บทที่ 106 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (5)
“เป่ย เป่ยซี” ถังเสวี่ยลองเรียกชื่อของเธอ อี้เป่ยซีเงยหน้า ดวงตาเปล่งประกายสดใส สวยงามมาก “เธอจะ ปล่อยไป ทั้งแบบนี้เหรอ?”
“ถังเสวี่ย ฉันจะย้ายออก”
“หืม?”
อี้เป่ยซีถอนหายใจ “ฉันไม่ได้โง่ถึงขนาดดูไม่ออกว่าฟางหมิ่นกำลังปกป้องใคร”
“เธอ…”
เธอพยักหน้า “ถังเสวี่ย ฉันพูดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ ฉะนั้นขอโทษนะ ต่อไปฉันอาจจะไปทำเรื่องอะไรไว้ และอาจจะมีเรื่องที่ฉันไม่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นยังไง เธอน่าจะรู้จักนิสัยของฉัน ตอนนี้ที่ฉันพูดกับเธอแบบนี้ได้เพราะฉันอดทนจนถึงที่สุดแล้ว”
ถังเสวี่ยทิ้งท่าทางอ่อนโยนดังเช่นปกติ มองตาอี้เป่ยซีเยือกเย็น “เธอจะทำอะไรได้ นอกจากอี้เป่ยเฉินกับลั่วจื่อหานแล้ว เธอยังมีอะไร?”
“ใช่สิ แค่ฉันมีสองคนนี้ ตอนนี้เธอก็ลุกไม่ขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันจะไปหาคนอื่นมาอีกทำไม” เธอถอนหายใจ ทันใดนั้นกลิ่นบุหรี่ก็ลอยมาแตะปลายจมูก เธอสะบัดหัว “เรื่องของฟางหมิ่น ฉันรู้ไม่มากหรอก จะรู้ก็แค่นิดเดียว ถังเสวี่ย หวังว่าเธอจะไม่เสียใจเข้าสักวัน” อี้เป่ยซีต้องการจะหยิบเสื้อผ้าบนเตียงขึ้นมา ครุ่นคิดแล้วก็วางลงอีกครั้ง
“ที่จริงฉันกับฉินแยว่เข่อเข้ากันได้ดีเลยว่าไหม” หัวเราะ กลัวว่าจะแปดเปื้อนอะไรเข้าเหมือนกับฟางหมิ่น เปิดประตูจากไป
‘แก้ปัญหาได้แล้วไม่ใช่เหรอ ในที่สุดก็ใสสะอาดแล้วไม่ใช่เหรอ’ เธออ้าแขนกว้าง ‘แต่ว่าทำไมในสมองถึงยังวุ่นวายล่ะ’
‘ติดอยู่กับอดีต อดีตเหรอ แต่ว่าปัจจุบันของเธอก็มาจากการตัดสินใจในอดีตเสมอ อยู่กับปัจจุบันหรือติดอยู่กับอดีตมันต่างกันตรงไหน’
ไม่มีอะไรแตกต่าง เธอที่เป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรแย่
‘ไม่มีอะไรแย่จริงๆ ไม่มีอะไรแย่จริงๆ’
‘ไม่มีอะไรแย่ จริงๆ เหรอ?’
