บทที่ 93 สุขสันต์วันเกิด (3)
นั่งอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง อี้เป่ยซีขยี้ตา เดินลากเท้าไปที่เตียง ล้มตัวลงบนเตียงทันที ห้องยังคงเป็นเหมือนตอนที่เธอเพิ่งกลับประเทศ แต่ไม่รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติและอบอุ่นแบบนั้นอีกแล้ว เธอดึงผ้าห่มขึ้นแล้วพลิกตัว
หลับตาลง ร่างกายราวกับว่ากำลังหลับใหล แต่สมองกลับตื่นตัวเป็นอย่างมาก ตื่นตัวจนไม่สามารถหลับลงได้
ระหว่างที่กำลังสลึมสะลือนั้นเหมือนกับว่าชนอะไรบางอย่างเข้า ร่างกายของอี้เป่ยซีสั่น ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะที่กำลังสั่นได้ยินชัดเจนเป็นพิเศษ
“ฮัลโหล”
“ยังไม่นอนเหรอ”
“นายทายถูกอยู่แล้วว่าป่านนี้ฉันยังไม่นอนสินะ” อี้เป่ยซีขยับตัวหาตำแหน่งสบายๆ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง “นายเป็นอะไรไป? นอนไม่หลับ?”
“ฝันเห็นเด็กคนนึงกำลังผลักก้อนหิน ทั้งๆ ที่ผลักไม่ได้ก็ยังอวดเก่งยืนอยู่หน้าก้อนหิน ไม่รู้จักหาคนช่วย ก็เลยอยากดูสักหน่อยว่าเด็กน้อยคนนี้กำลังทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ”
“จะทำอะไรได้ล่ะ กำลังคิดว่าจะผลักก้อนหินยังไง” น้ำเสียงที่อ่อนนุ่มของอี้เป่ยซีเจือปนด้วยความเกียจคร้าน ในกลางดึก แม้มันจะผ่านการตัดแต่งด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็ยังน่าฟังเป็นพิเศษ
เหมือนระลอกคลื่นเล็กๆ ในทะเลสาบสีฟ้าคราม เหมือนน้ำค้างบนกลีบดอกไม้ที่ละเอียดอ่อน
“ลั่วจื่อหาน ขอบคุณที่นายเป็นห่วงฉันอยู่เสมอ” ไม่เกี่ยวกับเป่ยซี ไม่เกี่ยวกับฉู่เซี่ย เธอยื่นมือถือออกไปไกลแล้วถอนหายใจลึก
“เป่ยซี ฉันอยู่ที่นี่เสมอ มีอะไรไม่สบายใจ เป็นทุกข์อะไรก็พูดกับฉันได้”
อี้เป่ยซีกำโทรศัพท์มือถือแน่น “ไม่ว่าฉันพูดอะไร นายก็ดูออกไม่ใช่เหรอ”
“มันไม่เหมือนกันเป่ยซี มันไม่เหมือนกัน สำหรับเธอแล้วมันไม่เหมือนกัน”
เธอเงียบไปพักใหญ่ “เฮ้อ พวกเราอย่าพูดเรื่องนี้เลย” อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไรกับเขา แต่ก็ไม่อยากวางสาย ยังอยากจะจะหาหัวข้อเพื่อคุยต่อไป
“ลั่วจื่อหานนายวาดรูปเป็นไหม?”
“ทำไมถึงถามแบบนี้?”
“อ่อ งั้นฉันไม่ถามแล้ว งั้นนายร้องเพลงเป็นไหม?”
“ไม่เป็น”
“งั้นนายร้องเพลงให้ฉันฟังได้หรือเปล่า?”
ลั่วจื่อหานวางแก้วเหล้าในมือลง รู้สึกขำโดยไม่มีเหตุผล “ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นยังจะให้ร้องอีก”
“ก็เพราะว่าไม่เป็นน่ะสิถึงจะหาความน่าสนใจจากเสียงเพลงของนายได้ ร้องเถอะ ร้องเถอะ”
“……”
“เฮ้อ ฉันไม่มีความสุขเลย ลั่วจื่อหาน มีคนไม่ยอมร้องเพลงให้ฉันฟัง เศร้าจริงๆ เลย เศร้าจนอยากจะร้องไห้”
“……”
“นายไม่ร้อง…ฉันจะ…”
“หืม?”
