บทที่ 50 เพื่อนเก่ากลับมา (5)
“หวัดดีตอนเช้า” อี้เป่ยซีเพิ่งจะล็อกประตู ยืดตัวบิดขี้เกียจ เมื่อได้ยินเสียงฉู่ซ่งก็หันไปมอง นัยน์ตายังมีประกายฉ่ำวาว “ตอนนี้เธอจะไปมหาลัยเหรอ”
เธอพยักหน้าอย่างไร้ชีวิตชีวา ขยี้ตา แล้วหาวอีกรอบอย่างอดไม่ไหว “ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
“งั้นพวกเราไปด้วยกันเถอะ” ฉู่ซ่งยิ้มพลางเดินไปข้างๆ เธอ
“เอ๊ะ นายก็เรียนที่มหา’ลัยเราเหรอ”
รอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่ายมืดมนทันใด น้ำเสียงฉู่ซ่งจนปัญญา “ฉันนึกว่าเธอรู้จักฉันซะอีก”
“หา?” อีเป่ยซีดึงกระเป๋าหนังสือ เธอเคยเจอเขาเหรอ? ไม่น่าล่ะถึงได้ดูคุ้นตา “อืม ฉันน่าจะเคยเจอเธอมาก่อน”
ฉู่ซ่งมองเธอ ไม่สามารถรักษารอยยิ้มบนใบหน้าได้อีกต่อไปแล้ว เขาข่มความอยากจะใช้นิ้วจิ้มเธอไว้ บ่นพึมพำว่า “เธอนี่ยังไม่สนใจเรื่องภายนอกจริงๆ”
“เธอว่าไงนะ?” สมองของอี้เป่ยซียังคงสะลึมสะลืออยู่บ้าง เธอรู้สึกเพียงว่าคนที่อยู่ข้างๆ กำลังพูด แต่ฟังไม่ออกเลยสักนิดว่าเนื้อหาคืออะไร จึงยกมือขึ้นมานวดคลึงหูของตัวเอง
รายงานวิจัยช่างทำร้ายคนจริงๆ ตอนนี้ง่วงจนฟังอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว เธอสะบัดหัว หวังว่าจะได้ยินชัดกว่านี้หน่อย
“ไม่มีอะไร” ฉู่ซ่งโมโหเล็กน้อย เดินอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จาอีก อี้เป่ยซีรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังอยู่ในความฝัน ทำอะไรก็ดูไม่สมจริง
อี้เป่ยซีมาถึงชั้นเรียนด้วยความสับสนมึนงงแบบนี้ ส่งงานวิจัย แล้วหาที่ที่ห่างไกลผู้คนสักหน่อย ล้มฟุบลงบนโต๊ะและหลับไปทันที จนกระทั่งเมื่อลืมตา พบว่าสายตาของอาจารย์มองเธอเป็นครั้งคราว เธอจึงค่อยตื่นตัวขึ้นมา
การอดนอนส่งผลเสียต่อร่างกายจริงๆ เธอส่ายหัว ถามถังเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ว่าบรรยายไปถึงไหนแล้ว จึงค่อยเปิดหนังสือตาม เปลือกตาเดี๋ยวปิดเดี๋ยวเปิด
“เป่ยซี เป่ยซี” ถังเสวี่ยสะกิดเธอ
“มีอะไรเหรอ?”
ถังเสวี่ยแอบขำ “เธอมีเรื่องอะไรอีกใช่ไหม?”
“เรื่องอะไร?”
“เมื่อเช้านี้ ฉันเห็นเธอมามหา’ลัยกับฉู่ซ่ง”
“อืม ต่อให้มากับฉู่ซ่ง…ฉู่ซ่ง”ความง่วงนอนทั้งหมดหายไปปลิดทิ้งในชั่วพริบตา เธอเอ่ยปากอย่างเชื่องช้า “เธอ เธอบอกว่าเขาชื่อฉู่ซ่งเหรอ?”
ถังเสวี่ยพยักหน้า “ใช่แล้ว ฉู่ซ่ง ย้ายเข้ามามหา’ลัยพวกเราปีก่อน ทุกคนพูดถึงเขากันตั้งนานแล้ว เธอไม่รู้เรื่องนี้เหรอ?”
“เขา…มาที่มหา’ลัยนานแล้ว?”
