ตอนที่ 499 ตําราในโลงศพ
ฮู๊วว!
สัตว์ร้ายบินได้ขนาดใหญ่ได้เงยหน้าขึ้น มันได้เป็ดจะงอยปากที่หนาและแหลมคมของมันขึ้นมา สัตว์ร้ายตัวนั้นได้ส่งเสียงร้องอย่างอึกทึก สัตว์ร้ายบินได้ตัวนี้มันดูคล้ายกับเหยี่ยวยักษ์ หน้าตาของมันดูไม่พอใจเท่าไหร่
เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นรถม้าลอยฟ้าถูกลากโดยสัตว์ร้ายที่บินได้แบบนี้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้บ่อยครั้ง
สัตว์ร้ายที่บินได้เช่นนี้ยากที่จะทําให้เชื่องได้ มันเป็นสัตว์ร้ายที่สามารถบ้าคลั่งได้อย่างง่ายดาย เมื่อสัตว์ร้ายสูญเสียการควบคุม พวกมันก็จะทําอันตรายให้กับมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์ร้ายตัวนี้ยังดูไม่ธรรมดา
หมิงซี่หยินเหลือบมองดูผู้คนทั้งห้าที่อยู่บนรถม้าลอยฟ้า หมิงซี่หยินที่สังเกตพวกเขาอยู่นานได้เริ่มต้นพูดขึ้น “ทูตจากรั่วหลื่อย่างงั้นเหรอ?”
“เป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้พบ” หนวดของลานนีทูตแห่งรั่วหลี่กระตุก ตัวเขายิ้มให้ก่อนที่จะพูดต่อ “สหายในเมื่อเจ้าอยู่ใกล้กับภูเขาทอง เจ้าก็คงจะเป็นสหายจากศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นสินะ ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยชี้แนะพวกเราได้ ถ้าหากเจ้าเมตตาให้โอกาส ข้าจะรู้สึกขอบคุณเจ้าไปตลอด”
หมิงซี่หยินได้กล่าวออกมาอย่างไม่แยแส “เจ้าพูดภาษาของพวกเราได้ดีเลยนิ”
“ที่ที่ข้าร่ำเรียนมามีการสอนภาษาของชาวดินแดนหยานน่ะ เพราะแบบนั้นข้าเลยได้เรียนรู้มา” ลานนีตอบกลับมา
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นไม่เข้าใจ ชาวรั่วหลี่บัดนี้กําลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้ที่มณฑลเหลียง ทั้งสองดินแดนต่างก็ทําสงครามกันอยู่ แล้วทําไมชาวรั่วหลี่ถึงได้ส่งคนมายังศาลาปีศาจลอยฟ้า แทนที่จะส่งคนไปหาศิษย์พี่ใหญ่ของเขา คนที่ก่อเรื่องทั้งหมดกัน?
หมิงซี่หยินเกาหัวของตัวเอง ตัวเขามองไปยังผู้มาเยือนก่อนจะพูดต่อ “เอ่อ…เจ้ากําลังพูดอะไรกัน? ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยสักนิด…” หลังจากนั้นหมิงซี่หยินก็บินกลับไป
“นี่เป็นสิ่งสําคัญ ได้โปรดคิดให้รอบคอบด้วย” ลานนีรีบตอบกลับมา
หมิงซี่หยินที่ลอยอยู่ในอากาศได้หันกลับมา “สําคัญอย่างงั้นเหรอ? สําคัญจนฟ้าถล่มเลยรึเปล่าล่ะ?”
