ตอนที่ 163 ด้านของพ่อแม่ (9)
ลั่วจื่อหานใช่ว่าไม่เคยลิ้มรสของอาการปวดหัวเมาค้าง แต่ว่าไม่เคยได้ลิ้มรสอาการปวดหัวอย่างมีความสุขแบบนี้เลย เขามองดูอี้เป่ยซีที่อยู่ตรงหน้าเขาถามนู่นถามนี่และวิ่งให้วุ่น รอยยิ้มที่มุมปากก็หุบไว้ไม่อยู่แล้ว
“นายไม่สบายไม่ใช่เหรอ ยิ้มอะไร?” อี้เป่ยซียกโจ๊กที่คุณแม่จางอุ่นไว้ นั่งลงข้างเขาด้วยสีหน้าสงสัย “ยังปวดหัวอยู่ไหม?”
แขนยาวๆ ของลั่วจื่อหานโอบเอวของอี้เป่ยซี “ปวด ไม่สบายมากเลย”
“เมื่อวานก็บอกนายแล้ว…” อี้เป่ยซียังไม่ทันพูดจบ คำพูดที่เหลือก็ถูกลั่วจื่อหานกลืนกินแล้ว อี้เป่ยซีจึงรับรู้ภายหลับว่าตานี่แกล้งป่วย
หลังจากเขาปล่อยเธอ อี้เป่ยซีมองเห็นคลื่นอารมณ์ในดวงตาที่ล้ำลึกคู่นั้น แล้วนึกถึงคำที่เขาพูดเมื่อวาน ความโมโหก็หายไปฉับพลัน “ลั่วจื่อหาน”
“หืม?”
อี้เป่ยซีซบอยู่ในหน้าอกของเขาอย่างว่าง่าย “ฉันก็แค่อยากเรียกนาย”
“งั้นเธอก็เรียกอีกสิ ฉันก็อยากได้ยินเธอเรียกชื่อของฉัน”
“นายเบื่อหรือเปล่า”
“ไม่เบื่อเลย ได้ฟังเสียงของเธอจะเบื่อได้ยังไง แต่ว่า…” เขาพลิกตัวกดอี้เป่ยซีไว้ด้านล่าง “ฉันชอบเสียงเธอที่เรียกชื่อฉันหลังจากนี้มากกว่า”
หลังจากแสดงความรักต่อกันแล้ว ลั่วจื่อหานก็มอบความอ่อนโยนให้อี้เป่ยซีอีกสักพักหนึ่ง จึงค่อยๆ เตรียมตัวไปทำงาน อี้เป่ยซีมองดูเวลาบนข้อมือ แผนในตอนเช้าของเธอถูกทำพังแล้ว เธอดึงผ้าห่ม ต้องการนอนต่ออีกหน่อยด้วยความสะลึมสะลือ
เมื่อเวลาใกล้บ่ายโมง อี้เป่ยซีจึงตื่นด้วยความหิว กินข้าวที่คุณแม่จางเตรียมไปเล็กน้อย และไปจัดการธุระของตัวเองแล้ว เธอเพิ่งจะแตะคอมพิวเตอร์ อดไม่ไหวที่จะหาวครั้งแล้วครั้งเล่า มองคำที่ปรากฏบนหน้าจอด้วยดวงตาที่พร่ามัว อ่านอะไรไม่เข้าใจสักอย่าง ศีรษะของเธอเหมือนกับลูกเจี๊ยบที่กำลังจิกข้าว สัปหงกอยู่บนแป้นพิมพ์ของตัวเองไม่หยุด
เธออ้าปากหาวกว้างๆ รู้ว่าวันนี้ไม่สามารถทำงานของตัวเองให้เสร็จได้จึงต่อว่าตัวเองด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย เดินเข้าห้องนอนไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ล้มตัวลงบนเตียงแล้วเข้าสู่ความฝัน
เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ลั่วจื่อหานก็นั่งมองเธออยู่ข้างเตียง
“ลูกหมูขี้เกียจ”
“ก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ ตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“ห้าโมงครึ่งแล้ว”
อี้เป่ยซีลุกขึ้นนั่งบนเตียง “สายป่านนี้แล้ว ไม่ได้ ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องดูอะไรสักหน่อย”
“นอนทั้งวัน?”
