บทที่ 65 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (7)
“พี่เป่ยเฉิน” อี้เป่ยซีมองเขาอย่างตำหนิ ก่อนก้มหน้าลงต่ำทันที พูดทีละคำช้าๆ “ต่อไปพี่ต้องอยู่ด้วยกันกับพี่สะใภ้ ตอนนี้ยังจะพูดแซวฉันอีก”
อี้เป่ยเฉินไม่ได้มองเธอ ขับรถไปเหมือนปกติ นิ้วมือที่ออกแรงจนโค้งงอเล็กน้อยสื่อให้เห็นความอดกลั้นของเขาในตอนนี้ ผ่านไปเนิ่นนาน เขาจึงเอ่ยปาก “พี่ไม่ยักจะรู้ว่าเสี่ยวซีอยากได้พี่สะใภ้ขนาดนั้น”
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่” อี้เป่ยซีส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก ทำไมพี่เป่ยเฉินถึงคิดกับเธอแบบนี้ “ฉันแค่ แค่…” เธอก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่ก้มหน้าต่ำ ไม่สนใจสายตาที่อยู่เหนือศีรษะอีก ในใจรู้สึกสับสน
เธอจะพูดอะไรได้? ถ้าบอกว่าอยากเหรอ? แบบนั้นก็จะเป็นการผลักพี่เป่ยเฉินออกไป
ถ้าบอกว่าไม่อยากก็จะเป็นการผูกมัดพี่เป่ยเฉินไว้กับตัวเองคนเดียวอย่างเห็นแก่ตัว ให้เขาอยู่ข้างกายเธอชั่วชีวิต แต่กลับไม่สามารถมอบความรักที่นอกเหนือจากพี่น้องให้เขาได้?
อี้เป่ยซี ทำไมเธอถึงเห็นแก่ตัวแบบนี้ นึกถึงแต่ความสุขและความปรารถนาของตัวเอง หรือว่าเธออยากจะทำลายพี่เป่ยเฉินด้วยมือของเธอ?
ทำไมคนที่เธอชอบถึงไม่สามารถไปตามหาความสุขของตัวเองได้ แต่ต้องอยู่ข้างกายเธอราวกับทาสล่ะ
เธอกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรง เลือดซึมออกมา แต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงเลย
“เสี่ยวซี เสี่ยวซี” อี้เป่ยเฉินเรียกเธอด้วยความปวดใจ อี้เป่ยซีจึงฟื้นขึ้นมาจากความคิดของตัวเอง มองไปรอบๆ ทำตัวไม่ถูก ทันใดนั้นกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“เพราะพี่ผิดเอง ขอโทษนะเสี่ยวซี” อี้เป่ยซีรับกระดาษทิชชูมา กำไว้ในมือแล้วส่ายหัว
“เพราะเสี่ยวซีคิดมากไป” เธอสูดหายใจลึก “ที่จริงฉินรั่วเข่อก็ดี ต่อไปพี่เป่ยเฉินจะชวนเขามาเที่ยวที่บ้านก็ได้นะ”
รถเบรกเข้าข้างทางดังเอี๊ยด อารมณ์ในดวงตาของอี้เป่ยเฉินไม่ชัดเจน เขามองอี้เป่ยซี ราวกับว่าต้องการจะจารึกคนที่อยู่ด้านหน้าไว้ในดวงวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่ารักใคร่ขนาดนี้ แต่บรรยากาศของความโศกเศร้าที่แผ่ซ่านรุนแรงระหว่างคนสองคน จะอย่างไรก็หลีกหนีไม่ได้
อี้เป่ยซีมองเขาตาโต ทั้งคู่สบตากัน ต่างคนต่างมีเรื่องในใจ อี้เป่ยเฉินขยับเข้าใกล้เธอทีละนิด เธออดไม่ได้ที่จะหดตัวไปข้างหลัง ลมหายใจอบอุ่นคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน อุณหภูมิในรถราวกับสูงขึ้นเล็กน้อย
“พี่เป่ยเฉิน” อี้เป่ยซีเบือนหน้าหนีพร้อมเรียกชื่อของเขา อี้เป่ยเฉินหัวเราะ หยิบกระดาษทิชชูในมือเธอออกมา ซับแผลบนปากของเธออย่างแผ่วเบา เลือดสดสีแดงซึมกระจายเป็นดอกไม้รูปร่างประหลาดบนกระดาษทิชชูที่อ่อนนุ่ม เธอเหม่อมองชายผู้อ่อนโยนที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกว่าหัวใจแทบหยุดเต้น
