ตอนที่ 470 ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์
สองวันต่อมา ณ ห้องพักแห่งหนึ่งในโรงเตี้ยมเมฆาภายในเมืองมณฑลจิง
ลู่โจวในตอนนี้กําลังมองออกไปในอกหน้าต่าง ตัวเขาได้แต่ลูบเคราของตัวเองตามสัญชาตญาณ ในตอนนี้ลู่โจวกําลังใช้ความคิดอย่างลึกล้ํา ในตอนที่เอามือจับไปที่เคราลู่โจวก็พบว่าเคราของตัวเองสั้นกว่าที่เคยเป็นมา ตัวเขาในตอนนี้ยังไม่คุ้นเคยกับรูปลักษณ์ใหม่ของตัวเอง
ลู่โจวมาถึงเมืองเมื่อวันก่อน ตัวเขารู้สึกประหลาดใจที่สํานักอเวจียังไม่ขยายดินแดนมายังเมืองแห่งนี้ ประชาชนชาวเมืองทั้งหลายดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร
สํานักอเวจีไม่ใช่พวกโง่เขลา แต่เริ่มเดิมที่พวกเขาก็สัญญาเอาไว้ว่าจะไม่แตะต้องชาวเมืองทั่วไป เป้าหมายดั้งเดิมของพวกเขาก็คือการครองโลก ชาวเมืองคนธรรมดาทั้งหลายต่างก็เป็นรากเหง้าของทุกๆสิ่ง พวกเขาไม่ใช่ศัตรู ฝ่ายศัตรูมีเพียงเหล่าราชวงศ์และผู้ที่เป็นจักรพรรดิแห่งดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่เท่านั้น
มณฑลจึงเป็นมณฑลที่ตั้งอยู่ใกล้กับใจกลางของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ มันไม่ใช่สถานที่ที่อยู่ ห่างไกลเหมือนกับในมณฑลเหลียง
น่าเสียดาย แม้แต่มณฑลเหลียงลู่โจวก็ไม่มีโอกาสจะพบกับยู่เฉิงให่
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ในขณะที่คิดทบทวนอยู่ในตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ได้ดังขึ้น
“ใครกัน?” ลู่โจวหันกลับมามองประตูข้าๆ บางทีตัวเขาอาจจะคุ้นชินกับชายชราผู้แปลกประหลาดอย่างจีเทียนเด๋าไปแล้ว แต่ในตอนนี้ตัวเขาอยู่ในรูปร่างใหม่ เป็นคนๆใหม่ เพราะแบบนั้นลู่โจวจึงไม่จําเป็นที่จะต้องเคร่งครัดให้มากนัก “เข้ามาสิ”
เสี่ยวเอ้อเป็นผู้ที่เข้ามาหลังจากเคาะประตู “นายท่าน ข้ามีข้อมูลที่นายท่านได้ถามเอาไว้มาบอก แม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องเมืองมณฑลจึงเป็นหนึ่งในแปดแม่ทัพใหญ่ของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ แม่ทัพคนนั้นมีชื่อว่าแม่ทัพเหวินชู ชายผู้เป็นยอดฝีมือของชาวขงจื้อ เขตแดนที่เมืองมณฑลจิงมีก็ถูกสร้างมาจากหลักของลัทธิขงจื้อด้วยเช่นกัน”
“ตอนนี้สํานักอเวจีเป็นยังไงบ้าง?”
