ตอนที่ 145 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (2)
คำพูดนี้มันเกินไปแล้ว อี้เป่ยซีกำลังจะอ้าปาก เยี่ยฉินกลับคว้ามือของเธอไว้ ส่ายหน้า เธอลุกขึ้นยืน แผ่นหลังตั้งตรง “เห็นท่าทางของคุณที่ก้าวร้าวแบบนี้ ฉันถึงได้รู้ว่าการตัดสินใจของฉันในตอนนั้นถูกต้องแค่ไหน เป่ยซี ไว้วันหลังฉันจะมาเยี่ยมเธอใหม่”
เธอหยิบกระเป๋าของตัวเอง เดินอ้อมมู่ลี่ไป๋ออกไปจากห้องคนไข้ มู่ลี่ไป๋ยังคงยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าซับซ้อนทำให้มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ อี้เป่ยซีรู้สึกว่าหากตัวเองเอ่ยปากในเวลานี้คงไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ยอมอยู่ภายใต้ความกดดันของมู่ลี่ไป๋ เธอกลอกตาแล้วร้องโอ๊ย
“เธอเป็นอะไรไป?” ใบหน้าของมู่ลี่ไป๋ยังคงแข็งทื่อ แววตาที่มองอี้เป่ยซีราวกับกำลังพูดว่า ‘ทางที่ดีเธออย่ามาแกล้งกันนะ ไม่งั้นฉันจะไม่ให้อภัยเธอเลย’
เธอกลืนน้ำลาย ขมวดคิ้วด้วยความน้อยใจ “เข็มหลุดแล้ว เรียกพี่พยาบาลคนสวยมาให้ฉันหน่อยได้หรือเปล่า”
“ยุ่งจริง” เขานวดคลึงขยับของตัวเองอย่างแรง มองดูมือของอี้เป่ยซี บนหลังมือปูดเล็กน้อย ตะโกนเรียกพยาบาลให้เข้ามาแทงเข็มให้เธออีกรอบ อี้เป่ยซีมองดูมือขวาที่บวมเป่งของตัวเองด้วยท่าทางน่าสงสาร คราวหน้าถ้าใครจะดึงมือฉันตอนที่เจาะน้ำเกลืออีกนะ ฉันจะกัดเขาซะ
“คุณ คุณหมอมู่ เสร็จแล้วค่ะ” นางพยาบาลตกใจกับความกดดันของเขาอย่างเห็นได้ชัด เสียงก็สั่นเล็กน้อย เขาพยักหน้าอย่างไม่พอใจแล้วลุกขึ้นออกจากห้องคนไข้ไป ในห้องเหลือเพียงอี้เป่ยซีเพียงลำพัง เงียบสงบเป็นอย่างมาก เงียบจนชวนให้อดไม่ได้ที่จะคิดไปเรื่อยเปื่อย
มู่ลี่ไป๋กับเยี่ยฉินตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่นะ ลึกลับมาก ลึกลับมากเลย
“คิดอะไรอยู่ จริงจังเชียว?”
“ลั่วจื่อหาน นายไม่รู้อะไร เมื่อกี้มู่ลี่ไป๋น่ากลัวมากเลย”
“เขารังแกเธอเหรอฒ”
อี้เป่ยซีต้องการจะบอกว่าเปล่า แต่ก็กลืนคำที่ต้องการพูดกลับลงไปทันที “อืม เขารังแกฉัน ฉันอยู่คนเดียวกลัวมากเลย”
ลั่วจื่อหานยื่นมือตบๆ ศีรษะของเธอ “โอเค ฉันรู้แล้ว”
“นายบอกว่าจะช่วยฉันแก้แค้นไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้น ก็ตัดเงินเดือนเขาซะ”
“อืม ตัดเงินเดือนเขา”
“ไม่มีความจริงใจเลย น้ำเสียงแบบนี้ใครจะไปเชื่อว่านายจะทำได้ล่ะ”
เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ มองดูของเหลวของในขวด แล้วกลับไปนั่งที่เดิม
อี้เป่ยซีมองดูเพดานต่อ มองไปมองมาก็มองต่อไปไม่ไหวแล้ว “ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน มู่ลี่ไป๋กับเยี่ยแนเป็นอะไรกันแน่? ระหว่างพวกเขาเกิดอะไรขึ้น?”