อี้เป่ยซีเบะปากร้องไห้ “นายจะร้องไหม ร้องไหม ไม่แน่ว่าร้องไปร้องมาฉันก็หลับไปแล้วถูกไหม นายก็ไม่ต้องถูกฉันดึงสายให้ยาวแล้ว”
“ก็ได้”
เสียงที่ทุ้มต่ำเหมือนไวน์ที่ถูกบ่มอยู่ในห้องใต้ดินเป็นเวลาหลายปี มนตร์สะกดผู้คนและความรู้สึกห่างไกลล่องลอยอยู่ในบรรยากาศ เสียงเพลงที่เบาสบายค่อยๆ ทะลวงอะไรบางอย่างราวกับหยดน้ำที่กัดเซาะก้อนหิน อี้เป่ยซีประหลาดใจเล็กน้อย
เสแสร้งอะไรกัน นี่หรือที่เรียกว่าร้องเพลงไม่เป็น?
ถ้านี่คือร้องเพลงไม่เป็น งั้นคนที่ร้องเป็นก็มีไม่กี่คนแล้ว
ฟังแล้วรู้สึกสบายมาก ราวกับว่ามันกำลังเยียวยาอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ
ฉันแค่อยากบอกเธอคนเดียว
อี้เป่ยซีนึกถึงคำพูดของลั่วจื่อหานก่อนหน้านี้ ในเวลานี้เสียงและบทเพลงนี้ราวกับว่าเป็นของเธอคนเดียว หัวใจสั่นเล็กน้อยอย่างมีความสุข
“เป่ยซี อี้เป่ยซีก็ดี ฉู่เซี่ยก็ดี…”
“ฉันน่ารักที่สุดใช่หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า”
ลั่วจื่อหานถอนหายใจ “ใช่ เธอน่ารักที่สุด”
“งั้นนายชอบฉันหรือเปล่า” พอพูดจบทั้งสองคนก็เงียบ
อี้เป่ยซีเธอนี่ปากไวจริงๆ ปากมากที่สุด ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือระหว่างคนสองคนนั้นดูเหมือนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเนื่องจากประโยคนี้
พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว หมอกก็ค่อยๆ จางหายไป
“แค่ก เปล่านะ ฉันหมายความว่า…คือว่า…”
“เป่ยซี ฟ้าสว่างแล้ว”
“อ๊ะ” อี้เป่ยซีรีบออกมาจากผ้าห่ม แสงแรกของวันสาดส่องอยู่บนตัวเธอพอดี เธอลุกขึ้นเท้าเปล่า เท้าเพิ่งจะแตะพื้น เสียงจากปลายสายก็ดังขึ้น
“ใส่รองเท้าไปดูสิ”
“ทำไมนายรู้ทุกอย่างเลย พูดมา ติดกล้องอะไรไว้ในบ้านของฉันใช่หรือเปล่า? สารภาพมาซะดีๆ” แม้จะพูดแบบนี้ เธอก็ยังเอาเท้าเกี่ยวใส่รองเท้าแตะของตัวเอง เดินไปที่หน้าต่าง ดึงเปิดผ้าม่านออก
“ว้าว สวยจังเลย พระเจ้า”
“อืม แสงอาทิตย์แรกของเธอ”
อี้เป่ยซียิ้ม “นายรอแป๊บนะ เหมือนจะมีข้อความเข้า ฉันขอดูหน่อย”
เปิดออกมาจึงพบว่าเป็นข้อความของลั่วจื่อหาน เลิกคิ้วเล็กน้อย เปิดออกดู มันคือภาพน้ำมันของแสงอาทิตย์แรกของวัน เหมือนกับทิวทัศน์ที่สวยงามตรงหน้าเธอไม่มีผิดเพี้ยน
“ลั่ว ลั่วจื่อหาน นาย นายทำให้ฉันประหลาดใจจริงๆ หา นายเก่งจังเลย”
“ให้เธอ แสงอาทิตย์แรกของเธอ” ลั่วจื่อหานวางพู่กันไว้ข้างๆ มองพระอาทิตย์ที่อยู่นอกหน้าต่าง เขารู้ดีว่าเธอก็มองเห็นทิวทัศน์เดียวกัน หรืออาจจะมีอารมณ์เดียวกัน
“วันใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว พระอาทิตย์ตัวน้อย”
“อืมๆ เริ่มแล้ว เดี๋ยวเจอกัน”
“เดี๋ยวเจอกัน”
อี้เป่ยซีหันหลังเข้าห้องน้ำไป เลือกเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสกว่าเดิมอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า สวมรองเท้าส้นเตี้ยที่ระบายอากาศได้แล้วออกจากบ้าน
บนโต๊ะไม่มีอาหารเช้า และไม่เห็นเงาของอี้เป่ยเฉิน เธอดื่มน้ำไปหนึ่งแก้ว แววตามืดมนเล็กน้อย พี่เป่ยเฉินพูดแบบนั้น เขาเองก็เสียใจมากสินะ
เธอวางแก้วน้ำลงอย่างแรง ช่วงนี้ อย่าเพิ่งไปรบกวนพี่เป่ยเฉินจะดีกว่า บางทีการที่เธอปรากฏตัวจะยิ่งทำให้เขาอึดอัด ตอนนี้ไปมหาวิทยาลัยแล้วจัดการอาหารเช้าของตัวเองน่าจะสมเหตุสมผลกว่า
สะพายกระเป๋า เพิ่งเดินออกจากชุมชนก็เห็นรถที่รู้สึกคุ้นเคยคันหนึ่งเลือนลาง จนกระทั่งรถคันนั้นบีบแตรดังปิ๊นๆ เธอจึงนึกออกว่าเป็นใคร วิ่งเยาะเข้าไปหา
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์”
“ไม่ทราบว่าพี่ชายสุดหล่อท่านนี้จะแวะส่งฉันที่มหา’ลัยได้หรือเปล่า?”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ขึ้นมาเถอะ”
อี้เป่ยซีเปิดประตูรถ หลังจากรัดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ลั่วจื่อหานจึงค่อยๆ ออกรถ ระหว่างนั้นอี้เป่ยซีจ้องมือของเขาตลอดเวลา
“เป็นอะไรไป?”
เธอส่ายหัว “ก็แค่รู้สึกประหลาดใจ มือของนายเหมือนกับมีเวทมนตร์เลย วาดรูปก็ได้ ทำกับข้าวก็ได้ ไม่รู้ว่าทำอะไรได้อีก…เอ๊ะ นายเล่นดนตรีอะไรได้ไหม”
ลั่วจื่อหานยกปากยิ้ม ระคนความหมายลึกซึ้ง “กินข้าวเช้าแล้วยัง?”
“ยังเลย”
ลั่วจื่อหานราวกับเป็นนักมายากล หยิบถุงกระดาษออกมาจากข้างตัว “น่าจะยังร้อนอยู่”
อี้เป่ยซีรับมา เนิ่นนานยังไม่เปิดออก “ลั่วจื่อหาน พวก พวกนาย ไม่จำเป็นต้องดีกับฉันขนาดนี้หรอก”
“ตอนนี้พวกเราไม่ใช่เพื่อนกันหรือไง? ถ้าหากเธอรู้สึกว่าฉันกดดันอะไรเธอ ก็พูดตรงๆ ได้”
“เปล่า ฉันก็แค่กลัว”
“กลัวว่าอดีตจะซ้ำรอยเหรอ? เป่ยซี เรื่องนี้ฉันเป็นคนเลือกเอง สุดท้ายผลจะเป็นยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอ อีกอย่าง เธอจะต้องเชื่อว่าฉันไม่เหมือนลู่เยี่ยหวา เธอก็ไม่เหมือนเธอในอดีตไม่ใช่เหรอ ปิดตายทุกเส้นทาง คิดจะยืนอยู่กับที่คนเดียวไม่ก้าวไปข้างหน้า แบบนั้นต่างหากถึงทำร้ายคนอื่นรวมทั้งตัวเธอเองด้วย”
“เป่ยซี ถ้าหากไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องไปคิดแล้ว ตั้งใจทำสิ่งที่ควรทำ บางทีต่อไป ข้อสงสัยทุกอย่างอาจจะคลี่คลายก็ได้”
————