ลู่โจวจำได้ดีว่าตัวเขาจะต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันแค่ไหนในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับสิบสุดยอดสำนักฝ่ายธรรมะในตอนที่ตัวเขาเพิ่งจะถึงโลกใบนี้ ในตอนนั้นลู่โจวได้สูญเสียพลังวรยุทธทั้งหมดไป และศิษย์ของตัวเขาเองก็ยังไม่รักดี มันเป็นช่วงเวลาอันยากลำบากสำหรับลู่โจวก็ว่าได้ หลังจากที่ลู่โจวจัดการกับสิบสุดยอดสำนักไป ลู่โจวก็ได้รับการ์ดวิเศษและไม่เคยที่จะกังวลอะไรเกี่ยวกับสำนักฝ่ายธรรมะอีก น่าเสียดายที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นที่ดึงดูดของคนทุกคนจนเกินไป มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ที่มีสมบัติมากมายจะตกเป็นเป้าหมายแบบนี้ ทุกๆ คนต่างก็รวมตัวกันภายใต้ความยุติธรรม มันเป็นเพียงเหตุผลที่สำนักฝ่ายธรรมะใช้เพียงเพื่อหลอกตัวเองเท่านั้น
ในตอนนี้ลู่โจวกำลังยืนอยู่ที่นอกศาลาปีศาจลอยฟ้า ตัวเขากำลังเอามือไขว้หลังตัวเองเอาไว้ ไม่นานนักลู่โจวก็ได้เห็นต้วนมู่เฉิงและซู่ฮ่องกงที่กำลังแบกเปลขึ้นสู่หุบเขา
ทั้งสองคนหยุดเดินทันทีที่เห็นอาจารย์ของตัวเอง ทั้งคู่ได้วางฝานลี่เทียนลงก่อนที่จะทำความเคารพ
“อาจารย์!”
เล้งลั่วและฝานซงรีบมารวมตัวทันทีที่ได้ยินข่าว ทั้งคู่ขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นสภาพของฝานลี่เทียน
แม้ว่าเล้งลั่วจะเป็นคู่กัดกับฝานลี่เทียน แต่ลึกๆ ทั้งคู่ก็ยังมีมิตรภาพอันดีให้แก่กัน เล้งลั่วจะไม่ตกใจได้ยังไงกันเมื่อได้เห็นฝานลี่เทียนในตอนนี้?
ฝานซงยิ่งตกใจมากขึ้น ตั้งแต่ที่ทั้งสองคนได้พบกัน ฝานลี่เทียนก็คอยชี้แนะการฝึกยุทธของฝานซงอยู่เสมอ ฝานลี่เทียนไม่คิดที่จะหวงความรู้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่พ่อและแม่แท้ๆ ของฝานซงก็ยังไม่เคยดูแลตัวเขาดีเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ฝานซงจะไม่สนใจฝานลี่เทียน
ต้วนมู่เฉิงและซู่ฮ่องกงดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“ตาแก่ฝาน!” ฝานลี่เทียนตะโกนออกมาก่อนที่จะจับชีพจรฝานลี่เทียน
เล้งลั่วได้พูดขึ้น “ให้ข้าดูเถอะ”
ฝานซงหลีกทางให้
เล้งลั่ววางฝ่ามือไว้บนร่างกายของฝานลี่เทียน หลังจากที่ตรวจร่างกายเสร็จเล้งลั่วก็ได้พูดออกมา “นี่เป็นอาการของผู้ทีjเผาผลาญจุดตันเถียนของตัวเอง…เดิมทีฝานลี่เทียนบาดเจ็บตั้งแต่แรก และในตอนนี้ตัวเขาก็เลือกที่จะเผาจุดพลังลมปราณของตัวเอง ฝานลี่เทียน เจ้าเสียสติไปแล้วอย่างงั้นเหรอ?!”