“คราวหน้าอย่ากัดอีกนะ” เขากำชับเบาๆ อยู่ข้างหู อี้เป่ยซีหน้าแดง เธอก้มหัวลงแล้วตอบรับเสียงเบา รถเริ่มเคลื่อนตัวอยู่บนถนนอีกครั้ง ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก
รถมาจอดที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง อี้เป่ยเฉินเอากุญแจรถให้บริกร จากนั้นจูงมือของเธอเดินตรงเข้าไปในห้องที่จองไว้แล้ว
“ครั้งนี้ถือซะว่าเธอเลี้ยงพี่ชดเชยอาหารเช้าคราวก่อนแล้วกัน” อี้เป่ยเฉินเขี่ยจมูกเธอเล่น
“ไม่เอา ฉันไม่มีเงิน พี่เป่ยเฉินกล้าให้ฉันเลี้ยงได้ยังไง” อี้เป่ยซีกุมกระเป๋าเงินของตัวเอง ท่าทางเหมือนคนขี้งก
“เธอมันเด็กขี้งก นอกจากของพวกนี้แล้วยังอยากกินอะไรอีกไหม”
อี้เป่ยซีกลอกตาไปมาหลายรอบ “อยากกินไอติมแล้ว ได้รึเปล่า” ในดวงตามีแววอ้อนวอน
“ตอนนี้อากาศยังเย็น รออีกหน่อยได้ไหม?”
“แต่ว่าอยากกินตอนนี้นี่นา พี่เป่ยเฉิน เสี่ยวซีเลี้ยงไอติมพี่นะ พลาดครั้งนี้พี่อาจไม่มีโอกาสแล้ว” เธอพูดพลางเลิกคิ้ว ราวกับว่านี่เป็นโอกาสที่หายากจริงๆ
อี้เป่ยเฉินพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง “นี่เป็นเรื่องน่าปวดหัวจัง โอกาสแบบนี้หายากจริงๆ นะ แต่ถ้าเสี่ยวซีกินไอติมตอนนี้ก็อาจจะเป็นหวัด…ทำไงดี”
“ไม่เป็นหรอก ภูมิต้านทานฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
“อือ จะว่าไปก็จริง พี่คงทำได้แค่บอกเรื่องนี้กับแม่ ให้เขาช่วยพี่ตัดสินใจ” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ อี้เป่ยซีฉวยไปอย่างรวดเร็ว
“คราวหน้า คราวหน้าค่อยคุย พวกเราจำไว้ก่อน จำไว้ก่อน” เธอยิ้มเอ่ย โทรศัพท์มือถือที่ฉวยมาในมือกลับดังขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ทำเอาอี้เป่ยซีตกใจจนเกือบโยนมันออกไป อี้เป่ยเฉินเห็นชื่อของสายเรียกเข้าก็ขมวดคิ้ว เขาเดินออกจากห้องเพื่อรับสายท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของอี้เป่ยซี เธออดใจไม่ไหวตามไปด้วย
“ตามนี้นะ ต่อไปอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก จับตาดูเขาไว้หน่อยก็ดี เขาไม่กล้าหรอก
แค่นี้ก่อนเถอะ ฉันกำลังกินข้าวกับเสี่ยวซี โอเค”
เมื่อเขาผลักประตูเปิดก็เห็นอี้เป่ยซีนั่งอยู่ที่เก้าอี้อย่างเรียบร้อยต่างจากปกติ
“เป็นเด็กดีจังเลย?”
“ใช่แล้วๆ พี่เป่ยเฉิน ฉันหิวแล้ว เริ่มได้แล้วยัง?”
อี้เป่ยเฉินลูบหัวของเธอ นั่งลงข้างเธอแล้วคีบกับข้าวลงในถ้วยให้ อี้เป่ยซีคุ้นชินจนเห็นเป็นเรื่องปกติ กินอย่างเอร็ดอร่อย เธอคีบกับข้าวที่อี้เป่ยเฉินชอบลงในถ้วยของเขาเป็นครั้งคราว มีความอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ
“เสี่ยวซี อยากไปดูหนังหรือเปล่า?”
