพุ่งเข้ามา
ตู๊ม!