ต้วนมู่เฉิงพูดออกมา “ในตอนที่ข้าได้พบกับเขา ฝานลี่เทียนก็ได้นอนอยู่เชิงเขาแล้ว ข้าคิดว่าฝานลี่เทียนกำลังต่อสู้กับใครมา”
ซู่ฮ่องกงได้พูดออกมาอย่างโกรธแค้น “ใครกันที่แอบลักลอบเข้ามาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า? ช่างน่ารังเกียจซะจริงเจ้าคนไร้ยางอาย! ถ้าหากข้าเจอมัน ข้าจะสับมันเป็นหมื่นชิ้นเอง!”
เล้งลั่วผลักฝ่ามือของตัวเองไปที่ด้านหน้า ตัวเขากำลังถ่ายทอดพลังลมปราณของตัวเองให้กับฝานลี่เทียน ดูเหมือนว่าเล้งลั่วจะลืมไปแล้วว่าตัวเขาได้รับบาดเจ็บในตอนที่พยายามรักษาหย่งหนิงเช่นกัน
เมื่อได้เห็นสิ่งนี้ทุกๆ คนก็ได้แต่ส่ายหัว เล้งลั่วคือชายผู้ที่มีชื่ออยู่บนอันดับสูงสุดของบัญชีดำเมื่อ 300 ปีก่อน เล้งลั่วมีชื่อเสียงมาจากการเข่นฆ่า ไม่ใช่การรักษา
หลังจากนั้นไม่นานเล้งลั่วก็ได้ยกฝ่ามือขึ้น ตัวเขาได้พูดออกมา “จุดตันเถียนเกินครึ่งถูกเผาผลาญไปแล้ว สภาพของเขาดูไม่สู้ดีเลยจริงๆ …” ทันใดนั้นเองตัวเขาก็นึกถึงลู่โจวที่รักษาหย่งหนิงจนรอดพ้นมาจากความตายได้ เล้งลั่วรีบพูดเสริมออกมา “ข้าคิดว่าท่านปรมาจารย์คนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถรักษาเขาได้”
ทุกคนหันไปมองลู่โจวตามสัญชาตญาณ
ลู่โจวได้วัดอาการบาดเจ็บของฝานลี่เทียน ในเวลาเดียวกันตัวเขาก็รู้สึกสงสัยในพลังของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่สี่ ลู่โจวกำลังสงสัยว่าพลังของตัวเขาจะสามารถรักษาจุดพลังลมปราณที่ถูกแผดเผาได้ไหม แม้ว่าจะไม่มั่นใจแต่มันก็มีแต่จะต้องลองเท่านั้น ถ้าหากใช้พลังจากการ์ดรักษาฉุกเฉิน มันก็คงจะบรรเทาอาการบาดเจ็บของฝานลี่เทียนได้ แต่มันไม่สามารถฟื้นฟูจุดพลังลมปราณที่แผดเผาได้แน่
เมื่อจุดพลังลมปราณถูกทำลายไป คนคนนั้นก็จะไม่สามารถฝึกยุทธได้อีก นอกจากนี้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จุดพลังลมปราณของฝานลี่เทียนถูกทำลาย นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ตัวเขาได้รับบาดเจ็บ หนำซ้ำบาดแผลเก่าของเขาก็ยังไม่หาย ทุกๆ คนต่างรู้กันดีว่าอาการของฝานลี่เทียนมันสาหัสเพียงใด
“ถอยออกมา”
เล้งลั่ว, ฝานซง, ต้วนมู๋เฉิง และซู่ฮ่องกงรีบถอยกลับไป ทุกคนล้วนแต่หลีกทางให้กับลู่โจว
