บทที่ 77 แผนร้ายถูกเปิดโปง (6)
พอนั่งลง ฉู่ซ่งก็สั่งให้อี้เป่ยซีทำโน่นทำนี่ จนกระทั่งดึกแล้ว เธอเหนื่อยจนปีนขึ้นไปบนเตียงทันทีไม่มีเวลาดูโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ฉู่ซ่งจึงพอใจ ผล็อยหลับไปด้วยความอ้อนล้าเล็กน้อย มุมปากยกยิ้ม
“นี่ๆๆ คนที่ฉันเห็นเมื่อกี้ใช่อี้เป่ยซีหรือเปล่า ดูแล้วไม่เห็นร้ายเหมือนที่คนอื่นเขาว่ากันเลยนี่นา”
“อย่าดูคนที่ภายนอก ฉันเจอมาเยอะแล้ว เห็นสาวน้อยผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ทำเรื่องที่เธอจิตนาการไม่ถึง แต่ว่าเขาก็ใจร้ายจริงๆ นะ แม้แต่พี่ชายของตัวเองก็ไม่เว้น”
“เห็นว่าเขากับพี่ชายเขาไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันไม่ใช่เหรอ?”
พยาบาลตัวเล็กคนนั้นสีหน้าลึกลับ เอ่ยปากดูถูก “หึ นี่เป็นวิธีล้างความผิดของเธอยังไงล่ะ ถ้าบอกว่าพวกเขาไม่ใช่พี่น้องกันก่อนที่เรื่องนี้จะเกิด ความเชื่อถือก็เป็นไปได้สูง ถ้าเป็นหลังจากนั้น ทำไปเพื่ออะไรไม่ต้องพูดก็เห็นชัดๆ อยู่แล้ว สงสารแต่อี้เป่ยเฉิน ผู้ชายที่สง่างามแบบนั้น ต้องมาตกอยู่ในกำมือของสาวน้อยคนนี้ คนที่ตัวเองชอบก็ถูกรังแก โอกาสที่จะพูดความจริงยังไม่มีเลย”
“สังคมชั้นสูงนี่ซับซ้อนจริงๆ ไม่เข้าใจเลย”
นางพยาบาลคนหนึ่งพูดเสียงต่ำ “พวกเธอว่า เขากับเด็กผู้ชายที่ป่วยคนนั้นเป็นอะไรกัน?”
“น่าจะเป็นผู้ชายหนึ่งในคอลเลคชั่นของเธอล่ะมั้ง ฉันได้ยินมาจากเพื่อนฉันคนนึง ตอนที่เขาอยู่ในมหา’ลัย ดึงดูดผู้ชายไปทั่วเลย มารยาร้อยเล่มเกวียนจริงๆ”
“น่าเสียดายพวกเทพบุตรเก่งๆ พวกนั้นเนอะ”
“นั่นสิๆ เด็กผู้ชายคนนั้น เฮ้อ…”
อี้เป่ยซียืนอยู่หน้าประตู ความโกรธก่อตัวขึ้นในใจ แต่ก็ยังกัดฟันข่มมันเอาไว้ พิงประตูมองไปยังพวกเธอ กระแอมไอเบาๆ พยาบาลที่อยู่ในห้องต่างมองไปยังประตู แต่ละคนตกใจจนตาแทบจะหลุดออกมา
“ทำไมไม่พูดต่อล่ะ?” อี้เป่ยซีหัวเราะเสียงเบา “ฉันอยากรู้ตอนต่อไปมากเลย พูดต่อสิ”
“ฉันยังมีงานที่ห้องคนไข้ทางนั้นนิดหน่อย ฉัน…” อี้เป่ยซีขวางเธอ ปิดประตูเสียงดังปัง ไอแห่งความเย็นยะเยือกภายในร่างกายทำให้คนที่มีความผิดในใจรู้สึกกลัวที่จะทำอะไรมากกว่านี้ เธอนั่งลงที่โต๊ะทำงาน กวาดตามองพวกเธอ มองปลายเล็บของตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ ฉุนเฉียวสุดขีด และมีความกลัวที่อธิบายไม่ได้
“คุณ คุณหนู พวก พวกฉันยังมีงาน ขอ…”