“นายท่านไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าเจ้าสํานักอเวจีจะบุกมายังที่แห่งนี้ด้วยตัวเองก็ตาม แต่เขาก็คงไม่อาจทําอะไรได้แน่ เมืองแห่งนี้ปลอดภัยพอๆกับเมืองที่ถูกปกป้องด้วยกําแพงเหล็กกล้า”
“เจ้ามั่นใจในความปลอดภัยของเมืองแห่งนี้ขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
“ข้าน้อยไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนั้น ทุกคนเองต่างก็คิดเช่นกัน ชาวเมืองมณฑลจึงไม่เคยที่จะได้รับความเดือดร้อนเลย” เสี่ยวเอ้อตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน ในเมื่อนายท่านถามถึงเรื่องนี้ แสดงว่าท่านคงจะเป็น…” เสี่ยวเอ้อต้องการจะพูดคําว่า “สายลับ” ออกมา แต่เสี่ยวเอ้อคนนั้นก็ห้ามใจเอาไว้ได้ทัน “ข้าไม่รบกวนนายท่านแล้วข้าน้อยขอตัว” เสี่ยวเอ้อรับถอยออกจาก ห้องด้วยความตื่นตกใจ
ลู่โจวหันไปทางหน้าต่าง ตามที่คาดไว้สํานักอเวจีที่ไม่มีสีวู่หยาอ่อนแอลงกว่าเดิมมาก แม้แต่เมืองของมณฑลจิงที่ยังไม่อาจที่จะพิชิตได้
…
ในยามพลบค่ํา ณ สํานักอเวจีแห่งหนึ่ง
ยู่เฉิงไห่ในตอนนี้กําลังฝึกฝนขณะที่หลับตา มันเป็นการฝึกฝนในขณะที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ในตอนที่พลังลมปราณโคจรอยู่ที่ด้านหน้ายู่เฉิงให่มากพอ ในตอนนั้นตัวเขาก็ได้พลิกฝ่ามือ กระบี่นิลโลหิตได้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน มันอยู่บนเหนือฝ่ามือของยู่เฉิงไห่ ในตอนนี้หน้าผากของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ดวงตาของเขาค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น ยู่เฉิงไห่ใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อออกจากหน้าผากก่อนที่จะพิมพ์ออกมา “ท่านอาจารย์ อย่าทําข้าเลย.นี่มัน….นี่มันความฝันอย่างงั้นสินะ… ”
ในตอนนั้นเองฮั๊วจงหยางก็ได้เดินเข้ามา “ท่านเจ้าสํานัก”
“มีอะไรกัน?”
“ท่านสีวู่หยาเดินทางกลับมาแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นยู่เฉิงไห่ก็ลุกขึ้นยืนในทันที ที่ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาอีกครั้ง “เขาอยู่ใหนกัน? รีบพาเขามาซะ!”
ไม่ทันที่เสียงของยู่เฉิงไห่จะจางหายไป ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็ได้เดินเข้ามา สีวู่หยาในตอนนี้ สวมชุดคลุมยาว ที่มือของเขากําลังถือพัดขนนกยูงเอาไว้ สีหน้าของเขาดูสงบเยือกเย็น มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ดูมีชีวิตชีวา หลังจากที่เดินมากลางห้องโถงสีวู่หยาก็ได้คารวะให้กับยู่เฉิงไห่ “พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ ศิษย์พี่ใหญ่”
ยู่เฉิงไห่รีบลงบันไดด้วยความตื่นเต้น ตัวเขารีบเดินไปหาสีรู่หยาโดยที่ไม่พูดอะไร ความเหนื่อยล้าที่เคยกวนใจเขาบัดนี้ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ “ศิษย์น้องเจ้ารู้ไหมว่าข้าคิดถึงเจ้ามากแค่ไหน!”
ท่าที่ของยู่เฉิงไห่ได้บ่งบอกทุกอย่างมาอย่างชัดเจน
…
ฮั๊วจงหยางที่เป็นคนสนิทของยู่เฉิงไห่คุ้นเคยกับคําพูดเหล่านี้ดี ไม่ว่าจะเป็น “มันจะดีกว่านี้ถ้า หากศิษย์น้องเจ็ดอยู่” , “ถ้าหากศิษย์น้องยังอยู่ที่นี่เรื่องทุกอย่างจะออกมาดีแน่”
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้ยินคําพูดเหล่านี้จนหลอกหลอน เพราะแบบนั้นยู่เฉิงไห่จะไม่ดีใจกับการกลับมาของสีวู่หยาได้อย่างไรกัน?
สีวู่หยาพยายามถอยห่างจากยู่เฉิงไห่ก่อนที่จะพูดต่อ “อย่าเพิ่งดีใจไปศิษย์พี่ใหญ่”
“หืม?”
