เนื้อหาภายในจดหมายนั้นแสนจะเรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่ถึงแบบนั้นมันก็เป็นเนื้อหาที่สำคัญจริงๆ
หลังจากที่ได้อ่านดังนั้นยู่ฉางตงก็ได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะส่งจดหมายกลับให้กับจ้าวยู่
“ศิษย์พี่รอง ทำไมท่านถึงไม่กังวลอะไรเลยล่ะ?” จ้าวยู่ไม่เข้าใจ
“พวกเราไม่มีอะไรจะต้องกลัว”
“พวกเรา…พวกเราจะสามารถรับมือได้อย่างงั้นเหรอ?”
ยู่ฉางตงดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ศิษย์น้องหญิง เจ้าเริ่มผลิกลีบดอกบัวแล้วรึยัง?”
“ข้าเพิ่งจะฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์และสร้างพลังอวตารดอกบัวร้อยวิถีเป็นของข้าได้” จ้าวยู่ตอบกลับมา
“แยกดอกบัวทองคำของเจ้าให้เร็วที่สุด อย่างได้รอช้า”
“หะ?”
ยู่ฉางตงหันหลังก่อนที่จะจากไปทั้งๆ แบบนั้น
ในขณะที่จ้าวยู่มองไปที่ยู่ฉางตงที่กำลังเดินจากไป นางก็ได้พูดออกมา “ศิษย์พี่รอง มีผู้คนมากมายจะต้องตายเพราะการแยกดอกบัวทองคำ ท่านรู้บ้างไหม…”
“ข้ารู้”
“แต่ท่านบอกให้ข้ารีบตัดมัน”
ยู่ฉางตงได้หายตัวไปอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อเห็นแบบนั้นจ้าวยู่ก็ได้แต่เอามือกอดอก นางทำอะไรไม่ถูก
ฝานซงที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมาอย่างลังเล “ท่านศิษย์คนที่ห้า ข้ามีอะไรบางอย่างที่จะถามท่าน พวกเราสงสัยว่าถ้าหาก…”
“นี่มันอะไรกัน?” จ้าวยู่ดูเหมือนจะไม่ได้ยิน นางทำราวกับมองไม่เห็นโจวจี้เฟิงและฝานซงก่อนที่จะเดินหันหลังไปที่ห้องโถงใหญ่
ทั้งสองคนที่เห็นแบบนั้นรู้สึกอึดอัด แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไร
“นี่มันอะไรกัน?” เสียงอันอ่อนล้าได้ดังมาจากถ้ำแห่งเงาสะท้อน
สีวู่หยาโยนกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะก่อนที่จะเอามือถูขมับ
ตัวเขาตัดสินใจแก้โจทย์ปัญหาพื้นฐานก่อนที่จะคิดเรื่องอื่นต่อ
ฝานซงและโจวจี้เฟิงที่ได้ยินเสียงของสีวู่หยารีบเข้ามาในถ้ำแห่งเงาสะท้อน “ท่านศิษย์คนที่เจ็ด”
“ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้ามีอะไรกัน?” สีวู่หยาไม่ชอบเสียเวลากับการทักทาย
ฝานซงเกาหัวก่อนที่จะพูดออกมา “เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้ฝึกฝนตัวเองจนมาถึงจุดสูงสุดของขั้นศักดิ์สิทธิ์ พวกเรารู้สึกได้ว่ากำลังจะก้าวเข้าสู่ขั้นต่อไปเต็มที…แต่มีข่าวลือหนาหู ข่าวลือที่มีผู้ฝึกยุทธสามารถเอาชีวิตรอดจากการแยกดอกบัวทองคำที่เพิ่มมากขึ้น แม้แต่ท่านปรมาจารย์เองก็ยังยอมรับวิธีการนี้ ท่านปรมาจารย์ยังบอกไว้อีกวิธีการหนึ่ง วิธีการที่ไม่ต้องสร้างดอกบัวทองคำตั้งแต่แรก…พวกเรา…พวกเรากังวลว่ามันจะไม่ได้ผล”
“เจ้าจะรู้ได้ยังไงว่ามันไม่ได้ผลถ้าหากยังไม่เคยลอง? วิธีการที่เจ้าว่าไม่มีความเสี่ยง ส่วนวิธีการแยกดอกบัวทองคำจะต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน ลองมองรอบตัวให้ดี ถ้าหากวิธีการที่ว่าใช้ไม่ได้ผลจริง เรื่องของการแยกดอกบัวทองคำจะถูกพูดถึงหนาหูได้ยังไงกัน?” สีวู่หยาตอบกลับมา
ฝานซงเกาหัวอีกครั้ง “ท่านพูดมีเหตุผลจริงๆ …หมายความว่ามีคนในโลกแห่งการฝึกตนใช้วิธีการนี้ไปแล้ว? แต่เพราะว่าพวกเขาจงใจปกปิดเรื่องนี้ก็เพื่อที่จะรักษาความแข็งแกร่งที่มีอยู่อย่างลับๆ อย่างงั้นสินะ?”
