บทที่ 62 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (4)
การบรรยายในห้องเรียนยังนับว่ามีชีวิตชีวา มีคำศัพท์สุนทรียศาสตร์ที่เข้าใจยากอยู่บ้าง เมื่อประกอบกับตัวอย่างที่มีเหตุผลเข้าใจง่ายก็ไม่น่าเบื่อ แต่ว่าอี้เป่ยซีรู้สึกไร้พลังงาน เธอใช้มือเท้าศีรษะ เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ หัวก็หนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด ราวกับไก่ตัวน้อยที่จิกข้าวสาร ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ทนไม่ไหวฟุบลงบนโต๊ะแล้วผล็อยหลับไป
ในฝัน เธอเห็นฉินรั่วเข่อในชุดสีขาวยืนอยู่บนขอบหน้าผาสูง ใบหน้ามีรอยยิ้มบางที่สง่างาม ปากฮัมเพลงที่เธอไม่ค่อยชอบนัก เนื้อเพลงที่น่าสะอิดสะเอียนทั้งยังให้ความรู้สึกเศร้าโศกออกมาจากปากฉินรั่วเข่อ ไม่มีทำนองขึ้นลงใดๆ จู่ๆ ก็แสบแก้วหูขึ้นมา
อี้เป่ยซีอยากก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยอีกฝ่าย ทันใดนั้นอี้เป่ยเฉินปรากฏตัวต่อหน้าเธอ ท่าทางขึงขัง ขวางทางของเธอไว้ อี้เป่ยซีมองดูอี้เป่ยเฉินที่เดินไปหาฉินรั่วเข่อตาปริบๆ เห็นพวกเขาทั้งสองคนทะเลาะกันเนิ่นนาน จู่ๆ เธอก็ค้นพบว่าคนที่ยืนอยู่ริมหน้าผาคือตัวเธอเอง เธอกำลังฮัมเพลงรักที่ว่างเปล่า สองคนที่ทะเลาะกันเข้าใกล้เธอทีละน้อยๆ ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าโปร่งใสชัดเจน เธอลื่นตกลงมาจากขอบหน้าผา…
ร่างกายที่หลับใหลอยู่บนโต๊ะสะดุ้งโหยง อี้เป่ยซีจึงลืมตาขึ้นด้วยความมึนงงเล็กน้อย หลังจากลืมตาแล้วกลับไม่มีความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนเมื่อก่อน ได้แต่รู้สึกยิ่งเวียนหัวและหายใจไม่ออกอยู่บ้าง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแปลกๆ เธอดื่มน้ำไปอึกหนึ่งแต่ก็รู้สึกคลื่นไส้ พยายามข่มเอาไว้
“เธอเป็นอะไรไป?” หลานฉือเซวียนยื่นทิชชูให้เธอแผ่นหนึ่ง อี้เป่ยซีจึงพบว่าบนหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เธอเม้มปากส่ายหัว
“เมื่อกี้ฝัน”
“ฝันร้าย?”
“ไม่รู้สิ ลืมไปแล้ว แค่รู้สึกว่าตัวเองในฝันไม่สบายมาก”
อี้เป่ยซีสังเกตเห็นสายตาของเซี่ยเช่อที่มองมาทางนี้เป็นครั้งคราวจึงรีบนั่งตัวตรง ในสมองว่างเปล่า เหม่อลอยทั้งแบบนี้จนหมดไปหนึ่งคาบ
“อี้เป่ยซี” อี้เป่ยซีหยุดเก็บของแล้วมองคนบนเวทีบรรยาย เธอขานรับอย่างยอมรับชะตากรรม เก็บของของตัวเองต่อ ปากกาหมึกซึมร่วงหล่นจากกระเป๋าเสื้อตกกระแทกพื้นอย่างแรง ปลายปากกาไม่ตรงดิ่งเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เธอกระวีกระวาดเก็บมันขึ้นมา
ทำไมถึงตกพื้นได้นะ ทั้งๆ ที่จำได้ว่าตัวเองครอบฝาปากกาและเก็บไว้อย่างดีแล้ว ทำไมถึงมาอยู่บนโต๊ะได้อีก เธอจับๆ ปลายปากกาด้วยความปวดใจเล็กน้อย น้ำหมึกสีน้ำเงินทิ้งร่องรอยบนปลายนิ้ว เธอถอนหายใจครอบฝาปากกา ลูบปากกาสองสามที
ด้ามนี้เหมือนจะไม่ใช่ของเธอ เธอเปิดกระเป๋าของตัวเองทันที ควานหาในกระเป๋าเครื่องเขียนใบเล็ก เธอหยิบปากกาของพี่เป่ยเฉินผิดไปตอนไหนนะ?