“ไม่รีบ” อี้เป่ยซีราวกับว่าเป็นผู้หญิงที่หลงเสน่ห์เล็บของเธอ จากนั้นเธอมองดูคนที่พูดจาเมื่อครู่ “รอพวกคุณเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว ค่อยไปทำงานก็ไม่สายมั้ง”
“คุณคะ เรื่องความเป็นความตาย ถ้าหากคนไข้เป็นอะไรไปเพราะความละเลยของพวกเรา คุณจะให้เราอธิบายกับครอบครัวว่ายังไง” ราวกับได้เห็นรุ่งอรุณแห่งความหวัง คนอื่นต่างเออออตามไปด้วย
“ฉันนึกว่าพวกคุณเปลี่ยนกะแล้วถึงได้กล้ามาเม้าส์มอยกันที่นี่”
“งั้น…ฉัน ฉันยังมีงานที่ยังส่งมอบไม่เสร็จ”
“ก็ได้” อี้เป่ยซีเสียงสูง มีความยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “พวกคุณอธิบายเร็วหน่อย จบให้มันเร็วหน่อย ฉันก็ไม่มีเวลากับพวกคุณมากเหมือนกัน”
“อะ อธิบาย?”
อี้เป่ยซีขี้คร้านที่จะมองพวกเธอ “เล่าทุกอย่างให้ละเอียด ไม่งั้นเมื่อพวกคุณออกจากประตูไป มันคือจุดจบของอาชีพพยาบาลพวกคุณ เชื่อฉันเถอะ ฉันพูดได้ก็ทำได้”
“ค่ะๆๆ”
ฉะนั้นพวกเธอจึงเล่าเรื่องฉินรั่วเข่อกับอี้เป่ยเฉิน รวมทั้งเรื่องที่อี้เป่ยซีรังแกฉินรั่วเข่อ อีกทั้งข่าวทั้งหมดที่ถูกลบไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ฉะนั้นตอนนี้หุ้นของบ้านพวกคุณก็ตกลงมามาก พวกเราคิดอยู่ว่าจะรีบถอนหุ้นดีหรือเปล่า”
อี้เป่ยซีฟังอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้ว เธอกำมือแน่น ในใจเต็มไปด้วยอี้เป่ยเฉินและฉินรั่วเข่อ
พวกเขาสองคนไม่รู้จักกันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงอยู่…
“จริงเหรอ?”
“จริงแท้แน่นอน ข่าวนี้ดังขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อน มีหลักฐานที่เชื่อถือได้เยอะด้วย คุณไม่เชื่อไม่ได้หรอก”
“พวกคุณออกไปเถอะ”
“คุณ”
“ไม่อยากให้ฉันโมโหพวกคุณก็ออกไป”
เพียงครู่เดียวในห้องก็เหลืออี้เป่ยซีเพียงลำพัง เธอมองพื้นห้องเหม่อลอยเล็กน้อย กระเบื้องสีขาวในโรงพยาบาลถูกสิ่งของดำๆ ที่ไม่รู้ว่าคืออะไรปกคลุมไว้ เมื่อมองให้ชัด มันคือเลือดชั้นบางๆ
เธอรู้สึกสมองสับสน อยากจะร้องตะโกน อยากจะหนีไป อยากจะรีบไปจากที่นี่ ไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครอยู่
ที่ ที่จริงมันก็ดีนะ ถ้าหาก ในอนาคตพี่เป่ยเฉินควรอยู่กับใครสักคน ทำไมเธอจะต้องไปเสียใจด้วย เธอควรจะดีใจนี่นา อวยพรพวกเขาอย่างมีความสุข อวยพรให้พวกเขาครองรักยาวนาน นี่ต่างหากคือสิ่งที่เธอควรทำ
ไม่ใช่มัวแค่คิดเรื่องว้าวุ่นใจอยู่ตรงนี้
อี้เป่ยซี เห็นชัดๆ ว่าเธอตัดสินใจแล้วไม่ใช่เหรอ ฉะนั้นตอนนี้น่ะ ทุกอย่างดำเนินไปตามความคิดของเธอ นี่ต่างหากคือสิ่งที่เธออยากเห็น ทุกอย่างเป็นไปตามใจปรารถนา จะมีใครที่ไหนแล้วที่มีความสุขได้ถึงเพียงนี้