“ท่านอาจารย์ส่งข้ามาที่นี่”
เมื่อได้ยินแบบนั้นยู่เฉิงไห้ก็ถอยหลังตามสัญชาตญาณ ตัวเขารีบขมวดคิ้ว “ท่านอาจารย์อย่างงั้นเหรอ?”
“ ท่านอาจารย์ฝึกฝนจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแล้ว”
“ ” ยู่เฉิงไห่โบกมือก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าหากเจ้าคิดจะเกลี้ยกล่อมข้า เจ้าก็อย่าเสียเวลาเปล่าเลย!”
“ข้าไม่ได้มาเพื่อเกลี้ยกล่อมท่าน”
“แล้วเจ้ามาที่นี่ทําไมกัน?” น้ําเสียงของยู่เฉิงไห่ฟังดูเคร่งเครียดมากขึ้น “ท่านอาจารย์แก่มากแล้ว เจ้าเองก็แก่ตามแล้วอย่างงั้นสินะ? คนที่ข้าต้องการจะต่อสู้คือเหล่าราชวงศ์ของดินแดนหยาน ข้าไม่เคยเลยที่จะติดต่อสู้กับศาลาปีศาจลอยฟ้า!”
“ข้ารู้ดี” สีวู่หยาตอบออกมาอย่างใจเย็น
“แล้วทําไมเจ้าถึงได้ช่วยท่านอาจารย์กัน?”
ห้องโถงใหญ่เงียบสงบราวกับสุสาน
สีวู่หยาจ้องไปที่ยู่เฉิงไห้อย่างสงบ ตัวเขากําลังรอความโกรธให้ยู่เฉิงให้ลดลงอยู่
เป็นไปตามที่สว่าหยาศาดการณ์ไว้ หลังจากนั้นไม่นานยู่เฉิงไห้ก็เริ่มสงบสติอารมณ์ได้
ในที่สุดสีวู่หยาก็พูดออกมา “ท่านอาจารย์ไม่ได้แก่มากเหมือนกับที่พวกเราคิด”
ในตอนนั้นเองสีหน้าอันสับสนก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยู่เฉิงไห้
สีวู่หยาพูดต่อ “บางที่พวกเราทั้งคู่ต่างก็คิดผิด” สีวู่หยาพูดต่อ “ท่านอาจารย์สั่งให้ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อที่จะพาศิษย์พี่กลับศาลาปีศาจลอยฟ้า! แต่ถึงแบบนั้นท่านอาจารย์ก็รู้ดี…พลังของข้าไม่อา จที่จะพาท่านกลับไปได้แน่ เขายังรู้ดีอีกว่าท่านจะต้องปฏิเสธทุกอย่าง แล้วศิษย์พี่รู้ไหมทําไมท่าน อาจารย์ถึงได้ส่งข้ามา?”
“ท่านอาจารย์ต้องการที่จะต่อสู้กับเหล่าราชวงศ์เหมือนกับข้าอย่างงั้นเหรอ?
สีวู่หยาไม่ได้ตอบตรงๆ “ท่านอาจารย์ให้ข้าเลือก และข้าเองก็ได้เลือกไปนานแล้ว
ยู่เฉิงไห้ตกตะลึง ตัวเขาไม่เข้าใจสีวู่หยา
สีวู่หยาส่ายหัวก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด “ทําไมศิษย์พี่ถึงยังไม่แยกดอกบัวทองคําเพื่อที่จะฝึกฝนตัวเองให้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบล่ะ?”
ยู่เฉิงไห้ตอบกลับมาอย่างไม่พอใจ “การแยกดอกบัวทองคําจะทําให้ข้าต้องฝึกฝนใหม่ตั้งแต่ต้น สิ่งที่ข้าตั้งใจทําก็คือการยึดครองโลก ในตอนนี้เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะทําแบบนั้น ช่วงเวลาที่ทุกคนแยกดอกบัวทองคําถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว!”
