บทที่ 88 เมื่อบทเพลงเศร้าบรรเลง (3)
อี้เป่ยซีจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเห็นได้ชัดตลอดทั้งบ่าย ทุกอย่างข้างหูล้วนพร่ามัว เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังดูโทรทัศน์ สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บนหน้าจอนั้น สามารถมองเห็นและได้ยิน แต่ว่าไม่สามารถรับรู้และรู้สึกถึงมันได้ซึ่งสิ่งนั้นก็คือความจริง
ความรู้สึกเช่นนี้ยืดเยื้อไปจนถึงกลางคืน เธอกลับถึงหอพัก ไม่มีคนอยู่เลย ราวกับว่านี่ต่างหากคือสถานการณ์ที่เป็นจริงที่สุด เรื่องนอกจอ นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครอยู่เลย
ทันทีที่ฟ้ามืดอี้เป่ยซีก็ขึ้นไปนอนบนเตียง นอนขีดเขียนปากกาหมึกซึมสีขาวด้ามนั้น ลายเส้นลื่นมาก เรียบง่ายและมีสไตล์ ภายนอกแวววาวเหมือนใหม่ เหมือนกับว่ายังไม่เคยถูกใช้ มือของเธอถูไถอยู่บนแล็คเกอร์ เพิ่มความรุนแรงขึ้นในแต่ละครั้ง ราวกับว่าทำแบบนี้แล้วจะทิ้งร่องรอยความเก่าให้กับปากกาหมึกซึมได้ในทันที
ดูจากภายนอกแล้ว เหมือนผ่านประสบการณ์มามาก
เธอหยุดการกระทำที่งี่เง่าแบบนั้น หันหน้าดูไฟบนโทรศัพท์มือถือที่กระพริบสองสามครั้ง พลิกตัวลงจากเตียง
ไม่ได้มองก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะแล้ว เอาคอมพิวเตอร์วางในที่ที่ตัวเองมองไม่เห็น เปิดโคมไฟขนาดเล็กบนโต๊ะ ส่องสว่างปากกาสีขาวด้ามเล็กที่เธอถืออยู่ในมือ เขียนทีละตัวๆ อยู่บนหนังสือรวดเดียวโดยไม่หยุดชะงัก ตัวอักษรยังไม่ถึงหนึ่งหน้ากระดาษแต่กลับใช้พลังทั้งหมดที่เธอมีและจบประโยคสุดท้ายด้วยความผิดแปลกไปจากเดิม น้ำตาที่ไหลอาบแก้มก็ถูกปาดออกไป
ชดใช้หนี้หมดแล้ว ครั้งนี้ก็จบแล้วสินะ
มันจบแล้ว ช่วงนี้ไม่ต้องการจะเขียนอะไรอีกแล้ว ช่างทรมานเสียจริง
อี้เป่ยซีเท้าศีรษะมองดูไฟถนนข้างนอก แสงไฟสีเหลืองสลัวเล็กน้อย ดอกไม้ใบหญ้าก็ดูคลุมเครือ ชั้นกระจกกั้นกลางเธอไว้ เหมือนกับหน้าจอโทรทัศน์
เธอเดินเข้าไปไม่ได้ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นก็ข้ามมาไม่ได้…
เมื่อฟ้าสว่าง อี้เป่ยซีก็ส่งสิ่งที่เขียนเสร็จแล้วออกไป เลื่อนดูรายชื่อผู้ติดต่อซ้ำๆ พบว่าตอนนี้ไม่มีใครที่สามารถรับฟังเธอได้เลย
มู่ไป๋: หลิงซี…นี่เธอเขียนเองเหรอ
เดิมทีอี้เป่ยซีไม่มีกะจิตกะใจ แต่ว่าเธอก็ยังตอบว่า อืม ไปตามมารยาท
มู่ไป๋: ไม่เหมือนเนื้อเพลงที่เธอเขียนตามปกติเลย อันนี้เหมือนจะต่างกัน…
หลิงซี: บางทีฉันก็อยากลองสไตล์ใหม่ดูบ้าง
สุดท้ายก็รู้สึกว่าเคร่งขรึมไปหน่อย อี้เป่ยซีสูดหายใจลึก ส่งอิโมจิน่ารักกลับไป
มู่ไป๋: เธอเจอเรื่องอะไรมาใช่หรือเปล่า?
เรื่อง?