เป็นทุกข์อะไร เสียใจอะไร นี่คือพฤติกรรมที่คิดว่าตัวเองถูกตลอดเวลาต่างหากล่ะ
น้ำหยดหนึ่งร่วงลงบนหลังมือของอี้เป่ยซี เธอออกแรงเช็ด แล้วเช็ดตา ตึกแห่งนี้เก่าเกินไปแล้ว แถมน้ำยังรั่วอีก อยากจะออกไป อยากจะออกไป
จากนั้นร่างที่ขวัญหนีดีฝ่อก็ออกไปจากโรงพยาบาล มู่ลี่ไป๋ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่ออฟฟิศก็ไม่ได้สังเกตเห็นร่างนั้น ฉู่ซ่งยังคงนอนอยู่บนเตียง มองไปยังประตูห้องคนไข้ด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเธอจากไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเธอต้องการไปที่ไหน แม้แต่เธอเองก็ยังไม่รู้
ตอนนี้ได้เวลาเข้างานแล้ว บนถนนมีรถขวักไขว่ อี้เป่ยซีเดินตามฝูงชนที่หลั่งไหล ใบหน้าที่เฉยเมยผ่านเธอไป ไม่มีใครสังเกตเห็นความสิ้นหวังของเธอ
ฝนปรอยเริ่มตกลงมาจากฟากฟ้า น่าจะเป็นฝนสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิแล้ว คนที่ได้รับรายงานพยากรณ์อากาศต่างหยิบร่มขึ้นมา ทั้งสีดำ สีแดง สีม่วงและมีสีสัน ราวกับได้เดินเข้าสู่โลกแห่งเห็ดหลากสี มีเพียงอี้เป่ยซีคนเดียวเท่านั้นที่เดินอยู่ท่ามกลางเห็ดที่สูงเท่าคน
ไม่นานผมเผ้า เสื้อผ้า และใบหน้าต่างเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน ราวกับว่าเป็นน้ำตาจากทั่วทุกสารทิศ ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหน เหมือนกับเป็นศตวรรษล่ะมั้ง คนบนถนนยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ รถก็น้อยลงเรื่อยๆ จากนั้นก็มากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวน้อย เดี๋ยวมาก…
คนที่วิ่งมาชนเธอล้มลงไปกับพื้นด่าสองสามคำแล้วจากไป น้ำสกปรกเปรอะบนเสื้อผ้าแต่เธอไม่รังเกียจเลยสักนิด นั่งอยู่บนพื้นเนิ่นนาน เหมือนกับเป็นนักท่องเที่ยวที่เที่ยวจนเหนื่อยและกำลังพักผ่อน ทิวทัศน์เบื้องหน้าราวกับว่าไม่ได้สวยเท่าไรจึงไม่ต้องการที่จะลุกขึ้นแล้ว
ร่มคันหนึ่งบดบังท้องฟ้าเหนือศีรษะของเธอ มือที่สวยงามปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่ว่านะ ตอนนี้ก็เปียกหมดแล้ว กางร่มแล้วมีประโยชน์อะไร ตอนนี้เสื้อผ้าเปื้อนแล้ว ลุกขึ้นมาอีกจะมีประโยชน์อะไรล่ะ
อี้เป่ยซีเหม่อมองมือนั้น ลั่วจื่อหานไม่ต้องการเห็นเธอนั่งอยู่ในแอ่งน้ำอีกต่อไป ทิ้งร่มลงทันที อุ้มเธอขึ้นมา
………………………….