เธอพยักหน้า ถอนหายใจ “ในวันที่อากาศเริ่มหนาว หนอนขี้เกียจก็มาแล้ว จะหลบยังไงก็หลบไม่พ้น”
“ไปเถอะ เดี๋ยวลงไปกินข้าวกัน”
อี้เป่ยซีหอมแก้มของเขา เดินลากรองเท้าเข้าห้องหนังสือไป ฝืนอ่านไปไม่กี่คำก็เริ่มสัปหงกอย่างไร้ชีวิตชีวาอีกครั้ง ระหว่างนั้นเองก็เกือบจะฟาดกับมุมโต๊ะ เธอถอนหายใจ นอนลงบนโต๊ะสักพักแล้วก็พึมพำในที่สุด “ช่วงนี้การค้นคว้าวรรณกรรมก็น่าเบื่อเกินไปแล้ว น่าเบื่อเกินไปแล้ว”
“เป่ยซี เป่ยซี” ลั่วจื่อหานผลักๆ คนที่ฟุบนอนอยู่บนโต๊ะ ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว อี้เป่ยซีขยี้ตา สีหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
“ไม่สบายหรือเปล่า? ไปตรวจที่โรงพยาบาลหน่อยไหม?”
เมื่ออี้เป่ยซีได้ยินคำว่าโรงพยาบาลก็รีบส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไร ฉันก็แค่นอนไม่พอ พรุ่งนี้ก็น่าจะหายแล้ว”
ลั่วจื่อหานเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พยักหน้าแล้วลากอี้เป่ยซีลงไปกินข้าวข้างล่าง ยังเดินไม่ถึงโต๊ะกินข้าว อี้เป่ยซีได้กลิ่นอาหารก็รีบสะบัดมือของลั่วจื่อหาน วิ่งเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำ
“ไม่เป็นไรนะ” ลั่วจื่อหานยืนอยู่ข้างหลังเธอช่วยเธอลูบหลัง ยื่นน้ำอุ่นให้แก้วหนึ่ง อี้เป่ยซีใช้น้ำอุ่นบ้วนปาก รสเปรี้ยวยังคงค้างอยู่ข้างใน
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
“เป่ยซี หรือว่าเธอจะ…” ลั่วจื่อหานไม่กล้าพูดคำสุดท้ายออกมา แอบหวังอยู่ในใจว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดานั้นถูกต้อง มือยิ่งเคลื่อนไหวด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย เขากุมมือของอี้เป่ยซี “พวกเราไปตรวจที่โรงพยาบาลกัน”
อี้เป่ยซีส่ายหัว “ไม่ไปๆ ฉันไม่อยากไปโรงพยาบาล”
ลั่วจื่อหานลากบังคับเธอไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง แล้วยัดเธอเข้าไปในรถ “เป่ยซี แค่ไปตรวจไม่ต้องกินยา ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องกลัวนะ ยังมีฉันอยู่”
อี้เป่ยซีมองดูใบหน้าด้านข้างของลั่วจื่อหาน เข้าใจการคาดเดาของเขา มือกุมท้องของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ‘มันจะมีชีวิตน้อยๆ อยู่ในนี้จริงเหรอ? แต่ถ้า…ไม่มีล่ะก็ ลั่วจื่อหานก็คงจะผิดหวังมากสินะ’
หลังจากพวกเขาสองคนดูผลการตรวจร่างกายแล้ว พูดได้ว่าอารมณ์ของอี้เป่ยซีนั้นสับสนเป็นอย่างยิ่ง ท้องตอนนี้ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ เธอยังต้องเรียน ยังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้ทำ แต่ว่าเด็กคนนี้ เธอมองดูหน้าท้องที่แบนราบของตัวเอง เธอก็ทิ้งไม่ลงเหมือนกัน
ปกติแล้วเวลาที่เธอมีอะไรกับลั่วจื่อหาน ก็ป้องกันอย่างดี ทำไมถึงยังมีอุบัติเหตุแบบนี้ได้
ลั่วจื่อหานกุมผลรายงานแล้วหันมาทันใด มองไปที่อี้เป่ยซี “เป่ยซี นี่ฉันฝันอยู่หรือเปล่า?”