“ถูกต้องแล้วล่ะ” สีวู่หยายืนยัน
“ท่านฉลาดหลักแหลมจริงๆ ท่านศิษย์คนที่เจ็ด พวกเราคาดไม่ถึงเลย!” ฝานซงกล่าวชมเชย
สีวู่หยาที่ได้ฟังคำเยินยอไม่ได้ดีใจอะไร “ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึง มันเป็นสิ่งที่แม้แต่คนธรรมดายังคิดได้”
ฝานซงและโจวจี้เฟิงตกตะลึง พวกเขาทั้งคู่กำลังคิดว่าสีวู่หยาหลอกด่าตัวเขารึเปล่า
“ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็อย่าได้หมดหวัง การที่ผู้ฝึกยุทธจะไม่สามารถผลิกลีบดอกบัวได้เป็นเพราะพวกเขาด้อยประสบการณ์”
“ท่านพูดถูกแล้ว ท่านศิษย์คนที่เจ็ด”
ไม่ว่าจะยุคไหนสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ก็มักจะมีค่าเสมอ
ในตอนที่ทั้ง 2 กำลังจะจากไป ในตอนนั้นเองสาวกหญิงหลายคนก็ได้วิ่งสวนมา
“ท่านปรมาจารย์กลับมาแล้ว!”
ฝานซงและโจวจี้เฟิงที่ได้ยินต่างก็หันหน้ามองฟ้าในเวลาเดียวกัน
รถม้าล่องเมฆากำลังลอยอยู่เหนือศาลาปีศาจลอยฟ้า มันลอยผ่านม่านพลังก่อนที่จะร่อนลงสู่พื้นอย่างช้าๆ
ทั้งสองคนที่เห็นแบบนั้นรีบวิ่งไปที่ห้องโถงใหญ่
…
ไม่นานนัก ณ ห้องโถงใหญ่
ลู่โจวในตอนนี้นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุด ตัวเขากำลังจ้องมองไปที่ยู่ฉางตงที่กำลังยืนอยู่ด้วย ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นประหลาดใจ
“ท่านอาจารย์” ยู่ฉางตงโค้งคารวะเพื่อเป็นการทักทาย ท่าทีของเขาดูเย็นชาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลู่โจวพยักหน้า “ดีแล้วที่เจ้ากลับมาได้”
ยู่ฉางตงมองไปที่ซูยู่ชูจากชายตา เป็นเพราะตัวเขาไม่คุ้นเคยกับหญิงชราคนนี้มาก่อนยู่ฉางตงจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านท่านนี้คือ?”
หมิงซี่หยินรีบตอบ “ศิษย์พี่รอง นางก็คือผู้อาวุโสคนใหม่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า ผู้อาวุโสซูยู่ชู นางเป็นอัจฉริยะจากลัทธิขงจื๊อเมื่อ 500 ปีก่อน”
ยู่ฉางตงไม่แปลกใจอะไร อาจเป็นเพราะตัวเขาได้เผชิญหน้ากับยอดฝีมือจำนวนมากมาแล้ว เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงคุ้นชินมัน “ยินดีที่ได้พบ”
ซูยู่ชูจ้องไปที่ยู่ฉางตงตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นกิริยาท่าทางหรือทัศนคติ นางรู้สึกได้ทันทีว่าศิษย์คนนี้มีพลังมากกว่าศิษย์ที่เคยพบเจอ ท้ายที่สุดแล้วนางก็ได้ตอบกลับไป “ข้าก็เช่นกัน”
เล้งลั่วขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นกัน ท่านศิษย์คนรอง? ข้าคิดมาตลอดว่าท่านจะต้องปลอดภัยหลังจากที่พวกเราเพิ่งจะพบกัน”
‘นี่เป็นวิธีการทักทายของผู้ที่เป็นผู้อาวุโสเหรอไงกัน?’