ลั่วจื่อหานใช้เอกสารเคาะๆ หัวของเธอ “ที่ไม่ควรถามก็อย่าถามเลย”
“แต่ว่าฉันอยากรู้นี่ มู่…” หลังจากเธอเห็นคนที่เดินเข้ามาแล้วก็รีบถอนคำพูดของตัวเอง มู่ลี่ไป๋มองค้อนเธอ
“มือขวาบวมแล้ว นายประคบร้อนให้เธอสักหน่อยเถอะ”
“ฉันถามได้ไหมว่าเพราะอะไร?”
มู่ลี่ไป๋วางของลงบนโต๊ะชา “เรื่องแบบนี้นายควรจะถามเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”
“ไม่เกี่ยวอะไร กับนาย?”
“ฉันยังมีคนไข้ ไปก่อนล่ะ” พูดจบก็ออกไปจากห้องคนไข้ราวกับหลบหนี อี้เป่ยซีมองดูสภาพสะบักสะบอมของเขา ความสงสัยในแววตายิ่งล้ำลึกกว่าเดิม
เธอใช้มือขวาของตัวเองคว้าตัวลั่วจื่อหาน ระคนรอยยิ้มประจบประแจง “พี่ชายจื่อหาน พี่ดีที่สุดเลย บอกฉันเถอะนะ”
ลั่วจื่อหานหยิกๆ แก้มของเธอ “เด็กดี เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ไม่ต้องรู้หรอก” เขากุมมือที่บอบบาง เริ่มประคบร้อนจุดที่บวมเป่งบนมือของเธอ อี้เป่ยซีเงียบ
“เธออยากฟังนิทานไหม?”
“ไม่อยาก”
“กาลครั้งหนึ่ง มีเจ้าชายน้อยคนหนึ่ง…”
“เด็กน้อยเกินไป ฉันไม่ฟัง”
ลั่วจื่อหานหัวเราะ “อืม เธอไม่ฟังเองนะ งั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันแล้ว อย่ามางอนเพราะว่าฉันไม่บอกเธอก็แล้วกัน”
“ไม่ๆๆ นายเล่าเถอะ ฉันฟัง ฉันฟัง”
เรื่องนั้นราวกับเกิดขึ้นเมื่อแปดปีที่แล้ว คนที่ผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมาต่างคิดว่าความเจ็บปวดเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ใครจะรู้ว่าเพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปแปดปีแล้ว ในโลกนี้มักจะมีคำพูดที่ว่าเวลาจะทำให้คนเราลืมทุกอย่าง บางทีเรื่องที่สามารถลืมได้คือเรื่องที่จำได้ไม่ลึกซึ้งมากต่างหาก ส่วนเรื่องที่ไม่อาจลืมนั้นไม่สามารถจางหายไปตามกาลเวลา มันมีแต่จะยิ่งล้ำลึกยิ่งขึ้น ลึกจนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
ในตอนนั้น มู่ลี่ไป๋ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ระดับปริญญาตรีปีสอง เขาที่อยู่ในครอบครัวแพทย์ประสบความสำเร็จทางการแพทย์ทั่วไป ปีสองปีนั้น พ่อแม่ของเขาได้เตรียมส่งเขาไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครคิดว่าเรื่องที่ราบรื่นแบบนี้จะเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น เรื่องที่เหนือความคาดหมายทั้งหมดของเขาเกิดจากผู้หญิงที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่ง