ไม่ใช่สิ ด้ามนี้น่าจะเป็น…ด้ามนี้เป็นด้ามที่ฉินรั่วเข่อให้เธอ ปากกาของเธอด้ามนั้น น่าจะอยู่ในเสื้อที่ให้ฉินรั่วเข่อยืมไป ฉินรั่วเข่อ…อี้เป่ยซีครุ่นคิด เวลาที่เธอเก็บปากของพี่เป่ยเฉินได้มันแปลกอยู่นะ
“อี้เป่ยซี”
“หา”
เซี่ยเช่อมองเธอเงียบๆ “เธอเหม่อมองอะไรปากกาตัวเองอยู่น่ะ เรียกเธอตั้งนานแล้ว”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” แววตาของเธอลอกแลกเล็กน้อย ไม่ว่าใครก็ไม่เชื่อคำพูดนี้ของเธอทั้งนั้น สายตาที่หลานฉือเซวียนมองเซี่ยเช่อนั้นมีคำถาม
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน ใครจะไปรู้ว่าวันนี้เธอเป็นอะไร เซี่ยเช่อยักไหล่อย่างไร้เดียงสามาก
“ฉันแค่อยากบอกเธอ ฉันเชิญจื่อจวีหานซื่อมาแล้ว เขาต้องการผู้ช่วย ไม่รู้ว่าเธอเต็มใจรึเปล่า”
อี้เป่ยซีเพียงแต่ตอบว่าอือเบาๆ ไม่ได้แสดงอาการอื่นใด
ช่างเถอะๆ ในเมื่อไม่มีใครบอกเธอ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องรู้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมตัวเองจะต้องไปคิดให้มันวุ่นวายขนาดนี้ ยังไงก็คืนปากกาให้พี่เป่ยเฉินก็แล้วกัน
อี้เปยซีที่ดึงสติกลับมาพบว่าสองคนตรงหน้าต่างกำลังจ้องมองเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย
“คุณหนูอย่างฉันสวยอย่างหมดจดโดยธรรมชาติ แต่พวกนายก็ไม่ต้องมองฉันแบบนี้ก็ได้นี่นา ฉันก็เขินเป็นเหมือนกันนะ” พูดพลางแสดงท่าทีเขินอาย
“เมื่อกี้เธอกำลังคิดอะไร จริงจังเชียว?” หลานฉือเซวียนถาม
“เปล่านี่ อ้อ จริงสิเมื่อกี้พวกนายว่าไงนะ? เมื่อกี้เซี่ยเช่อบอกว่าใครจะมา”
เซี่ยเช่อตบหัวของเธออย่างไร้เมตตา “จื่อจวีหานซื่อน่ะ เขาจะมา ดูท่าทางเธอคงไม่อยากช่วยงานนี้ฉันแล้ว งั้นก็ช่างเถอะ ฉันจะไปหานักศึกษาคนอื่นก็แล้วกัน”
“หาๆๆ อะไรนะ? เขาจะมามหา’ลัยพวกเรา ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม คิดไม่ถึงว่านายจะเชิญเขามาได้ ไม่ได้ๆ จะไปเชิญคนอื่นไม่ได้ จริงสิ นายจะให้ฉันทำอะไร?”