เล้งลั่วรู้วิธีที่จะปฏิบัติตนในสถานการณ์เช่นนี้ดี ตัวเขาก้มหน้าด้วยความเคารพ
“ข้าปลอดภัยดี” ยู่ฉางตงตอบ
ซูยู่ชูที่เห็นแบบนั้นไม่เข้าใจ นางสับสนว่าทำไมเล้งลั่วถึงทักทายยู่ฉางตงด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมเช่นนั้น ท้ายที่สุดแล้วเล้งลั่วเองก็เป็นบุคคลในตำนานจากในอดีตเช่นกัน
เล้งลั่วเดินกลับไปที่ด้านข้างของซูยู่ชูก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ “ศิษย์คนที่สองแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบขั้นสูงสุดน่ะ…”
ซูยู่ชูที่ได้ฟังแบบนั้นใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ดวงตาที่ขุ่นมัวของนางกำลังเบิกกว้างด้วยความตกใจ จากนั้นนางก็ทักทายยู่ฉางตงอีกครั้ง “ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะทักทายท่านอย่างหยาบคาย”
ยู่ฉางตงไม่ได้สนใจอะไร “ไม่จำเป็นจะต้องคิดมากผู้อาวุโส เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วที่ข้าจะทักทายท่านก่อน”
“ไม่เลย ไม่เลย….” ซูยู่ชูกำไม้เท้าของนางไว้แน่น นางเกือบที่จะเสียหลักจนล้มลง นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปซูยู่ชูตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงการพบหน้ากับยู่ฉางตงถ้าหากพวกเขาทั้งคู่มีโอกาสได้พบกันในอนาคต
ลู่โจวลุกขึ้นยืนก่อนที่จะลงบันไดในขณะที่เอามือไขว้หลัง
ทุกๆ คนต่างก็เฝ้ามองลู่โจวด้วยความเคารพ
ลู่โจวมองไปที่ยู่ฉางตงก่อนที่จะพูดออกมา “ให้ข้าดูอวตารของเจ้าหน่อย” ก่อนหน้านี้ลู่โจวกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของยู่ฉางตง มันเป็นช่วงที่ตัวเขาได้ยินมาว่าศิษย์คนนี้ได้ตัดอกบัวทองคำไป ตอนนี้ยู่ฉางตงกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เป็นธรรมดาที่ลู่โจวต้องการที่จะเห็นพลังอวตารทีไร้ดอกบัวทองคำ
ทุกๆ คนต่างก็งุนงง ไม่มีใครรู้ว่าลู่โจวตั้งใจที่จะทำอะไร ลู่โจวพยายามข่มขู่ผู้มาใหม่อย่างงั้นเหรอ?
“ครับ” ยู่ฉางตงไม่ได้คิดที่จะซ่อนเร้นความจริง ตัวเขายกมือขึ้นมาก่อนที่จะยิ้มออกมาจางๆ ในทันใดนั้นเองพลังอวตารขนาดเล็กก็ได้ส่องแสงอยู่ที่เหนือฝ่ามือของยู่ฉางตง
ความสนใจของทุกคนจับจ้องไปที่อวตารสีทองที่อยู่บนฝ่ามือนั่น ภายใต้อวตารไม่มีดอกบัวทองคำ มันมีเพียงกลีบดอกบัว 3 กลีบที่หมุนรอบอวตารอยู่อย่างช้าๆ
“ไม่มีดอกบัวทองคำ!”
“กลีบดอกบัว 3 กลีบ…ไร้ซึ่งดอกบัว!”