“…” ลานนีพูดไม่ออก แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ได้ตอบกลับมา “ก็ไม่แน่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรจะต้องกังวล” หมิงซี่หยินหันกลับไปก่อนที่จะปลดปล่อยสุดยอดเคล็ดวิชา หมิงซี่หยินได้หายตัวไปจากนั้นโดยใช้เวลาไม่นาน
ลานนีถูกทิ้งให้จ้องมองม่านพลังของภูเขาทองด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง ตัวเขาไม่ได้ดูโกรธ ในทางกลับกันลานนีเผยให้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าแทน “ข้าได้พบเจอกับผู้คนชาวดินแดนหยานมามากมาย แต่ข้าไม่เคยพบกับใครที่แปลกเหมือนเจ้านี่เลย ช่างน่าสนใจอะไรเช่นนี้”
“ท่านหัวหน้า พวกเราจะฝ่าม่านพลังไปเลยไหมครับ?” ลูกน้องคนหนึ่งของลานนีพูดขึ้น
“เจ้าเสียสติไปแล้วรึไงกัน? ที่นี่คือศาลาปีศาจลอยฟ้า พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้ ม่านพลังที่เห็นไม่ใช่ม่านพลังธรรมดา พวกเราคงไม่อาจฝ่าม่านพลังไปได้แน่”
“แล้วพวกเราควรทํายังไงดีครับ?”
“รอต่อไป”
ในบ่ายวันนั้น หมิงซี่หยินก็กลับมายังเชิงเขาอีกครั้ง ตัวเขาที่กลับมามองเห็นลานนีและคนอื่นๆ ยังคงรออยู่ที่เชิงเขา
เมื่อลานนีเห็นหมิงซี่หยิน ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นจึงรีบทักทาย “เจอกันอีกแล้วนะสหาย”
“พวกเจ้าตั้งใจแน่วแน่ดีนะ”
“พวกเราจะไม่ออกไปจากที่นี่จนกว่าจะได้พบกับปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า” ลานนีกังวลว่าหมิงซี่หยินจะหายตัวไปอีกครั้ง ตัวเขาที่คิดแบบนั้นจึงรีบพูดเสริมขึ้น “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของอวตารดอกบัวเก้ากลีบ ได้โปรดช่วยส่งต่อข้อความของพวกเราด้วย”
ฮรู๊ววว!
สัตว์ร้ายบินได้ส่งเสียงดังอีกครั้ง
พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ? หมิงซี่หยินดูตื่นตัวขึ้นมาในทันที แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ยังไม่เห็นด้วยที่จะช่วยผู้มาเยือนในทันที “งั้นก็รอที่นี่ซะ” แทนที่หมิงซี่หยินจะเดินออกไป ตัวเขาเลือกที่จะหันหลังกลับแทน
เมื่อลานนีเห็นแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกมั่นใจ
ลูกน้องที่อยู่ไม่ไกลลานนีได้เริ่มต้นพูดขึ้น “ท่านหัวหน้า พวกเขาไม่ต้องการที่จะพบพวกเราแน่”
“เขาจะต้องมาในโลกใบนี้ไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดไม่สงสัยเรื่องของพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ แม้แต่ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าก็ไม่มีข้อยกเว้น” ลานนีได้กล่าวออกมาอย่างมั่นใจ
“แต่ข้าได้ยินมาแล้วว่าเขามีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแล้ว แล้วทําไมเขาถึงต้องสนใจเรื่องนี้ด้วย?” ลูกน้องคนนั้นเอ่ยถาม
ลานนีวางมือไขว้หลังก่อนที่จะตอบกลับมา “ประการแรกถ้าหากเขาเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจริง เขาจะต้องคิดว่าตัวเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบคนแรกของโลกแน่ คนแบบนั้นย่อมสนใจที่จะรักษาพลังอํานาจของตัวเองให้มากที่สุด เจ้าคิดว่าคนแบบนั้นจะทํายังไง หากมีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบปรากฏขึ้นมาอีก?”
เมื่อลูกน้องคนนั้นได้ยิน ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
“ส่วนประการที่สอง ถ้าหากเขาไม่ใช่ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจริง นั่นก็หมายความว่าดินแดนหยานและศาลาปีศาจลอยฟ้าได้กุข่าวลือขึ้นมา นี่จะเป็นโอกาสที่จะทําให้พวกเราบุกยึดเมืองมณฑลเหลียงไปพร้อมกับชาวลั่วหลานได้”
ลูกน้องคนนั้นรีบทําความเคารพ “สมแล้วที่เป็นท่านหัวหน้า ช่างปราดเปรื่องอะไรเช่นนี้”
แม้จะพูดแบบนั้นก็ยังมีลูกน้องอีกคนพูดขึ้น “แล้วถ้าหากเขาเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจริงๆ ล่ะ?”
ลานนีพูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “พลังอวตารของมนุษย์จะขึ้นอยู่กับรูปร่างของผู้ใช้ ถ้าหากการตัดดอกบัวทองคําช่วยให้ชาวยุทธมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้จริง ชาวรัวหลื่อย่างพวกเราที่มีพลังอวตารเป็นรูปราชาหมาปาย่อมที่จะได้เปรียบกว่าแน่นอน เมื่อช่วงเวลาแบบนั้นมาถึง…” ลานนีหยุดพูดชั่วขณะ “มันจะเป็นจุดเริ่มต้นในจุดจบของดินแดนหยานแห่งนี้”
ไม่นานนักก็มีใครบางคนลอยกลับมา หมิงซี่หยินเป็นผู้ที่บินกลับมานั่นเอง “อา จารย์ของข้ารออยู่ขึ้นเขามาซะ”
ลานนีหันกลับมาก่อนที่จะเหลือบมองกล่องที่อยู่ในรถม้าลอยฟ้า “หยิบกล่องมาซะ”
“ครับ” ลูกน้องทั้งสี่ต่างก็เคารพตัวของลานนีมากยิ่งขึ้น
ชาวรั่วหลี่และชาวลั่วหลานต่างก็เป็นพันธมิตรกัน พวกเขาต่างก็ต่อสู้กับชาวดินแดนหยานในเขตพรมแดนมากว่าหลายครั้งแล้ว ไม่นานมานี้พวกเขาก็มีส่วนร่วมในการต่อสู้ที่มณฑลเหลียง หลังจากที่สํานักอเวจีพิชิตมณฑลเหลียงได้ ชาวลัวหลีก็มองหาโอกาสที่จะบุกยึดเมืองมณฑลเหลียงมาโดยตลอด แต่เพราะการปรากฏตัวของผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบทําให้แผนทั้งหมดที่ชาวรั่วหลี่มีต้องถูกระงับไว้
“เทียนกูว รออยู่นี่ซะ” ลานนีดีดนิ้วของตัวเอง ในตอนนั้นเองระหว่างนิ้วของลานนีก็ส่องแสงสว่างใส่หน้าผากของสัตว์ร้ายบินได้
เทียนกวนอนลงอย่างเชื่อฟัง
หมิงซี่หยินส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าสัตว์ร้ายตัวนี้มันเป็นนก แต่ทําไมชาวรั่วหลี่ถึงได้เรียกมันว่า เทียนกูว สุนัขในตํานานได้?
[เทียนกูว: สัตว์ในตํานานชาวจีน มีรูปร่างคล้ายสุนัข]
ผู้มาเยือนทั้งห้าถูกพาไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าโดยการนําทางของหมิงซี่หยิน
ครู่ต่อมาที่ห้องโถงใหญ่
ลู่โจวในตอนนี้นั่งรออยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างามเรียบร้อยแล้ว
ลานนีทูตแห่งรั่วหลี่เดินเข้าไปในห้องโถงก่อนที่จะพูดออกมา “สวัสดีท่านปรมาจารย์ ข้ามีชื่อว่าลานนี เป็นทูตแห่งรั่วหลี่”
ผู้ติดตามอีกสี่คนโค้งคํานับให้
ลู่โจวเหลือบมองลานนี
ชื่อ: ลานนี โบน่าร์
เผ่าพันธุ์: ชาวรั่วหลี่
พลังวรยุทธ: ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “พูดมาซะ เจ้ามาทําอะไรที่นี่?”
ลานนีโค้งคํานับอีกครั้งก่อนจะพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ท่านปรมาจารย์ที่เคารพ ข้าได้ยินมาว่าท่านเป็นยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบคนแรกของโลกยุทธภพ นั่นเป็นเหตุผลที่ทําให้พวกเรามาพยายามมาเยี่ยมเยียนท่าน ถ้าหากเป็นไปได้ ชาวรั่วหลื่อย่างพวกเราปรารถนาที่จะอยู่อย่างสงบสุขกับชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าน่ะ”
หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างสับสน “เจ้านี้กําลังพูดถึงอะไรกัน?”
