บทที่ 92 สุขสันต์วันเกิด (2)
“เสร็จแล้วยัง กินข้าวได้แล้ว” ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ฉู่ซ่งจึงวางอาหารทุกอย่างลงบนโต๊ะกินข้าวด้วยความพิถีพิถันมาก
อี้เป่ยซีกุมจอยสติ๊กแน่นด้วยดวงตาแดงก่ำ แอบมองลั่วจื่อหานเป็นครั้งคราว กัดริมฝีปากและกดปุ่มดำเนินการอย่างรวดเร็ว สีหน้าของลั่วจื่อหานผ่อนคลาย ตรงกับข้ามกับการต่อสู้ที่ดุเดือนบนหน้าจอ
“โถ่เว้ย” อี้เป่ยซีโยนจอยสติ๊กไปบนโซฟา “ไม่เล่นแล้วๆ ไม่ชนะนายเลย”
ฉู่ซ่งเข้ามาแทรกระหว่างสองคน “ไม่เจียมตัว กินข้าวเถอะ”
“ไม่ได้ รอฉันไปฝึกมาแล้วจะมาสู้กับนายสักร้อยตา ฉันไม่เชื่อหรอกว่าฉันจะไม่ชนะเลยสักครั้ง”
“โอเค กินข้าวก่อนเถอะ”
ทันทีที่อี้เป่ยซีนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวก็ลืมเรื่องที่ตัวเองแพ้ราบคาบไปแล้ว เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นและตั้งตารอ “เอ๊ะ นายทำกับข้าวไม่เลวนี่นา”
“จำเป็นต้องประหลาดใจขนาดนี้ด้วยเหรอ เธอไม่เห็นเหรอว่าฉันเป็นใคร จะแย่ได้ยังไง”
ลั่วจื่อหานก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช้ได้”
หลังจากทั้งสามคนกินอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว ฉู่ซ่งง่วนกับบางอย่างใต้โต๊ะสักพัก ไฟในห้องก็ดับลงกะทันหัน แสงเทียนที่สั่นไหวเล็กน้อยค่อยๆ เดินออกมากจากห้องครัว เสียงทุ้มต่ำฮัมเพลงวันเกิดอยู่เนิ่นนาน ในเวลานั้นเองอี้เป่ยซีไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร
เธอเห็นฉู่ซ่งที่ตระเตรียมด้วยความตั้งใจมาก เห็นจินตนาการที่เขามีต่อครอบครัวและมีต่อเธอ
อี้เป่ยซีพบว่าตัวเองเหมือนจะผิดไปแล้วจริงๆ ไม่มีความรู้สึกอบอุ่น และไม่มีน้ำตาที่เอ่อล้นด้วยความตื้นตัน ความงดงามทั้งหมดกลายเป็นความกดดันทันทีที่ไฟดับลง กดอยู่บนบ่าของเธอ ในคอของเธอ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ต้องปล่อยให้มันติดอยู่ตรงนั้น
คนหนึ่งคนแบกรับชีวิตของสองคนไม่ไหวหรอก เธอนึกว่าตัวเองจะสามารถควบคุมสมดุลย์ได้ สุดท้ายจึงค้นพบว่าตัวเองห่างไกลจุดนั้นออกไปทุกที
“ฉู่เซี่ย ขอพรเถอะ”
“อ่อ” อี้เป่ยซีสองมือประสานกัน เธอไม่รู้ว่าต้องการอะไร หรืออยากขอพรอะไร ความคิดที่สับสนกำลังฉีกทึ้งเธอ ไม่สามารถคิดอะไรได้
“เอาล่ะ เป่าเทียนเถอะ”
แสงเทียนเลือนลางถูกเป่าจนดับ เมื่อไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง เค้กก็เด่นชัดอยู่ตรงหน้า ตุ๊กตาเด็กสาวถือผลไม้เชื่อมอยู่ในมือยืนอยู่หน้าชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ยิ้มอย่างสบายใจ