ดวงตาที่ขุ่นมัวของซูยู่ชูเบิกกว้างเมื่อเห็นกลีบดอกบัว ‘ไหนเล้งลั่วบอกว่าเขาเป็นยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบไม่ใช่เหรอไงกัน? ทำไมเขาถึงมีแค่กลีบดอกบัวเพียงแค่ 3 กลีบ?’ ซูยู่ชูรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ถึงแบบนั้นนางก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าไม่มีดอกบัวทองคำอยู่ใต้อวตาร นางกำลังสับสน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? นางทำได้แต่โทษตัวเองที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษนานจนเกินไป นางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันจากโลกภายนอก นางไม่รู้จักยู่ฉางตงและเรื่องของสาวกทั้ง 9 หรือแม้แต่เรื่องการแยกดอกบัวทองคำที่ถูกลือทั่วทั้งยุทธภพก็ตามที
เล้งลั่วเป็นคนแรกที่คารวะยู่ฉางตง “ข้าประทับใจจริงๆ !” การที่เล้งลั่วจะประทับใจไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ในตอนที่มีวิธีการแยกดอกบัวทองคำปรากฏขึ้น ผู้กล้าที่จะตัดดอกบัวทองคำของตัวเองมีเพียงน้อยนิดเท่านั้น ใครกันที่จะเต็มใจทิ้งพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบของตัวเองเพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ผู้ที่สามารถรอดชีวิตมาได้ยังมีเพียงแค่หยิบมือ สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือการที่ยู่ฉางตงสามารถผลิกลีบดอกบัวกลีบใหม่ได้ถึง 3 กลีบแล้วนั่นเอง! แล้วใครกันจะกล้าพูดว่ายู่ฉางตงนั้นอ่อนแอ?
ฮั๊ววู่เด๋าเองก็คารวะเช่นกัน “ผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีกลีบดอกบัว 3 กลีบโดยไร้ซึ่งดอกบัวทองคำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านศิษย์คนรองจะเป็นคนแรกที่ฝึกฝนมาถึงขั้นนี้”
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็อดยกนิ้วชมเชยไม่ได้ “ท่านน่าทึ่งมากจริงๆ ศิษย์พี่”
ยู่ฉางตงยิ้มก่อนที่จะตอบกลับมา “มันไม่ได้มีอะไร ท่านอาจารย์อยู่ที่นี่ ข้าไม่กล้าอ้างว่าเป็นคนแรกที่ทำได้หรอก”
ทุกๆ คนดูเหมือนจะตระหนักอะไรได้ ลู่โจวในตอนนี้เป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบไปแล้ว
สีหน้าของลู่โจวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขาลูบเคราในขณะที่ใช้ความคิดอยู่ ‘ถึงแม้ว่าฉันจะมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ แต่ความแข็งแกร่งจริงๆ ของฉันก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ได้แต่เรียนรู้ความสำเร็จของศิษย์คนนี้’
ในตอนนั้นเองจ้าวยู่ก็รีบวิ่งเข้ามายังห้องโถงใหญ่ นางโค้งคำนับก่อนที่จะยื่นจดหมายออกมา “ท่านอาจารย์ มีจดหมายจากเจียนอาเฉียน ศิษย์พี่รองได้อ่านจดหมายฉบับแรกไปแล้ว แต่ในตอนนี้มีจดหมายฉบับใหม่!”
ลู่โจวรีบรับจดหมายมาก่อนที่จะอ่านมัน ในตอนที่อ่านใจของลู่โจวเต้นแรง ความเร็วในการพัฒนาของโลกยุทธภพมันเร็วเกินกว่าความคาดหมายของเขาไปมาก
“ยาช่วยชีวิตและยาแห่งการเบ่งบาน?” ลู่โจวรู้สึกสับสน
“ท่านอาจารย์ข่าวนี้ได้ลือกันได้สักพักแล้ว สถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่กับสำนักแก่นแท้แห่งหยางเป็นผู้ที่คิดค้นยาทั้ง 2 อย่างขึ้น ในตอนนี้ผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์เริ่มคิดฝึกฝนต่อโดยที่ไม่มีดอกบัวทองคำแล้ว”
ทุกๆ คนเข้าใจสิ่งที่จ้าวยู่ต้องการจะสื่อดี
หมิงซี่หยินรีบพูดต่อ “ท่านอาจารย์ ถ้าหากเป็นเช่นนี้พวกเรามีหวังถูกทิ้งไว้ข้างหลังแน่ พวกเราจะต้องเคลื่อนไหวบ้างแล้ว”