“เธอเป็นแบบนี้ ฉันไม่ไว้ใจที่จะยกเขาให้เธอเลยจริงๆ” มุมปากเซี่ยเช่อยิ้มเยาะ
อี้เป่ยซีตบๆ หน้าอกของตัวเอง “นายวางใจเถอะ มีฉันอยู่เทพบุตรจะต้องปลอดภัยแน่นอน แล้วจะให้ฉันไปเป็นบอดี้การ์ดหรือว่าอะไรล่ะ?”
“ฉันว่าช่างมันเถอะ นอกจากอี้เป่ยซีจะช่วยก่อเรื่องวุ่นแล้วจะทำอะไรได้อีก” หลานฉือเซวียนก็ส่ายหัวแล้วพูด
“ไม่ได้ เซี่ยเช่อพวกเรามีคำโบราณที่บอกว่าอย่าปล่อยให้ปุ๋ยไหลไปที่นาคนอื่น เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีขนาดนี้ ยังแลกกับโอกาสของบอดี้การ์ดไม่ได้เหรอ? ช่างน่าเศร้าจริงๆ”
เซี่ยเช่อวางอุปกรณ์การสอนของตัวเองทั้งหมดไว้ด้านหน้าอี้เป่ยซี “ขอดูผลงานเธอก่อน เอาของพวกนี้ไปไว้ที่ออฟฟิศฉัน ฉันจะไปขับรถ”
“ได้เลยๆ ออฟฟิศของนายอยู่ไหน”
เขาเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ไกลๆ อยู่ที่อาคารฝั่งตะวันตกของมหา’ลัย รีบไปสิ”
อี้เป่ยซีเบะปาก หยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนักและก้าวออกไปจากห้องเรียนแล้ว ห้องเรียนกว้างใหญ่เหลือเพียงหลานฉือเซวียนกับเซี่ยเช่อสองคน
“เรื่องที่นายอยากให้ฉันทำฉันก็ทำเสร็จแล้ว ตอนนี้นายก็บอกฉันได้แล้วสิว่าเขาอยู่ไหน”
“หรือนายไม่รู้สึกว่าเพราะเขาไม่อยากเจอนายก็เลยหลบหน้างั้นเหรอ?” เซี่ยเช่อหัวเราะ
“อะไรก็ช่าง ตอนนี้ฉันแค่อยากเจอเขา พูดกับเขาให้รู้เรื่องก็เท่านั้นเอง”
“พูดให้รู้เรื่อง แล้วนายจะจบได้เหรอ?”
หลานฉือเซวียนก้มหน้าไม่ได้พูดอะไร เซี่ยเช่อมองใบหน้าด้านข้างของเขา “ถ้านายปล่อยวางได้ ฉันจะพานายไปหาเขาตอนนี้เลย แต่ว่า หลานฉือเซวียนนายคิดดีแล้วจริงๆ เหรอ? นายที่มัวแต่หนีตลอดเวลา ต่อให้เจอลั่วจื่อจี้แล้วจะทำอะไรที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจได้ล่ะ”
“ฉันยังไม่ได้คิดว่าจะทำอะไร ทางเลือกอยู่ในมือเขาเสมอ”
“หลานฉือเซวียน นายยังแบกรับไว้ไม่พออีกเหรอ ยังอยากหมกมุ่นอยู่แบบนี้เหรอ? ลั่วจื่อจี้เขาไม่เคยคิดถึงนายเลย นายเดินจนสุดทางแล้วมีความหมายอะไร”
“นี่มันเรื่องของฉัน พวกเราตั้งเงื่อนไขกันแล้ว นายแค่ทำให้มันสำเร็จก็พอแล้ว ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ผลจะเป็นยังไงก็เป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับนายเลย”
เซี่ยเช่อหัวเราะขมขื่น “ตอนนี้ฉันเพิ่งรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมให้นายไปเจอเขา”
หลานฉือเซวียนเม้มปาก ทำทีเป็นพูดผ่อนคลาย “ถ้างั้นเซี่ยเช่อ ขอบคุณนะ”
………………………..