ลู่โจวเดินไปใกล้ฝานลี่เทียนก่อนที่จะยกมือขวาขึ้น ทันทีที่มือของตัวเขาปรากฏขึ้นจากแขนเสื้อ ในตอนนั้นดอกบัวสีฟ้าจางๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
ทุกๆ คนต่างก็กลั้นหายใจอย่างพร้อมเพรียงกัน ในตอนนี้ทุกคนกำลังหวนคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ภาพดอกบัวสีฟ้าอันทรงพลังในมือของลู่โจวเคยจัดการศัตรูผู้แข็งแกร่งมาก่อน
ใต้หน้ากากสีเงินในตอนนี้ดวงตาของเล้งลั่วกำลังเบิกกว้าง ตัวเขาจ้องมองดอกบัวสีฟ้าด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ ไม่มีใครเคยได้เห็นเหตุการณ์การรักษาหย่งหนิงมากับตาตัวเองยกเว้นสีวู่หยา ในตอนที่ลู่โจวใช้พลังครั้งแรก ในตอนนั้นตัวเขาได้ใช้พลังอยู่ในห้องปิดทึบ นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนจะได้เห็นสิ่งนี้
ดอกบัวสีฟ้าหมุนรอบตัวเองช้าลง ช้าลง เมื่อดอกบัวสีฟ้าอยู่ในขนาดที่พอเหมาะ ลู่โจวก็ได้ผลักมันลงไป
ดอกบัวสีฟ้าตกลงบนหน้าอกของฝานลี่เทียน ดอกบัวที่ลอยได้หยั่งรากลึกลงไป ที่รากของมันเต็มไปด้วยพลังที่ไหลสู่ร่างกายฝานลี่เทียน
พลังชีวิตอันกล้าแกร่งและพลังในการเยียวยาของดอกบัวสีฟ้ากำลังรักษาจุดตันเถียน จุดพลังลมปราณของฝานลี่เทียนที่เต็มไปด้วยบาดแผล หลังจากที่เวลาผ่านไปกว่า 15 นาที ดอกบัวสีฟ้าก็ได้หายจางไป
ในตอนนั้นเองฝานลี่เทียนก็เริ่มไอ
เมื่อทุกคนได้แห็นสัญญาณเช่นนั้น ทุกคนก็ล้วนแต่ดีใจมาก
“เขาตื่นแล้ว!” ฝานซงรีบพยุงฝานลี่เทียนขึ้นมา
เมื่อฝานลี่เทียนลืมตาตื่น ตัวเขาก็รู้สึกราวกับได้กลับมากจากโลกที่มีแต่ความมืดมิด ฝานลี่เทียนค่อยๆ กะพริบตาในโลกแห่งแสงสว่างอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ฝานลี่เทียนมองไปรอบๆ ก่อนที่จะเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขและความโล่งใจของผู้คน
“ตาแก่ฝาน…ท่านทำให้เราตกใจจริงๆ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม? ใครกล้าทำแบบนี้กับท่านกัน? โชคยังดีที่ท่านปรมาจารย์อยู่ที่นี่ด้วย ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นท่านก็คงจะตายแล้ว สิ่งที่ข้าทำได้ก็คงมีแต่เยี่ยมท่านที่หลุมศพเท่านั้น!” ฝานซงสะกิดไหล่ของฝานลี่เทียน ฝานลี่เทียนที่ได้ยินเช่นนั้นเริ่มไอออกมาอีกครั้ง
ตอนนี้ฝานลี่เทียนเริ่มเข้าใจทุกอย่างมากขึ้นจากคำพูดของฝานซง ฝานซงพูดถูกทุกอย่าง “หุบปากซะ…ข้ายังไม่ตาย!”