ต้วนมู่เฉิงขมวดคิ้ว “อย่าพูดแทรก ปล่อยให้เขาพูดต่อซะ”
หมิงซี่หยิน “…”
ลานนีมองหาลู่โจวก่อนจะพูดต่อ “พวกเรามีของสองอย่างติดตัวมาฝากชาวศาลาปีศาจลอยฟ้า มันเป็นของที่มีไว้เพื่อสร้างสัมพันธไมตรีกับชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าและเป็นของที่จะใช้หารือเรื่องพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบกับท่าน”
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะตอบกลับมา “ตอนนี้ไม่มียอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอยู่ใน ชาวรั่วหลื่อย่างงั้นสินะ?”
“ยังแน่นอน”
“แล้วเจ้าจะหารือได้ยังไงในเมื่อพวกเจ้ายังไม่มีผู้ที่มีพลังอวตารดอกเก้ากลีบนะ?”
“เอ่อ…” คําถามนี้ทําให้ลานนีพูดไม่ออก อันที่จริงแล้วทั้งสองฝ่ายสามารถที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ แต่มันจะเป็นการแลกเปลี่ยนได้ยังไงในเมื่ออีกฝ่ายไม่รู้อะไรเช่นนี้?
“พวกชนเผ่าอื่นต้องการมาที่นี่ก็เพื่อที่จะยืนยันความจริงสินะ
ลานนีโค้งคํานับก่อนที่จะพูดต่อ “ได้โปรดฟังข้าก่อน ท่านปรมาจารย์”
“พูดมา”
“ข้ามาจากครอบครัวตระกูลโบน่ารแห่งรั่วหลี่ เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อน ครอบครัวของข้าได้รับของอะไรบางอย่างมา” ลานนีพูดก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณ
เหล่าลูกน้องทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังรีบนํากล่องไปที่ด้านหน้า
ลานนีได้ชี้ไปยังกล่องใบนั้นก่อนจะพูดต่อ “นี่คือโลงศพ”
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงขมวดคิ้ว
ต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
เงาของหอกนับไม่ถ้วนได้แยกออกมาจากตัวของต้วนมู่เฉิงอย่างรวดเร็ว
ลานนีไม่คิดมาก่อนว่าชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าจะโจมตีพวกเขาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ ลานนีรีบถอยกลับไปเพื่อหลบการโจมตี
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
เงาหอกได้พุ่งเข้าใส่ลานนีราวกับพายุคลั่ง
ลูกน้องอีกสี่คนดูหวาดกลัว
วิชาหอกของต้วนมู่เฉิงดูแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด “ได้โปรดฟังข้าก่อน ท่าปรมาจารย์!” ลานนีรีบพูดออกมาในขณะที่ถอยกลับ เมื่อเห็นเงาหอกกําลังจะพุ่งเข้าใส่ตัว ลานนีก็รีบพูดเสริม “ที่โลงศพนั่นมีตําราเกี่ยวกับพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอยู่!”
ตู๊ม!
ในที่สุดลานนีก็ถูกหอกโจมตี ลานนีตีลังกากลางอากาศก่อนที่จะหมุนตัวกลับไป หลังจากที่กระเด็นไปได้สักพักตัวเขาก็ได้กระแทกเข้ากับเสา หน้าอกของลานนีเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของเขาเบิกกว้างในขณะที่จ้องมองต้วนมู่เฉิง “ทรงพลังจริงๆ !
ต้วนมู่เฉิงตกใจกับทักษะการป้องกันของชาวรั่วหลี่เช่นกัน แม้แต่พลังการป้องกันของฮั๊ววู่เด๋ายังไม่อาจป้องกันการโจมตีนี้ได้ง่ายๆ แต่ชายคนนี้สะดุดถอยหลังกลับไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
“พอได้แล้ว” ลู่โจวโบกมือของตัวเอง
ต้วนมู่เฉิงที่ได้ยินแบบนั้นรีบคารวะก่อนที่จะเดินกลับไปที่ด้านข้าง
ลู่โจวมองดูลานนีก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็น “เอามันมาให้ข้า”