อี้เป่ยซีรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเหมือนกับตัวเองกำลังดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง มีเสียงหัวเราะร่าเริง เสียงเฮฮาและบรรยากาศน่ารื่นรมย์ แต่ว่าตัวเองอยู่อีกฝั่งของหน้าจอแบนราบ เพียงแค่ได้ยินแต่กลับสัมผัสไม่ได้และไม่มีความรู้สึกร่วม ความสวยงามของภาพยนตร์นั้นผู้ชมอย่างเธอเข้าไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
เธอคงจะเป็นผู้ชมที่ล้มเหลวมากที่สุดล่ะมั้ง
สังสรรค์กันต่อสักพัก อี้เป่ยซีกอดของขวัญของตัวเองต้องการจะกลับบ้าน เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขสิบแล้ว ราตรีกำลังก้าวเข้ามา
“ฉันไปส่งเธอเถอะ” ลั่วจื่อหานลุกขึ้นเสนอตัว อี้เป่ยซีครุ่นคิด พยักหน้า
“ไม่มีความสุขเหรอ?” บนรถ ลั่วจื่อหานถามคำถามนี้ขึ้นสบายๆ แววตานิ่งเฉย
เธอพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า “ฉันโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ แล้วใช่ไหม คิดอยู่เสมอว่าปัญหาก็คงจะต่างจากเมื่อก่อนแล้ว”
“เป่ยซี พรุ่งนี้กับวันนี้อาจจะไม่ต่างกันเลยก็ได้”
“นั่นสิ แต่ฉันรู้สึกว่าเส้นทางข้างหน้ามันเปลี่ยนไปมาก พวกมันทั้งตัดกัน เชื่อมเข้าด้วยกัน ฉันหาถนนเส้นเก่าไม่เจอและเดินเข้าสู่ความมืดแล้ว ไม่ใช่แค่นี้ ฉันไม่เชื่อว่าถนนเส้นนี้จะพาฉันไปถึงที่สุดได้ แม้แต่รู้สึกว่าการที่ฉันมาถึงปัจจุบันได้เป็นเพราะทุกๆ ย่างก้าวในอดีตหรือเปล่า”
“เอาเถอะ ฉันคงแค่รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ อยากจะพิสูจน์ตัวเองสักครั้งก็เลยคิดไร้สาระ นายไม่ต้องสนใจฉัน บางทีพรุ่งนี้ฉันก็อาจจะดีขึ้นก็ได้”
พูดจบก็ฮัมเพลงกับตัวเอง ไม่ปล่อยให้ลั่วจื่อหานมีโอกาสได้พูด มือที่ถือของขวัญออกแรงเล็กน้อย เหงื่อซึมอยู่บนฝ่ามือโดยไม่มีสาเหตุ
หลังจากรถจอดอี้เป่ยซีก็ลงจากรถอย่างรวดเร็วราวกับต้องการจะหลบหนี ไม่มีแม้แต่คำลา ลั่วจื่อหานมองดูแผ่นหลังที่พุ่งพรวดออกไป “เซี่ยเซี่ย สุขสันต์วันเกิด”
พอเปิดประตูก็ได้กลิ่นเหล้าจางๆ อาหารยังคงวางอยู่บนโต๊ะ ดูแล้วยังไม่มีใครกิน เธอกัดริมฝีปาก เดินไปข้างหน้า มันเย็นชืดหมดแล้ว หยิบตะเกียบที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา คีบขึ้นมาชิ้นหนึ่งกำลังจะเอาเข้าปาก
“เย็นหมดแล้ว” อี้เป่ยซีขนลุกชัน ยังคงกัดไปคำหนึ่ง วางตะเกียบลงข้างๆ
“พี่เป่ยเฉิน พี่ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ งั้นฉันช่วยพี่อุ่นนะ”
อี้เป่ยเฉินไม่ได้ตอบเธอ เดินตรงไปด้านหน้าอี้เป่ยซีโดยตรง ริมฝีปากที่โก่งยิ้มอยู่เสมอเม้มกันแน่น “เสี่ยวซี วันนี้เธอไปไหนมา”