มีสิ แต่เหมือนจะไม่ใช่เร็วๆ นี้มั้ง อี้เป่ยซียิ้มเจื่อน จะมีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้บ้างล่ะ การที่คุณรับมือไม่ทันนั้นมันเป็นเพียงผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการไม่ใส่ใจกับสัญญาณต่างๆ ก่อนหน้านี้ต่างหาก
ถ้าหากรู้เร็วกว่านี้หน่อย รู้ไปถึงตอนที่ฉินรั่วเข่อจะปรากฏตัว จนถึงตอนที่พี่เป่ยเฉินจะไปทริปธุรกิจ ถึงตอนที่คุณแม่อี้จะมา ถึงตอนที่ตัวเองเกิด ไม่มีการเริ่มต้นก็จะไม่มีจุดจบ ไม่ดีไม่ร้าย ไม่มีอะไรทั้งนั้น
ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ผิดหวัง แบบนั้นจะดีแค่ไหนนะ
มู่ไป๋: หลิงซี?
หลิงซี: เปล่านะ ฉันสบายดี
มู่ไป๋: ตอนนี้ฉันอยู่เมือง B ถ้าไม่รังเกียจ พวกเรามาเจอกันเถอะ
อี้เป่ยซีมองดูหน้าจอมือถือ ทำท่าทางครุ่นคิด ในสมองกลับว่างเปล่า***เวลาบนหน้าจอคริสตัลสั่นไหวหลายครั้ง อี้เป่ยซีส่งว่าได้กลับไป แล้วรับได้ข้อความของตำแหน่งที่ตั้งทันที
มู่ไป๋: เธอนัดเวลาเถอะ
หลิงซี: ตอนนี้ก็แล้วกัน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้
อี้เป่ยซีเก็บโทรศัพท์มือถือ ใส่แจ็คเก็ตตัวหนึ่งก็ออกไปแล้ว เธออยู่ยืนข้างถนน รอการสิ้นสุดของสัญญาณไฟแดงฝั่งตรงข้าม รู้สึกขำจนอดไม่ได้
ดูสิ คำสั่งที่ว่าพวกเราจะเดินได้หรือไม่นั้น พวกเราไม่มีทางรู้ได้เลยตั้งแต่แรก
ไฟเขียวสว่างขึ้น อี้เป่ยซีเดินอยู่บนทางม้าลาย นึกถึงตอนที่หลานฉือเซวียนเคยพาเธอผ่านมาทางนี้ เหมือนกับเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงได้เศร้าโศกเหลือเกิน
ทำไมไฟของพวกเขาเขียวแล้ว แต่ว่าเธอไม่มีวันรู้เลยว่าเมื่อกฎของไฟสีแดงจะจบลง เธอดึงกระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วเร่งฝีเท้า
อี้เป่ยซีมาถึงด้านหน้าของ “มู่ไป๋” จากการนำทางของบริกร ในตอนแรกเธอยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยและหงุดหงิดเล็กน้อยด้วย ทำไมถึงตอบตกลงที่จะเจอหน้าง่ายดายแบบนี้ ตอบตกลงแล้วก็ช่างมันแต่ทำไมถึงไม่แต่งตัวให้ดีก่อนจะออกจากบ้าน อย่างน้อยก็ต้องสร้างความประทับใจที่ดีให้คนอื่นบ้าง
หลังจากเห็นคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะชัดเจนแล้ว นอกจากอี้เป่ยซีจะประหลาดใจแล้วก็ประหลาดใจอีก ฉะนั้นถึงได้รู้สึกว่าเสียงของเขาคุ้นเคยมาก ที่แท้ก็เป็นคนรู้จักกันจริงๆ
“มู่ มู่ลี่ไป๋?”
มู่ลี่ไป๋เงยหน้า ยิ้ม “ไม่ต้องตกใจขนาดนี้ ฉันนึกว่าเธอรู้ว่าเป็นฉันก็เลยตัดสินใจว่าจะมาตามนัดแบบนี้”
“หึๆ” อี้เป่ยซีหัวเราะแห้งๆ ลากเก้าแล้วนั่งลง ถ้ารู้ว่าเป็นนายจะต้องตัดสินใจปฏิเสธอย่างแน่นอน “นายรู้ตั้งนานแล้วเหรอว่าเป็นฉัน?”