“ทำเป็นเท่ห์อย่างงั้นเหรอ…” ฝานซงพูดไม่ออกกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของฝานลี่เทียน
ฝานลี่เทียนได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ขอบคุณท่านปรมาจารย์จริงๆ ”
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะถามออกมา “ใครทำแบบนี้กับเจ้ากัน? บอกพวกเราได้เลย”
ฝานลี่เทียนถอนหายใจออกมาเบาๆ ตัวเขาได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับลู่โจวได้ฟัง เมื่อเล่าจบว่าเกิดอะไรขึ้นฝานลี่เทียนก็พูดเสริมขึ้นมาอีก “ข้าอยากที่จะพบเฟิงชิงผู้ตกต่ำ แต่ถึงแบบนั้นเฟิงหลิวก็พยายามฆ่าข้าในระหว่างการเดินทาง ศิษย์ของแรกของเฟิงชิง เฟิงหลิวเป็นชายผู้น่ารังเกียจ ในตอนที่ข้าถูกโจมตีข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากต้องฝืนเผาผลาญจุดตันเถียนของตัวเอง…นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บุญคุณที่ข้าเคยติดกับเฟิงชิงจะถือว่าจบกัน”
ตามที่ลู่โจวได้คิดเอาไว้ ฝานลี่เทียนถูกทำลายในตอนที่ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป
“บุญคุณของท่านถือว่าจบไปแล้วอย่างงั้นเหรอ?” ต้วนมู่เฉิงขมวดคิ้ว
สำหรับคนอื่นๆ ฝานลี่เทียนดูเหมือนจะเป็นคนที่ซวยซ้ำซวยซ้อน
“ในอดีตเฟิงชิงเคยช่วยให้ข้าออกมาจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ได้…ชีวิตของคนเรามีค่า ข้ารู้สึกดีจริงๆ ที่อยู่รอดจนมาถึงวันนี้ได้” ฝานลี่เทียนหัวเราะก่อนที่จะพูดต่อ “ในตอนที่ข้าบาดเจ็บสาหัส ในตอนนั้นทุกคนต่างก็คิดว่าข้าได้ตายไปแล้ว…ถ้าหากจะต้องตายอยู่ในนรก ข้าก็จะคลานเอาตัวรอดจะกลับมายังศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่…” ทุกๆ คนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็ตื่นตกใจ
ในขณะในที่ฝานลี่เทียนกำลังรู้สึกถูกจ้องมอง ในตอนนั้นลู่โจวก็ได้หันกลับมามอง สีหน้าของลู่โจวยังคงเรียบเฉย มันปกติเกินไปจนไม่มีใครเข้าใจความคิดของตัวเขา
“เจ้าคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถชำระคืนได้อย่างงั้นเหรอ?”
“ท่านหมายความว่าอะไรกัน?”
“ผู้อาวุโสฝาน…ดูเหมือนว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างไร้ค่ามานานหลายปีจนเกินไป ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจเรื่องอะไรง่ายๆ เช่นนี้กันล่ะ? ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจ “เจ้าก็รู้ดีว่ามีสักกี่คนที่รอให้ข้าต้องตายไป? เจ้าก็รู้ดีนิว่ามีสักกี่คนที่รอเหยียบย่ำศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้?”
ฝานลี่เทียนพูดไม่ออก คำตอบของลู่โจวถูกต้องทุกอย่าง แม้ว่าจะมีหนี้ที่ติดค้าง แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่สำนักเจินชางจะเลือกเคลื่อนไหวในเวลาที่เหมาะเจาะแบบนี้ด้วยตัวคนเดียว
ลู่โจวหันไปด้านหลังพร้อมกับเอามือไขว้หลัง ตัวเขามองไปที่เชิงเขาก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าจะจดจำสั่งที่สำนักเจินชางได้ทำไว้กับพวกเราไว้เอง”
‘ฉันจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านพ้นไปเฉยๆ ไม่ได้’ ศาลาปีศาจลอยฟ้ายอมที่จะปล่อยผ่านเรื่องทางโลกทั้งหมดได้ แต่มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ลู่โจวไม่อาจปล่อยผ่านไป เรื่องที่สาวกของตัวเขาถูกรังแกเท่านั้นที่จะปล่อยผ่านไม่ได้
ซู่ฮ่องกงได้พึมพำออกมา “ถูกต้องแล้วท่านอาจารย์!”