เธอนวดคลึงแขนของตัวเอง นั่งลงบนเก้าอี้มองดูไฟถนน ‘เหมือนว่ามันจะแย่นะ’
ดูเหมือนว่าทุกการกระทำล้วนมีพันธนาการ ดูเหมือนว่าทุกฉากล้วนไม่สามารถแยกออกจากอดีตได้ ดูเหมือนว่าไม่ควรและไม่สามารถรักใครได้เลย ดูเหมือนว่าลู่เยี่ยหวายังคงยืนอยู่ตรงนั้น พูดว่า
‘เป่ยซี เธอต้องสบายดีนะ’
อี้เป่ยซีที่ทำร้ายลู่เยี่ยหวาจนตาย มีสิทธิ์อะไรอยู่อย่างสบายดีล่ะ อี้เป่ยซีนี่คือบทลงโทษและคำขอร้องจากฉันสู่เธอ เรื่องทั้งหมดมันเรียกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เข้าใจไหม
หรืออาจจะไม่โกรธมากแล้ว หรืออาจจะไม่เกลียดชังมากแล้ว ใช่สิ นี่คือกรรมของตัวเองทั้งนั้นนี่นา ไม่มีอะไรเลย บางทีที่แบบนี้เธอก็ยังจะสบายใจได้บ้าง บางทีถ้าหากไม่มีลู่เยี่ยจิ่งคอยเกลียดชังเธอ ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอจะตำหนิตัวเองได้อย่างไร
ลั่วจื่อหาน จู่ๆ ก็คิดถึงนายจังเลย นายยังอยู่ข้างมหาวิทยาลัยไหม อยากให้นายกอดฉันแล้วพูดว่าไม่เป็นไร เป่ยซี ไม่เป็นไร
ทันใดนั้นอี้เป่ยซีลืมตาขึ้นและออกวิ่ง ได้ยินเสียงลมที่พัดผ่านหูของตัวเอง จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูมหาวิทยาลัยเธอก็เหนื่อยหอบจนพูดอะไรไม่ออก ได้กลิ่นเลือดอยู่ในลำคอ อีกทั้งยังปนเปกับลมและทราย ทิ่มแทงอยู่ในลำคอ
เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นรถสีดำคันนั้น แสงไฟสีเหลืองสลัวยิ่งทำให้ตัวรถอบอุ่นยิ่งขึ้นเหมือนกับบ้าน บ้านที่จะพาไปที่ไหนก็ได้ บ้านที่จะซ่อนตัวเมื่อไรก็ได้ บ้านที่ไม่จากไปไหน
เธอกลืนน้ำลาย อดกลั้นต่ออาการคลื่นไส้ วิ่งเข้าไปเหมือนกับคนบ้า ขณะที่กำลังจะเคาะกระจกรถ ลั่วจื่อหานถือแก้วน้ำเปิดประตูรถออกมาพอดี
“เป่ยซี ฉันอยู่นี่”
อี้เป่ยซีกอดเขาทันใด เอาหน้าซุกอยู่บนหน้าอกของเขา หายใจหอบ “นายรู้อยู่แล้ว นายรู้มาตลอด”
“ไม่เป็นไรเป่ยซี ไม่เป็นไร” ลั่วจื่อหานยิ้มตบหลังเธอเบาๆ ผ่านไปสักพัก จึงดึงมือของเธอออก ยื่นน้ำมาให้เธอ “ดื่มน้ำก่อนเถอะ วิ่งมาตั้งนานแล้ว”
อี้เป่ยซีดื่มน้ำหมดครึ่งขวดในรวดเดียว เพราะว่ารีบร้อนเกินไปจึงสำลัก ลั่วจื่อหานช่วยเธออย่างเอาใจใส่ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา
“ตลกมากนักหรือไง”
“อืม” ลั่วจื่อหานยื่นมือ เช็ดคราบน้ำที่มุมปากของเธอ “ตลกดีออก กระต่ายน้อย”
“นายต่างหากกระต่ายน้อย”
“อืม”
“ทั้งบ้านนายมีนายคนเดียวที่เป็นกระต่าย”
ลั่วจื่อหานลูบหัวของเธอ “โอเค พวกเรากลับกันเถอะ” อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่คิดเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วเข้าไปนั่งบนรถของเขา
อี้เป่ยซีมองดูทิวทัศน์รอบข้าง จากคุ้นเคยกลายเป็นไม่คุ้นเคย ราวกับว่ามันคือทางกลับบ้านจริงๆ ในใจรู้สึกมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก
กลับบ้าน กลับบ้าน
เมื่ออี้เป่ยซีดึงสติกลับมาอีกครั้ง รถก็จอดที่หน้าประตูแล้ว บ้าน บ้านของลั่วจื่อหาน
เธอมองลั่วจื่อหาน เบิกตาโต ราวกับว่ากำลังถามอะไรบางอย่าง
เกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่กลับบ้านเหรอ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้
“ไม่ใช่กลับบ้านเหรอ?”
