ตอนที่ 168 โชคชะตาฟ้าลิขิต (3)
เยี่ยฉินออกจากโรงพยาบาลแล้ว
ตอนที่มู่ลี่ไป๋เห็นข้อความในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เขากำลังนั่งอยู่บนม้านั่งในโรงพยาบาล หัวของเขาพิงอยู่บนกระเบื้องเซรามิคที่เย็นเยียบด้านหลัง ความเย็นยะเยือกนั้นทะลุผ่านเส้นผมถึงชั้นหนังศีรษะที่นุ่มและบาง มันกำลังทิ่มแทงกระดูกสีขาวโพลนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ภายนอกกระดูกหนาวสะท้าน แต่ภายในกระดูกกำลังแผดเผาอย่างบ้าคลั่ง โลกถูกแบ่งออกเป็นสองด้าน
เขาคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าเมื่อเยี่ยฉินตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่จะทำก็คือออกจากโรงพยาบาล มือที่สั่นเทาของเขาหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า จุดไฟอยู่สองสามครั้งจึงจุดติด ควันบุหรี่ฟุ้งกระจาย วิสัยทัศน์ของมู่ลี่ไป๋พร่ามัวฉับพลัน
“คุณครับ ที่นี่พวกเราห้ามสูบบุหรี่นะครับ” เสียงที่อ่อนโยนดึงมู่ลี่ไป๋ออกมาจากโลกส่วนตัว เขามองคนที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตามีประกายแห่งความหวัง
“ขอโทษครับ” มู่ลี่ไป๋ดับบุหรี่ในมือ ยืนขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ “คุณ คือ…”
ชายหนุ่มในชุดขาวพยักหน้า แล้วหาวด้วยความเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย “ผมดูอาการแล้ว ขืนยื้อต่อไปผมก็จะไม่ช่วยคุณแล้ว”
“ขอบคุณนะ จื่อจี้”
ลั่วจื่อจี้โบกไม้โบกมือ “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชายขู่ผม ผมก็ไม่ออกมาหรอก” เขามองแหวนบนมือ มันส่องแสงเย็นเยียบภายใต้แสงไฟสีขาวของโรงพยาบาล มีอะไรบางอย่างผ่านวูบในแววตา แต่แล้วก็ถูกเขาซ่อนเร้นในทันที “คุณมีเวลาแค่สามวัน จากนั้นผมยังมีธุระเรื่องอื่น”
เมื่อลั่วจื่อจี้พูดจบก็จากไปโดยไม่หันกลับมามองแล้ว มู่ลี่ไป๋ก็ไม่ลังเล ขับรถไปยังที่พักของเยี่ยฉินอย่างรวดเร็ว เยี่ยฉินยังไม่กลับมา เขาหลบอยู่ด้านข้างจนถึงเวลาพลบค่ำ จึงเห็นเยี่ยฉินที่มีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า และยังถือช่อดอกไม้สีขาวในมือ มันขาวบริสุทธิ์ราวกับไร้ชีวิตเหมือนกับผู้หญิงรูปร่างผอมบางตรงหน้าเขา
มู่ลี่ไป๋พูดไม่ออกว่าตัวเองกำลังคิดอะไร เขาหลบไปด้านข้างตามจิตใต้สำนึก จนกระทั่งเธอเดินเข้าไปในทางเดินยาวแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก เดินออกมาจากเงามืด
จะต้องพูดอย่างไรเยี่ยฉินจึงจะยอมรับการรักษา
ไม่รู้ ใครๆ ก็ไม่รู้ แม้แต่พ่อแม่ของเธอก็ไม่รู้ มู่ลี่ไป๋จุดบุรี่มวนหนึ่งด้วยความหงุดหงิด เงยหน้ามองดูแสงไฟสลัวนั้น บุหรี่มวนแล้วมวนเล่าตกสู่พื้น จนกระทั่งเมื่อเขาคลำหาในกระเป๋าอีกรอบ ซองบุรี่ก็ว่างเปล่าแล้ว เขาจึงพบว่ารอบตัวมีแต่ก้นบุหรี่เต็มพื้นไปหมด
เขาก้มหน้ามองดูประกายไฟริบหรี่ที่ยังคงเหลืออยู่ ลมพัดมาทำให้พวกมันสั่นไหวแล้วมอดลงในวินาทีต่อมา มู่ลี่ไป๋หัวเราะอย่างขมขื่น เงยหน้าขึ้นก็เห็นเยี่ยฉินที่กำลังถือถุงขยะ คำทั้งหมดที่ต้องการจะเอ่ยติดอยู่ในลำคอ
เยี่ยฉินราวกับเห็นคนแปลกหน้าทั่วไป ส่งยิ้มเป็นมิตรให้เขา เธอเดินผ่านเขา ทิ้งขยะ หันหลัง แล้วเดินกลับ ราวกับว่าได้ลบเขาไปจากชีวิตของตัวเองอย่างชัดเจน ทุกกระทำเหมือนสายลมที่คมกริบ เธอเดินกลับเข้าไปในอะพาร์ตเม้นต์อีกครั้ง ย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้าราวกับมีอะไรมารั้งไว้ให้ติดอยู่ที่เดิม ทำอย่างไรก็ก้าวไม่ออก
เธอรู้ดีว่ามันคืออดีต ไม่ว่าเธอจะเป็นหรือตาย ไม่ว่าเธอเลือกที่จะอยู่หรือตายก็ไม่สามารถลืมหรือละทิ้งอดีตได้ เยี่ยฉินรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย ในเมื่อตอนนี้เธอก็เน่าเปื่อยอยู่แล้ว ถูกคนทำให้แตกหักอีกครั้งจะเป็นอะไรไป
เธอหันหลัง ยิ้มให้มู่ลี่ไป๋ด้วยความเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง ทำเหมือนว่าตัวเองเป็นเจ้าบ้านที่ใจดีมาก “เข้ามานั่งไหม?”