ลู่โจวเหลือบมองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะตอบกลับมา “พวกเราจะเริ่มต้นกับผู้อาวุโสก่อน”
เล้งลั่วและฮั๊ววู่เด๋าโค้งคำนับ “พวกเราจะทำตามที่ท่านแนะทำเอง ท่านปรมาจารย์”
ซูยู่ชูดูเหมือนจะไม่เข้าใจ นางใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนที่จะโค้งคำนับแล้วพูดออกมา “ข้าเองก็จะทำตามเช่นกัน พี่จี”
หมิงซี่หยินพูดต่อไป “ถ้าหากข่าวที่ว่าจริงข้าจะไปที่สำนักแก่นแท้แห่งหยางเพื่อช่วงชิงยา…ข้าหมายถึงไปขอยาช่วยชีวิตเอง”
ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นพูดแทรกออกมา “ข้าจะไปเอง”
“ศิษย์พี่รอง ท่านเพิ่งจะตัดดอกบัวทองคำแท้ๆ มัน…อันตรายเกินไป”
แม้ว่ายู่ฉางตงจะฝึกฝนตัวเองจนเหนือไปกว่าคนอื่นๆ ก็ตาม แต่พลังอวตารดอกบัวสามกลีบก็ยังอ่อนแอจนเกินไปอยู่ดี
ยู่ฉางตงยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่ต้องห่วงไป ข้าเคยพบกับเจ้าสำนักของสำนักแก่นแท้แห่งหยางมาหลายครั้งแล้ว”
“หลายครั้ง? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกันถ้าหากท่านต้องเจอกับปัญหาเข้า?”
ยู่ฉางตงหันกลับมาก่อนที่จะตบไหล่หมิงซี่หยิน “แค่มีดาบในมือก็พอแล้ว” หลังจากที่พูดจบยู่ฉางตงก็ได้โค้งคำนับให้กับลู่โจว
อันที่จริงลู่โจวรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสภาพของยู่ฉางตงในปัจจุบันเช่นกัน ไม่มีการรับประกันเลยว่ายู่ฉางตงจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือจากโลกภายนอก ยู่ฉางตงเคยชินกับการเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ ในตอนนี้ตัวเขายังไม่คุ้นชินกับสถานะใหม่ที่มีแน่
“ท่านอาจารย์ได้โปรดอนุญาตด้วย” ยู่ฉางตงหันไปพูดกับลู่โจว
“เจ้ามั่นใจมากแค่ไหน?”
“ข้า ยู่ฉางตงไม่เคยทำอะไรที่ไม่มั่นใจ”
“งั้นไปได้” ลู่โจวโบกมือเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยปาก “บี่เอี๊ยน”
โฮรก!
เสียงคำรามได้ดังก้องมาจากด้านนอกห้องโถงใหญ่
ทุกๆ คนรู้ดีโดยที่ไม่ต้องชายตามอง บี่เอี๊ยนกำลังรอคอยอยู่นอกห้องโถงใหญ่อย่างเชื่อฟัง
“พาบี่เอี๊ยนไปทำภารกิจนี้ด้วย ถ้าหากเจ้าเจอภัยคุกคามถึงชีวิตมันจะช่วยเจ้าได้แน่” ลู่โจวรู้ดีว่าถ้าหากตัวเขาส่งคนอื่นไปช่วยยู่ฉางตง ยู่ฉางตงจะต้องปฏิเสธแน่
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
“ไปได้แล้ว”
ยู่ฉางตงหันหลังก่อนที่จะจากไป แม้ว่าตอนนี้ตัวเขาจะเป็นเพียงผู้ใช้ดาบที่มีพลังอวตารดอกบัวสามกลีบ แต่จากประสบการณ์ที่เคยมีของเขามันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ยู่ฉางตงสามารถจัดการกับผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบได้ ยิ่งไปกว่านั้นใครกันจะกล้าแตะต้องยู่ฉางตงแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนนี้?
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามในโลกใบนี้ก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน ลู่โจวเข้าใจเรื่องนี้ดี ตัวเขามองยู่ฉางตงที่เดินจากไปอย่างช้าๆ
ในขณะนั้นเองตัวเขาก็เหลือบเห็นเมนูภารกิจจากระบบ ภารกิจของยู่ฉางตงในการหายาช่วยชีวิตเป็นหนึ่งในภารกิจหลัก รางวัลที่ได้สำหรับการทำภารกิจนี้คือ 10,000 แต้มบุญ
‘แต้มบุญ 10,000? ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ แล้วสินะ’
หมิงซี่หยินยังคงพูดต่อ “ท่านอาจารย์ ยังไงข้าก็เป็นห่วงศิษย์พี่รองอยู่ดี”
“งั้นเจ้าก็ไปช่วยเหลือยู่ฉางตงอย่างลับๆ ซะ” ลู่โจวพูดต่อ “ระวังอย่างให้ศิษย์พี่ของเจ้าจับได้ เจ้าเองก็รู้นิสัยของเขาดี ไปได้แล้ว…”
“ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจะเป็นผู้ปกป้องศิษย์พี่เอง!”