ฉู่ซ่ง…ฉู่ซ่ง เขาก็ชื่อฉู่ซ่ง บังเอิญล่ะมั้ง ซ่งซ่งเขาจะโผล่มาที่นี่ได้ยังไง ถ้าหากเป็นฉู่ซ่งจริงๆ ทำไมเขาถึงไม่พูดต่อหน้าเธอให้ชัดเจนล่ะ หึ ไม่มีทางหรอก ฉู่ซ่งไม่มีทางปรากฏตัวต่อหน้าเธอได้
ก็คุยกันแล้วว่าจะไม่ติดต่อกันอีก แล้วเขารู้ที่อยู่ของเธอได้อย่างไร คุณน้าอี้ของพวกเขาปล่อยให้เขากลับมาอีกได้อย่างไร
เธอกำปากกาในมือแน่น ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องของฉู่ซ่ง
ทำไมถึงไม่เคยถามชื่อของเขา ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยสนใจเรื่องในมหาวิทยาลัยพวกนี้ อี้เป่ยซีอารมณ์เสีย คิดอยู่เสมอว่าเขาคุ้นตามาก แต่ก็ไม่รู้จักคิดถึงเรื่องพวกนี้
“ถังเสวี่ย เธอรู้ไหมว่าฉู่ซ่งเขา…เขาเรียนคณะอะไร?”
“เรียนคอมพิวเตอร์ เอ้อ กำลังเรียนวิชาเอกอยู่ชั้นบนน่ะ ทำไมล่ะ จะขึ้นไปหาเขาเหรอ?”
“อืม อยู่ห้องไหนเธอรู้ไหม?”
“ฉันจะถามเพื่อนฉันให้”
ถังเสวี่ยก้มหน้ากดมือถืออยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเหลือบมองอี้เป่ยซี “นี่เป่ยซี คือว่า เพื่อนฉันบอกว่าฉู่ซ่งเขาไม่ได้มาเรียน เขาก็ไม่รู้ว่าไปไหน”
“อย่างนั้นเหรอ…งั้นมีวิธีติดต่อกับฉู่ซ่งไหม?”
“อันนี้…มีนะ นี่เบอร์มือถือของเขา แต่ว่าอาจจะโทรไม่ติดก็ได้”
“ฉันลองดูก็แล้วกัน” อี้เป่ยซีแอบย่องออกจากห้องไป กดเบอร์นี้ครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ที่ระเบียง ทำไมโทรไม่ติด นายรับสายสิ หลังจากเสียงรอสายดังนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เธอก็ตัดสินใจออกไปหาเขาด้วยตัวเอง
“เป่ยซี ช่างมันเถอะ”ถังเสวี่ยถือกระเป๋าของสองคนเดินเข้าไปหาเธอ “เขาอาจจะไม่ค่อยใช้เบอร์นี้”
“ยังมีวิธีอื่นติดต่อเขาอีกไหม?”
เธอส่ายหัว อี้เป่ยซีถามอีก “เธอรู้ไหมว่าปกติแล้วเขาอยู่ตรงไหน?”
“ห้องสมุด ห้องอ่านหนังสือ ทางเดินฝั่งตะวันตกของมหา’ลัย อือ สถานที่ก็ประมาณนี้แหละ”
“งั้นฉันจะไปหาดู ดูว่าจะเจอเขาไหม”
“เป่ยซี เธอคงไม่ได้จะไปหรอกนะ”
อี้เป่ยซีสะพายกระเป๋าของตัวเอง ทิ้งไว้แต่แผ่นหลังให้ถังเสวี่ย “ฉันไปก่อนนะ”
ห้องสมุด ห้องอ่านหนังสือ ทางเดิน สถานที่เหล่านี้…หวังว่าจะโชคดีได้เจอนาย
จากห้องสมุดถึงห้องอ่านหนังสือ จากห้องอ่านหนังสือถึงทางเดิน แล้วก็จากทางเดินถึงห้องอ่านหนังสือ จากห้องอ่านหนังสือถึงห้องสมุด อี้เป่ยซีนั่งลงบนเก้าอี้ยาวข้างทางด้วยความท้อใจเล็กน้อย ‘ควรจะไปหานายที่ไหนดี’
เธอมองดูสายเรียกเข้า รีบรับสายทันที
“คุณหนู พวกเราตามหาเจ้าของหมายเลขนี้ที่สำนักงานใหญ่แล้ว แต่ว่าพวกเราทำอะไรไม่ได้”
“ไม่เป็นไร ช่างเถอะ”
เธอวางสาย มองไปรอบทิศอย่างเหม่อลอย บริเวณมหาวิทยาลัยก็เล็กขนาดนี้ ทำไมถึงหาฉู่ซ่งไม่เจอ
“อี้เป่ยซี” ฉินรั่วเข่อยิ้มให้เธอ “ตอนนี้เธอรู้สึกดีขึ้นแล้วยัง?”