มู่ลี่ไป๋ยังจำตอนที่เขาเจอเยี่ยฉินครั้งแรกได้ วันนั้นฝนตก เขาเดินเข้าไปในตลาดภาพวาด กำลังเลือกแผ่นดิสก์ที่เขาโปรดปรานอย่างสบายอารมณ์ มือของเขาหยุดอยู่ที่อัลบั้มดนตรีจีนพร้อมกันกับอีกมือหนึ่งพอดี บุคคลนั้นเป็นนักร้องที่มู่ลี่ไป๋ชื่นชอบมาก สไตล์มีความหลากหลายและเสียงก็เพราะมากด้วย ในขณะที่เขากำลังจะปล่อยไปด้วยความเสียดายเล็กน้อย ผู้หญิงคนนั้นก็คว้าแผ่นอัลบั้ลข้างๆ นั้นเพื่อไปชำระเงินแล้ว
มูลี่ไป๋ดึงสติกลับมา รีบตามออกไปที่เค้าน์เตอร์จ่ายเงิน ท่ากลางฝนห่าใหญ่นั้น กลับมองไม่เห็นเงาที่สวยงามนั้นเลย เขากุมแผ่นดิสก์ในมือแน่นด้วยความผิดหวัง
“คุณไม่มีร่มเหรอ? ฉันไปส่งคุณกลางทางได้นะ”
มันคือผู้หญิงคนนั้น เธอส่งยิ้มพร้อมถือร่มสีน้ำเงินของตัวเอง ส่งสัญญาณให้เขาเดินเข้ามา มู่ลี่ไป๋เข้าไปใต้ร่มของเธอโดยที่ไม่คิดแล้ว
“คุณจะไปไหน?” เสียงของเธอไพเราะมากราวกับนกขมิ้น เหมือนฝนที่ค่อยๆ ตกอยู่ในใจของเขาในตอนนี้
“คุณล่ะ?”
“ไปป้ายรถข้างหน้า ตอนนี้ควรจะกลับบ้านได้แล้ว”
“อืม ป้ายรถข้างหน้านี้แหละ ถ้าคุณไม่รังเกียจล่ะก็ ผมไปส่งคุณได้”
ตอนแรกเธอประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มกว้าง “ก็ได้ค่ะ งั้นต้องรบกวนคุณแล้ว” เขาพูดเสียงต่ำว่าไม่รบกวนเลย
เธอเตี้ยกว่ามู่ลี่ไป๋มาก ร่มกดอยู่บนศีรษะของเขาเป็นครั้งคราว แต่เขาก็ไม่รำคาญเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกมีความสุข บนรถ เขายื่นกล่องทิชชู่ให้เธอด้วยความระมัดระวัง
“คุณก็ชอบเพลงของเขาเหรอ” เธอมองดูอัลบั้มที่มู่ลี่ไป๋ซื้อ ดวงตาเป็นประกาย
มูลี่ไป๋พยักหน้า ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็แกะถุงออก เล่นเพลงในเครื่องเล่นซีดีในรถทันที เธอยิ้มรับทุกการกระทำของเขา ทั้งสองคนนั่งอยู่ในรถ ฟังจนจบอัลบั้มทั้งสิบเพลง ฝนด้านนอกยังคงตกอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งเมื่อเพลงสุดท้ายจบลง ทั้งสองคนจึงรู้สึกถึงเวลาที่เดินอยู่อีกครั้ง เธอมองเวลาบนข้อมืออย่างร้อนรน “ดึกป่านนี้แล้ว” เธอบ่นพึมพำ มองดูฝนด้านนอกที่ไม่มีท่าทีว่าจะซาเลย แต่ในใจของมู่ลี่ไป๋กลับไม่อยากให้มันหยุดตลอดไป
“บ้านคุณอยู่ไหน ผมส่งคุณกลับบ้านเถอะ” มู่ลี่ไป๋สตาร์ทรถ เม้มปากตั้งใจไม่มองเธอ เธอครุ่นคิดและบอกจุดหมายปลายทาง
“งั้นก็รบกวนคุณแล้ว”
————