ถ้าหากไม่ได้เห็นรางวัลภารกิจลู่โจวก็คงจะไม่ส่งหมิงซี่หยินไปเป็นกำลังเสริม ยังไงซะการที่มีหมิงซี่หยินอยู่ด้วยก็คงจะช่วยอะไรยู่ฉางตงได้
ซูยู่ชูไม่สามารถยืนเฉยได้อีก “พี่จี…ยาช่วยชีวิตหรืออะไรที่พวกท่านพูดถึงและเรื่องดอกบัวทองคำ…เรื่องทั้งหมดมันหมายความว่าอะไรกัน?”
เล้งลั่วโบกมือก่อนที่จะตอบกลับ “ผู้อาวุโสซู ข้าจะเป็นคนบอกทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องของโลกภายนอกเอง”
“ขอบคุณผู้อาวุโสเล้ง ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ” ซูยู่ชูเดินตามเล้งลั่วก่อนที่จะออกจากห้องโถงใหญ่
ความภาคภูมิใจและหยิ่งผยองของซูยู่ชูดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว
“จ้าวยู่” ลู่โจวเอ่ยปากเรียก
“ท่านอาจารย์”
“ส่งจดหมายหาเจียงอาเฉียนและฉินจุน เจ้าชายแห่งพลังซะ บอกพวกเขาให้ใช้กำลังทั้งหมดที่มีเพื่อหาหญิงสาวแซ่หลัวให้ได้ นางคนนั้นเคยปรากฏตัวเมื่อ 300 ปีก่อน นางเป็นคนที่ช่วยหยุนเทียนลั่วให้ก่อตั้งสามสำนักได้”
จ้าวยู่รับคำสั่งแต่โดยดี “ข้าจะรีบส่งจดหมายเดี๋ยวนี้”
หลังจากที่จ้าวยู่จากไป ลู่โจวก็นึกถึงสีวู่หยา การจะหาใครสักคนในโลกใบนี้ก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ถ้าหากได้ความช่วยเหลือจากสำนักแห่งความมืดของศิษย์ไม่รักดีคนนี้ บางทีตัวเขาอาจจะมีโอกาสพบกับความจริงได้มากขึ้น
…
ในขณะเดียวกัน ยาช่วยชีวิตที่เป็นผลงานของสำนักแก่นแท้แห่งหยางและสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่เป็นที่ล่อตาล่อใจของคนทั้งโลก
ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากกำลังรุมล้อมทั้งสองสำนักเอาไว้ ทุกคนยินดีที่จะแลกเปลี่ยนยาช่วยชีวิตกับทรัพย์สมบัติจำนวนมาก
ยาชนิดนี้เพิ่งจะถูกสร้างได้ไม่นาน และเพราะแบบนั้นมันจึงยังไม่มีชื่อที่แท้จริง แต่เพราะคำว่าช่วยชีวิตที่มีอยู่ในชื่อจึงทำให้ข่าวของเรื่องนี้ถูกแพร่ไปอย่างรวดเร็ว
…
ภายในพระราชวังเขียวชอุ่ม ณ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ผู้ส่งสารคนใหม่ได้เดินเข้ามาในห้องทำงานพร้อมกับอะไรบางอย่าง “ฝ่าบาท นี่คือยาช่วยชีวิตและยาแห่งการเบ่งบานที่ถูกส่งมาจากสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่ ผู้ครองสถานศึกษาได้บอกเอาไว้ว่ายาแห่งการเบ่งบานนั้นมีค่ามาก ด้วยการร่วมมือของทั้ง 2 สำนักทำให้ได้ยาช่วยชีวิต 1,200 เม็ดและยาแห่งการเบ่งบาน ในตอนนี้ยาทั้ง 5 เม็ดได้อยู่ที่นี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
หลิวกุ่ยตอบกลับ “ถ้าหากไม่ใช่เพราะการทดลองแยกดอกบัวทองคำในพระราชวัง พวกเขาก็คงจะไม่มีวันปรุงยาพวกนี้ได้ พวกเขาควรจะขอบคุณข้าแล้วที่ข้าเอายามาเพียงแค่ 5 เม็ดแบบนี้”