“อืม เดาไม่ยากหรอก สนิทกับสือนั่ว ไม่สิ สนิทกับหลานฉือเซวียน แล้วก็มีแค่เธอคนเดียวแหละที่ทำเรื่องพวกนี้ ฉันแค่สงสัยนิดหน่อย ทำไมเธอถึงจำเสียงฉันไม่ได้?”
เธอดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง สายตาจ้องมองไปทางอื่น “คือว่า ไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนี้”
“ก็จริง ฉันก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะไปร้องเพลง” มู่ลี่ไป๋พูดจบ บริกรก็เสิร์ฟอาหารที่สั่งไว้บนโต๊ะแล้ว ถอยหลังออกไปอย่างนอบน้อม
ได้ยินหลานฉือเซวียนบอกว่าเธอชอบกินพวกนี้ ไม่รู้ว่าที่นี่จะถูกปากเธอหรือเปล่า
อี้เป่ยซีเพียงแค่ชำเลืองมอง แม้ว่าจะเป็นของโปรดของเธอ แต่ว่าตอนนี้แค่รู้สึกว่าที่นั้นแออัดไปด้วยผู้คน มีเพียงที่เดียวที่ว่างเปล่า ป้อนอย่างไรก็ไม่อิ่ม
“เพราะเรื่องของอี้เป่ยเฉินช่วงนี้หรือเปล่า?” มู่ลี่ไป๋มองดูอี้เป่ยซีที่กำลังต่อสู้กับเนื้อปลาชิ้นน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่มีความอยากอาหาร เมื่อได้ยินชื่อของอี้เป่ยเฉิน มือของอี้เป่ยซีนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คีบเนื้อปลาในถ้วยขึ้นมา
“อี้เป่ยซี แม้ว่าฉันไม่ได้สนิทกับเธอมาก แต่ว่าฉันก็ยังชอบหลิงซีมากนะ ฉันอยากรู้ว่าทำไมหลิงซีถึงเป็นทุกข์ขนาดนี้ ทำไม…เนื้อเพลงนั่น…”
เธอเม้มปาก ยื่นตะเกียบไปหาเนื้อปลาชิ้นต่อไป “เนื้อเพลงนั่นคือจุดจบของทั้งหมด ฉันนึกว่าฉันเขียนอย่างผ่อนคลายมากซะอีก นายก็รู้เรื่องหมดแล้วนี่นา ฉันก็ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มาก”
“เทพบุตรมู่ไป๋ขอบคุณมากที่นายเห็นฉันเป็นเพื่อน แต่ว่าเรื่องของฉันฉันจัดการด้วยตัวเองจะดีกว่า คนที่รู้เรื่องนี้มีเยอะ ฉันไม่จำเป็นต้องไปเปิดโปงอะไร”
“ฉันในตอนนี้น่ะ อยากรีบทำใจกับเรื่องก่อนหน้านี้ให้เรียบร้อย ต่อไปจะได้รับสิ่งใหม่ที่เข้ามาได้ ฉันไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ คราวนี้นายถึงนัดเจอฉัน…”
อี้เป่ยซีหยุดเล่นกับเนื้อ “แต่ฉันรู้สึกว่า นายมองเห็นตัวเองใช่หรือเปล่า อยากรู้ว่าคนที่เผชิญชะตากรรมเดียวกับนายจะเป็นยังไงใช่ไหม?”
มู่ลี่ไป๋หัวเราะเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
“ฉะนั้น คนที่อาบน้ำร้อนก่อน นายมีวิธีอะไรกำจัดมันหรือเปล่า พวกเราสองคนมาแบ่งปันกันสักหน่อยไหม?”
“กินข้าวก่อนเถอะ”
“กินข้าวก่อนอีกแล้ว” อี้เป่ยซีโยนตะเกียบไปด้านข้าง “ฉันไม่อยากกินข้าวก่อนแล้ว เทพบุตรมู่ไป๋ ถ้างั้นพวกเราไปทำอย่างอื่นกันเถอะ”
ดวงตาสดใสนั้นเปล่งประกายสวยงามเป็นพิเศษ มู่ลี่ไป๋ได้ยินคำพูดของเธอแล้วก็รู้สึกสนใจ เด็กผู้หญิงที่ไม่เคยเล่นไพ่ตามสามัญสำนึกคนนี้ต้องการจะทำอย่างอื่น มันทำให้เขารู้สึกตั้งตาคอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
————