สีวู่หยาพยักหน้า “ถ้าหากเป็นแบบนั้น ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ยู่เฉิงไห่ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “ฮั๊วจงหยางรีบเอาแผนที่มาเร็วเข้า!”
“ครับ ท่านเจ้าสํานัก!”
หลังจากนั้นไม่นานฮั๊วจงหยางก็ได้นําแผนที่มา มันเป็นแผนที่ของเมืองมณฑลจิง
ยู่เฉิงไห่ต้องการที่จะบอกเล่าแผนการทั้งหมดให้กับสีวู่หยาได้ฟัง
ยู่เฉิงไห่ไปรอบๆ เมืองมณฑลจิง “ผู้ที่ปกป้องเมืองมณฑลจึงในตอนนี้คือแม่ทัพเหวินซู เขาเป็นหนึ่งในแปดแม่ทัพของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ชายคนนี้เป็นผู้ที่มาจากลัทธิขงจื้อ ชายคนนี้ เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของเขตแดน เพราะแบบนั้นมันข้าเลยต้องปวดหัวอยู่เป็นเวลานาน….”
ที่ด้านข้าง ฮั๊วจงหยางได้คารวะก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าไม่ใช่เพราะเขตแดนพลังเจ้าสํานักของพวก เราก็คงจะจัดการกับเหวินซูได้ด้วยตัวเองไปแล้ว ตอนนี้พวกเราก็คงจะบุกยึดเมืองมณฑลจึงได้นานแล้ว”
“ศิษย์น้องผู้หลักแหลม แล้วเจ้ามีแผนการอะไรดีๆไหม? มีคนของเจ้าแฝงตัวอยู่กับเหวินซูบ้างรึเปล่า?” ยู่เฉิงไห่มองไปที่สีวู่หยาอย่างคาดหวัง มันเป็นสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
สีวู่หยาที่ถูกจับจ้องอย่างตั้งใจทําตัวไม่ถูก ตัวเขาไม่คุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงของผู้เป็นศิษย์ พี่ใหญ่เลย “แม่ทัพใหญ่ทั้งแปดเป็นทหารมานาน การที่จะแทรกซึมไปหาหาเขาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้เรายังเคยใช้วิธีแบบนี้กับมณฑลเหลียงมาก่อน ดังนั้นพวกเราคงจะใช้วิธีนี้ไม่ได้แน่”
ยู่เฉิงไห่ถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
สีรู่หยาได้พูดต่อ “ แต่ข้าพอจะมีทางอื่นอยู่อีก”
“ศิษย์น้องผู้หลักแหลม….บอกข้าเร็วเข้า!” ยู่เฉิงไห่ยังคงเรียกสีหยาด้วยคําว่า “ศิษย์น้องผู้ หลักแหลม ยู่เฉิงไห่ในตอนนี้ไม่ได้สนใจอะไรอีกต่อไป
“มณฑลจิงเป็นมณฑลที่มีภูมิศาสตร์เป็นพิษ มันเป็นสถานที่ที่ถูกล้อมไปด้วยสัตว์ร้าย…มีหุบเขาและปาไม้มากมายล้อมรอบไว้ พวกเราสามารถใช้สัตว์ร้ายพวกนั้นจัดการกับเขตแดนพลังได้”
ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้ว “ข้าไม่ใช่ราชาแห่งสัตว์ร้าย พวกเราจะไปสั่งการพวกมันได้ยังไงกัน?”
สีวู่หยาพูดต่อ “ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ในสามวันต่อจากนี้ที่ทางเหนือมณฑลจึงจะมีการบูชายัญบนแท่นบูชาสวรรค์”
“บูชายัญ?”
“การบูชายัญเป็นการสละชีวิตของใครบางคนให้กับสวรรค์อย่างไร้เหตุผลก็เท่านั้น สิ่งที่สําคัญที่สุดคือผู้ที่ถูกสังเวยเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ พรสวรรค์ที่จะพูดคุยภาษาของเหล่าสัตว์ร้ายได้ ผู้ที่ถูกสังเวยเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการสื่อสารกับสัตว์ร้ายไงละศิษย์พี่”