“อืม นายกำลังฝันอยู่ นี่คือเรื่องปลอม”
ลั่วจื่อหานอุ้มอี้เป่ยซี พูดด้วยความตื่นเต้นที่ยากจะซ่อนเร้น “ถึงจะปลอมฉันก็ดีใจมาก ฉันจะเป็นพ่อแล้ว เป่ยซีฉันจะเป็นพ่อแล้ว พวกเราจะมีลูกเป็นของตัวเองแล้ว”
“ใช่ๆๆ คุณอาจะเป็นคุณพ่อแล้ว ยินดีด้วย ยินดีด้วย” ใบหน้าของอี้เป่ยซีก็มีรอยยิ้มแห่งความสุขเหมือนกัน
“ใช่แล้วๆ ต้องขอบคุณหลานสาวแล้ว เป่ยซี ขอบคุณมาก”
“หืม?”
“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตของคนเราจะสมบูรณ์ได้ขนาดนี้ จะงดงามได้ขนาดนี้” เขายื่นมือวางลงบนท้องน้อยของอี้เป่ยซี “พวกเธอคือทั้งหมดของฉัน”
ดวงตาของอี้เป่ยซีขยับเขยื้อน กอดลั่วจื่อหาน “พวกนายก็เหมือนกัน”
ลั่วจื่อหานอุ้มเธอขึ้นมาอย่างอ่อนโยน อี้เป่ยซีขยับตัวเล็กน้อยอยู่ในอ้อมกอดของเขา “ไม่ได้พิการสักหน่อย นายอุ้มฉันทำไม”
“ฉันกลัวว่าเธอจะทำให้เจ้าหญิงน้อยของฉันกระทบกระเทือน”
“นายเริ่มลำเอียงตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ?”
“เธอคือเจ้าหญิงน้อยของคุณอา ในท้องเธอคือเจ้าหญิงน้อยๆ ของคุณอา โอเคไหม?”
“เธอปล่อยฉันลง คนตั้งเยอะมองอยู่น่ะ”
ลั่วจื่อหานมองแววตาอิจฉารอบกายแต่ไม่สนใจ “ชินแล้ว”
อี้เป่ยซีไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้เขาอุ้มตัวเองเข้าไปในรถ ลั่วจื่อหานขับรถอย่างระมัดระวังมากตลอดทาง รถขับผ่านด้านข้างพวกเขาไปทีละคัน บางคันก็บีบแตรอยู่ข้างหลังพวกเขา ลั่วจื่อหานไม่สะทกสะท้าน มือกำพวงมาลัยแน่น เหงื่อชั้นบางๆ ซึมออกมาจากฝ่ามือ เหมือนกับคนขับรถมือใหม่ที่เพิ่งออกถนนเป็นครั้งแรก ระแวดระวังเป็นอย่างมาก
สุดท้ายอี้เป่ยซีก็กินโจ๊กไปเล็กน้อยภายใต้การบีบบังคับของเขา แล้วถูกอุ้มขึ้นไปชั้นบน อี้เป่ยซีที่ไร้เรี่ยวแรงอยู่แล้วพอเอนตัวลงบนเตียงก็ผล็อยหลับไป ลั่วจื่อหานที่อยู่ข้างเธอกลับนอนไม่หลับ เขาเปิดไฟสลัวมองดูคนที่นอนอยู่ข้างๆ ตัวเอง ทำอย่างไรก็หุบยิ้มไว้ไม่อยู่
เป่ยซีของเขามีลูกของเขาแล้ว เขาจะได้เป็นพ่อแล้ว จะได้เป็นพ่อของลูกเป่ยซีแล้ว เขายิ้ม มองอยู่เนิ่นนานจึงปิดไฟ
————