“เป็นตามพระประสงค์ของฝ่าบาท ยาแห่งการเบ่งบานใช้ได้ผลเป็นอย่างมาก มันสามารถรับประกันได้ว่าผู้ที่กินมันเข้าไปจะผลิกลีบดอกบัวมามากกว่า 1 กลีบได้”
หลิวกุ่ยดูไม่ตกใจอะไร ตัวเขาเหลือบมองไปที่ชามในมือของผู้ส่งสารอย่างเยือกเย็น “ยาก็เป็นแค่ปัจจัยภายนอก ท้ายที่สุดแล้วเมื่อยาช่วยชีวิตมีมากขึ้น โลกใบนี้จะต้องเปลี่ยนไปแน่ ทั่วทั้งโลกจะต้องเกิดการต่อสู้ บอกองครักษ์ของเมืองหลวงทั้งหมด อย่าให้พวกเขาตัดดอกบัวทองคำโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ส่งคำสั่งของข้าให้กับแม่ทัพปิงเฉียน แม่ทัพแห่งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ทางตอนเหนือ ให้เขานำทหารที่มีปกป้องสถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่เอาไว้ซะ ยาที่ได้มีค่ามาก ข้าหวังว่าประธานโจวจะเข้าใจสิ่งที่ข้าพยายามจะทำ” หลิวกู่สั่งการออกมา
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ผู้ส่งสารวางจานลงบนโต๊ะก่อนที่จะออกจากห้องไปด้วยความเคารพ
แม้ว่าภายนอกจะเห็นว่าหลิวกู่พยายามปกป้องสถานศึกษาเอาไว้ แต่จริงๆ แล้วตัวเขาก็แค่พยายามป้องกันไม่ให้ยาที่ถูกคิดค้นขึ้นแพร่หลายไปทั่วโลก อย่างน้อยที่สุดผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบควรจะมาจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้!
หลิวกู่หยิบยาช่วยชีวิตบนจานก่อนที่จะพูดพึมพำออกมา “เก้ากลีบ จีเทียนเด๋า…เขาทำได้ยังไงกัน? ข้าด้อยกว่าเจ้านั้นได้ยังไง?”
นับตั้งแต่ที่หลิวกู่ได้ยินข่าวของจีเทียนเด๋าฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ หลิวกู่ก็แทบที่จะไม่กินหรือนอนหลับพักผ่อนเลย ตัวเขาพยายามกดดันให้สถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่คิดค้นยาให้เร็วที่สุด เมื่อยาถูกคิดค้นได้หลิวกู่ก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“ตราบใดที่ข้าอยู่ในเขตแดนพลังทั้งสิบ จีเทียนเด๋ากับยู่เฉิงไห่ก็จะไม่สามารถทำอะไรข้าได้!” หลิวกู่รีบกลืนยาอย่างไม่ลังเล
ทันทีที่เม็ดยาละลายจุดตันเถียน จุดพลังลมปราณของหลิวกู่ก็ร้อนขึ้นมาราวกับมันลุกเป็นไฟ
หลิวกู่ยกมือขวาก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “จงมาหาข้า พู่กันพิพากษา!”
พู่กันที่ถูกแขวนอยู่เหนือโต๊ะได้ส่องแสงสีทองก่อนที่จะบินเข้าหามือของหลิวกู่อย่างฉวัดเฉวียน หลิวกู่ได้วางมือข้างซ้ายของตัวเองไว้ที่ด้านหน้าของจุดตันเถียน
หวืออ!
พลังอวตารดอกบัวแปดกลีบขนาดเล็กได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของหลิวกู่
กลีบดอกบัวทั้งแปดยังคงส่องแสงแวววาวในขณะที่หมุนรอบดอกบัว
หลิวกู่ได้จับพู่กันอย่างไม่ลังเล ตัวเขาได้เหวี่ยงแขนข้างขวา พลังลมปราณที่ควบแน่นจนกลายเป็นดาบพลังงานได้พุ่งออกมาจากพู่กันพิพากษาของหลิวกู่