“…”
ทุกๆ คนจ้องไปที่ซู่ฮ่องกงที่พยายามจะเลียนแบบท่าทีของผู้เป็นอาจารย์ ซู่ฮ่องกงในตอนนี้ดูคล้ายกับชายผู้โง่เขลา ต่างจากหยวนเอ๋อที่สงบนิ่งขึ้นมาก
ฝานลี่เทียนพยักหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก
ลู่โจวได้พูดต่อ “จุดตันเถียนของเจ้ายังไม่หายดี เพราะแบบนั้นพักผ่อนซะเถอะ”
“ข้าขอขอบคุณท่านปรมาจารย์” ฝานลี่เทียนลุกขึ้นก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับลู่โจวอีกครั้ง
ลู่โจวรู้สึกคุ้มค่ามากที่ได้ใช้พลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์รักษาฝานลี่เทียน แม้ว่าตัวเขาจะต้องใช้พลังไปกว่าหนึ่งในสามส่วนแต่มันก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ลู่โจวจึงยืนยันได้ว่าพลังในการรักษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์สามารถรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสได้
ถ้าหากลู่โจวต้องการที่จะรักษาเป้าหมายให้หายจากอาการบาดเจ็บอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างน้อยลู่โจวก็ต้องใช้พลังวิเศษที่มากกว่าเดิมอีกหลายเท่า มันเป็นอะไรที่มากจนเกินไป ยังไงซะการพังทลายมันก็ยังง่ายกว่าการซ่อมแซมเสมอ ร่างกายของคนคนหนึ่งเปรียบได้ดั่งเรือนับพัน จุดตันเถียนหรือจุดพลังลมปราณถือว่าเป็นส่วนที่มีค่าที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธ มันไม่ง่ายเลยที่จะรักษามัน ถ้าหากลู่โจวไม่มีพลังเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ฝานลี่เทียนก็คงจะพิการไปตลอดชีวิตหรือไม่ก็ต้องตายไปแล้วแน่
“พาเขากลับไปพักผ่อนซะ” ลู่โจวสั่งการออกมา
“ครับ” ฝานซงรีบพาฝานลี่เทียนกลับไปยังที่พักของเขา
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ได้วิ่งมาจากศาลาทางตะวันออก เมื่อนางเห็นฝานซงพยุงตัวฝานลี่เทียนจากไปนางก็ได้แต่ถามออกมาด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นกับผู้อาวุโสฝานกัน?”
“เขาได้รับบาดเจ็บก็เพราะความเขลาของตน เจ้าไม่จำเป็นจะต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับเขาหรอก” ลู่โจวตอบกลับมา
เมื่อได้ยินแบบนั้นฝานลี่เทียนก็ได้แต่เดินโซเซ ตัวเขาไม่สามารถเถียงอะไรกลับไปได้เลย ท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็ได้เรียกตัวเขาว่าเป็นผู้เขลา สิ่งที่ฝานลี่เทียนทำได้มีเพียงพิงไหล่ฝานซงก่อนที่จะพูดออกมา “เดินเร็วเข้า”
“ท่านนั่นแหละเดินเร็วในสภาพแบบนี้ได้ที่ไหนกัน?”
“ทำตามที่ข้าบอก…” ฝานลี่เทียนที่พูดเสร็จก็ได้ไอออกมา
ไม่นานนักทั้งสองคนก็ได้หายไปจากสายตาของลู่โจว
ต้วนมู่เฉิงและซู่ฮ่องกงตกตะลึงเล็กน้อย มันดูเหมือนกับว่าฝานลี่เทียนไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไรเลย
ซู่ฮ่องกงได้ถามออกมา “ท่านอาจารย์ ผู้อาวุโสฝานกำลังทำเป็นเข้มแข็งอย่างงั้นเหรอ?”
“พูดพล่อยๆ ” ลู่โจวได้ตอบกลับมาห้วนๆ
“ช้าผิดไปแล้วท่านอาจารย์ ข้าจะลงโทษตัวเองทันที!”
เพี๊ยะ!
ซู่ฮ่องกงตบหน้าตัวเอง
“…”
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรซู่ฮ่องกง ตัวเขาสังเกตเห็นหยวนเอ๋อที่กำลังถือกระดาษอยู่ในมือ ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นจึงได้ถามออกมา “มีจดหมายอย่างงั้นสินะ?”