“ใช่กลับบ้าน กลับบ้านฉัน นายพาฉันมาที่บ้านนายทำไม?”
ลั่วจื่อหานหัวเราะเบาๆ “อ๋อ เธอบอกว่าเธอไม่มีบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันก็คิดอยู่ ว่าเลี้ยงกระต่ายสักตัวก็ดีเหมือนกัน”
“งั้นฉันกลับบ้านตัวเองได้หรือเปล่า”
“เป่ยซี นั่นมันก็บ้านฉัน ลงรถเถอะ” ลั่วจื่อหานลงรถเดินไปไกลแล้ว อี้เป่ยซีจึงอ้อยอิ่งตามไป เธอก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือ ดึกแล้ว จากนั้นก็เปิดแผนที่
‘สมองเธอเป็นอะไรไปนะ นั่งอยู่ในรถตั้งนานไม่รู้สึกตัวว่านี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านของตัวเองเหรอ? อี้เป่ยซี เธอนี่จริงๆ เล้ย คนอื่นเขาเอาเธอไปขายไม่แน่ว่ายังอาจจะช่วยนับเงินด้วย’
‘เจ้าโง่ เจ้าโง่’
เธอเดินก้มหน้าเข้าไปในห้องรับแขก ‘นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกของเธอที่มาบ้านของลั่วจื่อหานขณะที่ยังมีสติ ไม่สิมาที่ห้องต่างหาก’ เธอมองรอบทิศ ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรต่อ
‘แล้วเอาไงต่อ ยืนโง่ๆ อยู่ตรงนี้เหรอ? ไม่ได้ กลับเหรอ? จะไปไหนล่ะ ที่นี่ไกลจากมหาวิทยาลัยตั้งเยอะ ช่างเถอะ ออกไปเรียกรถสักคันก็แล้วกัน หาโรงแรมพักสักที่ก็ได้ ตามเขามาได้ยังไงเนี่ย ในสมองมีแต่ขี้เลื่อยหรือยังไงกัน’
“เป่ยซี ป่านนี้แล้ว เธอหารถไม่ได้หรอก” ลั่วจื่อหานราวกับว่ามองทะลุความคิดของเธอ ยื่นชาส้มโอที่ชงเสร็จแล้วให้เธอ “ทนไปก่อนเถอะ ก่อนหน้านี้ลืมบอกเธอไป เอ่อ อะพาร์ตเม้นต์ที่เธออยู่ตอนนี้กำลังซ่อม ฉันก็เลยถือวิสาสะขนของเธอมานี่แล้ว”
“หา?” ในขณะนี้สมองอี้เป่ยซีหมุนติ้วอย่างรวดเร็ว “มันไม่เป็นอะไรจะซ่อมทำไม?”
“รู้สึกว่าแบบมันหดหู่ไปหน่อย ก็เลยอยากจะเปลี่ยน”
“นายจงใจ”
ลั่วจื่อหานยักไหล่ “เธอไม่ว่าอะไรนะ”
“ฉัน ฉันจะว่าอะไรได้ ยังไงก็เป็นของนาย นายจะเล่นกับมันยังไงก็ได้” อี้เป่ยซีเบือนหน้าหนี ไม่รู้เป็นเพราะว่าเขินอายอึดอัดหรือเป็นเพราะโมโห
เขากระแอมไอเบาๆ “ปกติแล้วฉันก็ไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่เท่าไร เธอไม่ต้องคิดมาก”
“ฉันไม่ได้คิดอะไรเลย”
“เหรอ” หางเสียงสูง คิ้วซ้ายเลิกขึ้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ
“ฉันรู้สึกว่าประโยคนั้นที่นายบอกว่า ‘ไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่เท่าไร’ มันชวนให้ตอบว่า เหรอ…มาก” อี้เป่ยซีเลียนเสียงของลั่วจื่อหาน ทันใดนั้นทั้งสองคนก็หัวเราะแล้ว
————