“เอ๋ ตอนนี้มีหนังอะไรน่าดูเหรอ? ไม่ได้สนใจนานแล้ว”
เขาพยักหน้า “ใช่ มีเรื่องหนึ่งได้ยินว่าไม่เลวเลย”
“เอาสิ” อี้เป่ยซีนั่งที่เบาะข้างคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองเรียบร้อย รถออกตัวไปอย่างมั่นคง หลังจากนั่งอยู่ในโรงหนังที่น่าเบื่อเกือบสองชั่วโมง อี้เป่ยซีจึงเดินออกมาจากโรงหนังด้วยความงุนงง ราวกับถูกทำให้ตกใจกลัวอย่างไรอย่างนั้น
“พี่จะไปเอารถก่อน” เสียงอบอุ่นของอี้เป่ยเฉินดังอยู่ข้างหู ขณะที่กำลังจะปล่อยมืออี้เป่ยซี เธอคว้าแขนเขาไว้แน่นทันที
“ฉะ ฉันจะไปกับพี่”
“เอาสิ” อี้เป่ยเฉินลูบๆ หัวของน้องสาว พาเธอไปที่ลานจอดรถด้วยกัน แสงไฟสลัวเล็กน้อย มือของอี้เป่ยซีจับแขนเสื้อของเขาแน่นกว่าเดิม
อี้เป่ยเฉินรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปแล้ว จึงกล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้ว มันไม่ใช่เรื่องจริงน่าเสี่ยวซี”
“ฮือๆๆ…พี่เป่ยเฉิน ถ้าพี่บอกเร็วกว่านี้หน่อยว่าเป็นหนังสยองขวัญฉันก็ไม่มาแล้ว น่ากลัวเกินไป”
ใบหน้าที่อยู่ภายใต้เงามืดมีรอยยิ้มแห่งชัยชนะ “พี่ก็ไม่ได้สังเกตมาก ครั้งหน้าพี่ต้องดูให้ดีแล้วค่อยพาเธอมาโอเคไหม?”
“คราวหน้าไม่มากับพี่เป่ยเฉินแล้ว” เธอทำหน้าคร่ำครวญ
“วันนี้กลับบ้านไหม หืม?”
อี้เป่ยซีครุ่นคิด ไหนๆ พรุ่งนี้ก็ไม่มีเรียน จึงพยักหน้าตกลง เธอยังคงจับแขนเสื้อของอี้เป่ยเฉินแน่นไม่ปล่อย แม้แต่ตอนอยู่บนรถ มือน้อยไ ก็ยังจับชายเสื้อของเขาแน่น รู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก
หลังจากอี้เป่ยเฉินกล่อมให้อี้เป่ยซีไปอาบน้ำ ตัวเองก็ไปที่ห้องหนังสือเพื่อจัดการงานที่ยังทำไม่เสร็จ ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกช้าๆ คนที่ใส่ชุดนอนสีขาวขุ่นนั่งลงข้างเขาเงียบๆ กอดหมอนใบโปรดเหมือนปกติ ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่โต๊ะหนังสือ
“กลัวเหรอ?” มือของอี้เป่ยเฉินเคาะอยู่บนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วขณะเอ่ยถาม
อี้เป่ยซีพยักหน้า “ฉันมาให้พี่เป่ยเฉินเล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง”
“เธอนอนข้างๆ เถอะ พี่อยู่นี่แหละ โอเคไหม?”
เธอยื่นมือดึงแขนเสื้อของเขาไว้ “ไม่เอา เดี๋ยวพี่เป่ยเฉินก็จะพาฉันกลับไป แล้วฉันจะอยู่คนเดียวอีก ไม่ได้ ฉันจะรอจนพี่เป่ยเฉินทำงานเสร็จ”
“ถ้าเธอนั่งมอง พี่ก็ทำงานไม่ได้สิ” จู่ๆ อี้เป่ยเฉินก็รู้สึกเสียใจกับมุขตลกเล็กๆ ของตัวเอง
“ฉันดูไม่รู้เรื่องสักหน่อย ทำไมถึงทำงานไม่ได้ล่ะ” อี้เป่ยซีกอดหมอนบ่นพึมพำ ยืนอย่างมั่นคงอยู่ตรงนั้น แสดงความตั้งใจแน่วแน่ของตัวเอง
……………………………