“จดหมายมาจากเจียงอาเฉียนผู้ไร้ยางอายค่ะ…ข้าจะอ่านมันเอง” หยวนเอ๋อรีบเปิดจดหมายก่อนที่จะอ่านออกเสียง “ผู้อาวุโส ข้ามีสองอย่างที่จะรายงานท่าน อย่างแรกมีรายงานมาจากมณฑลเหลียง ชาวรั่วหลี่ได้ข้ามคูน้ำสวรรค์ก่อนที่จะโจมตีชาวสำนักอเวจี สำนักอเวจีที่ไร้สีวู่หยาอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก จากที่ข้าคาดการณ์ไว้ ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายคงจะต่อสู้ต่อไปอีกสักพัก เรื่องที่สองท่านผู้อาวุโสจะต้องระวังเรื่องพันธมิตรกำจัดอสูรให้ดี ท่านจะต้องเอาตัวรอดไปให้ได้ ข้าทำได้แค่เพียงส่งข้อมูลให้กับท่านยังเป็นห่วงเท่านั้น…เอ่อ…”
“ช่างเป็นวิธีการเขียนส่วนท้ายจดหมายที่น่าขยะแขยงซะจริง ท่านอาจารย์ศิษย์จะไม่อ่านส่วนท้ายของจดหมายเขา!” หยวนเอ๋อฉีกจดหมายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนที่จะโยนมันลงบนพื้น
ซู่ฮ่องกงพูดไม่ออก ตัวเขามองไปที่หยวนเอ๋อ ดูเหมือนว่าซู่ฮ่องกงจะไม่เคยได้ทำอะไรแบบนั้นมาก่อนในชีวิต
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว” หลังจากนั้นลู่โจวก็ได้กลับไปยังศาลาทางตะวันออก
“ท่านอาจารย์พักผ่อนให้สบาย” ศิษย์ทั้งสามได้โค้งคำนับให้กับลู่โจวอย่างพร้อมเพรียงกัน
ซู่ฮ่องกงพูดต่อ “สำนักฝ่ายธรรมะช่างน่ารังเกียจซะจริง…ไม่สิ พวกเรามาหาวิธีจัดการเจ้าพวกนั้นกัน”
“เจ้าเนี่ยนะ?” ต้วนมู่เฉิงมองไปที่ซู่ฮ่องกงอย่างดูแคลนก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป
“ใช่แล้ว ข้านี้แหละ” ซู่ฮ่องกงเกาหัว “ข้าจะรีบหารือกับศิษย์พี่เจ็ดเกี่ยวกับเรื่องนี้เอง เขาจะต้องคิดอะไรออกแน่ ข้าจะเป็นผู้ใช้ถุงมือนักสู้จัดการพวกมันให้หมดเอง!”
…
ซู่ฮ่องกงไม่รอช้า ตัวเขาได้เดินมาถึงถ้ำแห่งเงาสะท้อนอย่างรวดเร็ว ซู่ฮ่องกงไม่รีบร้อนที่จะเดินเข้าไป ตัวเขาค่อยๆ สำรวจถ้ำแห่งเงาสะท้อนจากทางด้านนอก
“ออกไปซะ” น้ำเสียงของสีวู่หยาฟังดูไม่เป็นมิตร
“หะ? ศิษย์พี่เจ็ด ทำไมกัน…ทำไมท่านถึงยังใช้ความคิดอยู่กับคำถามพวกนั้นอยู่?”
“ไม่ได้ยินที่ข้าบอกอย่างงั้นเหรอ? ข้าบอกให้ออกไป!”
ซู่ฮ่องกงหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย “ข้าไม่ได้อยู่ในถ้ำแห่งเงาสะท้อน ท่านจะให้ข้าออกไปได้ยังไงกัน? ไม่ ช้าก่อน! ข้ามาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องด่วน ศิษย์พี่เจ็ด สำนักฝ่ายธรรมะได้รวมกลุ่มกันเพื่อตั้งพันธมิตรกำจัดอสูร พวกมันกำลังวางแผนล้อมหุบเขาทองเอาไว้อีกครั้ง ศิษย์พี่ พวกเราจะต้องคิดหาทางออกเรื่องนี้!” ซู่ฮ่องกงรีบพูด
“พันธมิตรจำกัดอสูร?”
สีวู่หยาวางกระดาษในมือลงบนโต๊ะ ตัวเขาที่มีดวงตาดำคล้ำได้ถามออกมา “ใครบอกเรื่องนี้กับเจ้ากัน?”
“มีคนเรียกเขาว่าเจียงเซี่ยวเจียน”
“เจียงอาเฉียน…” สีวู่หยาขมวดคิ้ว เจียงอาเฉียนถือว่าเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้