ผู้หญิงจากวันนั้น…อี้เป่ยซีนึกถึงคำพูดที่รุนแรงของตัวเองในตอนนั้น ยิ้มให้เธออย่างรู้สึกผิด “อือ ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว ขอโทษนะ วันนี้พูดจาไม่น่าฟังไปตั้งเยอะ เธออย่าเก็บมาใส่ใจเลย”
เธอยิ้มตาหยีพลางส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร เพราะฉันปลอบใจคนอื่นไม่ค่อยเก่ง เอ่อ เธอกำลังหาอะไรอยู่หรือเปล่า?”
“ฉัน” เดิมทีอี้เป่ยซีอยากเรียกชื่ออีกฝ่าย แต่เพิ่งรู้ว่าเธอไม่รู้จักแม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ “เธอ เธอเห็นฉู่ซ่งไหม?”
“ฉู่ซ่ง? เด็กท็อปคณะคอมพิวเตอร์น่ะเหรอ?”
“น่าจะใช่เขา”
ฉินรั่วเข่อส่ายหน้าเชิงขอโทษ “วันนี้ฉันมีเรียนทั้งวัน ไม่เห็นเขาเลย เธอไม่มีวิธีติดต่อเขาเหรอ?”
อี้เป่ยซีส่ายหัว “ยังไม่รู้เลยว่าเธอชื่ออะไร”
“ฉินรั่วเข่อ”
“ฉินเยว่เข่อเป็น…”
คู่สนทนาจัดผมที่ข้างหู ท่าทางอ่อนโยนมาก น้ำเสียงนุ่มนวลดังขึ้น “เขาเป็นน้องสาวฉัน”
“พวกเธอสองคนเป็นพี่น้อง?”
“มีหลายคนบอกว่าพวกเราไม่ค่อยเหมือนกัน เยว่เข่อเขาสวยเด่นขนาดนั้น ฉันเทียบเขาไม่ติดจริงๆ”
อี้เป่ยซีรีบส่ายหัว “ไม่ใช่แบบนั้น คือว่า ฉันจำได้ว่าคราวก่อนเหมือนเธอพูดอะไรบางอย่าง เรื่องอะไรนะ ฉันจำไม่ค่อยได้แล้ว”
“อ่อ คือเรื่องนี้”เธอหยิบปากกาหมึกซึมออกมาจากกระเป๋า แค่มองก็รู้ว่าเป็นรุ่นเก่า แต่ว่าถูกดูแลรักษาอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ดูแล้วเหมือนเพิ่งซื้อมาใหม่ “นี่เป็นของที่เธอทำหล่นใช่ไหม?”
อี้เป่ยซีลูบคลำกระเป๋าของตัวเองทันที พบว่าปากกายังนอนอยู่ในกระเป๋าของตัวเองเหมือนเดิม ด้ามนี้เป็นของพี่เป่ยเฉิน เธอรับปากกาหมึกซึมมา คงมีแต่เป็นของพี่เป่ยเฉินแล้ว น่าจะทำหล่นตอนที่มารับเธอคราวก่อน ทำไมถึงสะเพร่าแบบนี้ พอเธอกลับไปแล้วจะต้องต่อว่าเขาสักหน่อย
“ขอบคุณมาก”
“ไม่เป็นไร”ฉินรั่วเข่อลังเลครู่หนึ่งจึงกล่าว “เดิมทีตอนที่พี่ชายมารับเธอ ฉันจะถามเขาก็ได้ว่าใช่ของเขาหรือเปล่า มาคืนเจ้าของเอาป่านนี้ รู้สึกแย่จังเลย”
มือของอี้เป่ยซีที่รับของหยุดชะงักลง “ด้ามนี้ เธอเก็บได้ตอนไหน”
“เมื่อวานไง” เธอแสร้งทำเป็นยิ้มผ่อนคลาย “ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อนนะ”
อี้เป่ยซีพยักหน้า ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ ช่างเถอะ ตอนนี้การหาตัวฉู่ซ่งสำคัญกว่า…
……………………..