“ฉัน” กรอกตาไปมา ถอนหายใจอย่างยอมรับชะตากรรม “วันนี้ฉันไปกินข้าวที่บ้านฉู่ซ่ง ฉันบอกพี่เป่ยเฉินแล้วว่าจะกลับดึก…ฉัน…อือ ก็ตามนี้แหละ”
“เสี่ยวซี เรื่องนี้พี่ถอยห่างออกมามากพอแล้ว”
“ฉันรู้ ขอบคุณพี่เป่ยเฉิน”
“อี้เป่ยซี หรือว่าเธอยังไม่เข้าใจว่าที่เธอมีความมั่งคั่งมีสถานะและมีความสุขทั้งหมดตอนนี้ก็เป็นเพราะชื่อของอี้เป่ยซี เธอคิดว่าฉู่เซี่ยดีกว่างั้นเหรอ ยากจนและตกต่ำ บางทีสักวันหนึ่งเธออาจจะเป็นเหมือนฉินรั่วเข่อที่พยายามทำทุกวิถีทาง แม้แต่การดูถูกตัวเองก็ไม่รู้สึกอะไร” อี้เป่ยเฉินแทบจะคำรามคำพูดเหล่านี้ออกมา ทันใดนั้นเสียงตบหน้าดังขึ้น ทั้งห้องเงียบลงอย่างประหลาด ดวงตาของอี้เป่ยซีราวกับว่ามีน้ำตาส่องประกาย
“ฉันไม่เหมือนกับฉินรั่วเข่อ” น้ำตาทำให้สายตาขมุกขมัวทีละน้อย “พี่เป่ยเฉิน ฉันคิดว่าพวกเราต้องสงบสติอารมณ์สักหน่อย”
“เสี่ยว เสี่ยวซี…” อี้เป่ยเฉินเห็นน้ำตาของเธอ ทันใดนั้นก็หายจากความบ้าคลั่งกลับสู่สภาวะปกติ “พี่ พี่ไม่ได้…”
“ฉันรู้พี่เป่ยเฉิน พี่พูดถูกเลย ไม่ใช่เพราะว่าฉันคือฉัน แต่เพราะฉันคืออี้เป่ยซี ไม่มีปัญหาอะไรเลย” เธอหยิบของขวัญบนโต๊ะกินข้าว “แต่ว่าเรื่องล่อแหลมทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
ฉันอาจเลือกสิ่งของที่คนอื่นให้ฉันไม่ได้ แต่ว่าฉันสามารถเลือกที่จะรับหรือไม่รับได้ แน่นอนว่าเธอไม่ได้พูดออกมา เพียงแต่รักษาความมั่นคงของฝีเท้าตัวเองขึ้นไปข้างบน
“พี่เป่ยเฉิน ราตรีสวัสดิ์” พูดจบก็ล็อคประตูจากด้านใน พิงประตูไหลตัวลงสู่พื้น อี้เป่ยซีซุกหัวอยู่บนเข่าของตัวเอง
มีอะไรน่าเสียใจล่ะ ความจริงก็ควรเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ อี้เป่ยซี ทุกอย่างไม่ได้เป็นของเธอ มันเป็นของชื่อนี้ต่างหาก สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือให้เธอแสดงบทบาทนี้ให้ดีเท่านั้น เธอก็น่าจะเข้าใจตั้งแต่แรกแล้ว
เธอน่าจะเข้าใจว่าตราบใดที่เธอยังอยู่ก็เพียงพอแล้ว ทำไมถึงยังต้องการร้องขออย่างอื่น ความรัก การยอมรับ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องน่าตลกสำหรับเธอทั้งสิ้น
อี้เป่ยเฉินคิดว่าเธอคืออี้เป่ยซีผู้เชื่อฟัง งั้นก็เป็นสิ ฉู่ซ่งต้องการเพียงฉู่เซี่ยที่อยู่เป็นเพื่อนเขาเพียงครั้งคราว งั้นก็ทำมันต่อไปสิ ไม่มีใครขอให้เธอทำอะไร เธอก็ไม่ต้องไปคิดสิ
ไม่ต้องไปคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นอะไร ทำตามคำร้องขอให้ดีก็เพียงพอแล้ว
เธอฝืนยิ้ม ดูแล้ว เธอก็เป็นแค่ตัวประกอบดีๆ นี่เอง
————