ใบหน้าของเยี่ยฉินซูบตอบเนื่องจากอาการป่วย ดวงตาทั้งคู่กลวงลึกอย่างเห็นได้ชัด มู่ลี่ไป๋มองดวงตาที่ชัดเจนของเธอ เหมือนกับว่าได้เห็นท่าทางที่มีความสุขของเธอตอนที่ฟังเพลงในรถท่ามกลางสายฝนในตอนนั้นอีกครั้ง การเคลื่อนไหวไม่ได้เป็นไปตามความคิดของเขา เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับถูกอะไรดึงเข้าไปในห้องของเธอแล้ว
ห้องของเธอไม่นับว่าใหญ่ แต่ว่ากำลังดีสำหรับการอยู่คนเดียว ภายในห้องสะอาดเรียบร้อยมาก แสงไฟสลัวนั้นดูอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง มู่ลี่ไป๋ขมวดคิ้ว ทุกอย่างที่อยู่ด้านหน้าถูกจัดแจงเป็นอย่างดี แม้แต่บนโต๊ะยังมีแจกันสองใบวางอยู่ มีดอกลิลลี่ที่กำลังบานอย่างสวยงามปักอยู่ มันส่งกลิ่นหอมที่มีชีวิตชีวา แต่ว่าทุกอย่างมันเงียบสงบเกินไปแล้ว เงียบสงบราวกับห้องจัดงานศพกลางดึกที่มีกลิ่นไม้และกลิ่นดอกไม้สด เหมือนดอกไม้สดที่ตายแล้ว
“ดื่มชาไหม แต่ว่าฉันไม่มีชาหลงจิ่งที่คุณชอบ มีแต่ชาผู่เอ๋อ ทดแทนกันได้ไหม?” เยี่ยฉินหันไปถามเขา มู่ลี่ไป๋พยักหน้างงๆ มองดูผู้หญิงตัวน้อยที่เดินอยู่ตรงหน้าตัวเอง แสงไฟที่อยู่ตรงหน้าควรจะอบอุ่นกว่านี้หน่อย แจกันที่อยู่บนโต๊ะควรจะเปลี่ยนเป็นพอร์ซเลนสีฟ้าขาวที่เธอชอบ หรือไม่ก็ดวงไฟคริสตัสที่ส่องแสงบริสุทธิ์ได้ โดยมีเธอที่กำลังง่วนอยู่ภายใต้แสงไฟอบอุ่นกับสามีของเธอ
มู่ลี่ไป๋รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างค่อยๆ เอ่อล้นในดวงตาของเขา การมองเห็นก็เริ่มเลือนลาง แม้ว่ามีเรื่องมากมายเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาสองคน แต่ว่ามู่ลี่ไป๋รู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่าเขายังคงชอบคนที่อยู่ตรงหน้า เขาหวังมาตลอดว่าผู้หญิงที่ตัวเองรักจะมีความสุขชั่วชีวิต แม้แต่ตอนที่เธอเกลียดชังเขามากที่สุด หรือตอนที่ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลเพราะดื่มเหล้าจัด เขาก็เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องมีความสุขต่อไป แม้ว่าคนที่ทำให้เธอมีความสุขจะไม่ใช่เขาก็ตาม
แต่ใครจะรู้ว่าโชคชะตามักชอบเล่นตลกกับเรา ชอบเล่นตลกกับทุกคนที่จริงใจ กับทุกคนที่มีความหวัง มู่ลี่ไป๋มองน้ำชาสีเขียวอ่อนที่อยู่หน้าตัวเอง ได้ยินเสียงดังติ๊ง ระลอกคลื่นตื้นๆ ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ เขาเช็ดน้ำตาของตัวเองด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น เห็นเยี่ยฉินกำลังเก็บของโดยหันหลังให้เขา
เขามองน้ำชาที่ยังมีไอร้อน บางทีอาจเป็นเพราะน้ำตาเปรี้ยวๆ หยดนั้น ชาผู่เอ๋อวันนี้จึงกลืนยากเป็นพิเศษ กลิ่นสดชื่นของชาก็บิดเบี้ยวเพราะกลิ่นของดอกลิลลี่ที่อบอวลอยู่ในอากาศ มันกระตุ้นให้ไม่สามารถควบคุมต่อมน้ำตาได้
“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” เยี่ยฉินก็ยกชาขึ้นมาแก้วหนึ่ง จิบคำเล็กๆ แล้วถอนหายใจอย่างพึงพอใจ ท่าทางที่สงบของเธอทำให้มู่ลี่ไป๋ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
เธอไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองงั้นเหรอ ถ้ารู้แล้วทำไมถึงยังสงบและยิ้มได้อย่างเป็นปกติแบบนี้ ริมฝีปากของมู่ลี่ไป๋ขยับ แต่เยี่ยฉินกลับมองใบชาในถ้วยแล้วพูดต่อ “พ่อแม่ฉันไปหาคุณงั้นเหรอ? หรือว่าคุณก็รู้อะไร ก็เลยคิดจะ…” เธอไม่กล้าพูดประโยคสุดท้าย มือที่ถือถ้วยกลับเริ่มออกแรง
ก็เลยคิดจะมาหัวเราะเยาะฉัน อยากให้ฉันรู้ว่าเมื่อไม่มีคุณแล้วชีวิตของฉันเน่าเฟะถึงเพียงไหน จากนั้นก็โอ้อวดกับฉันเรื่องช่องว่างระหว่างพวกเรา บอกกับฉันว่าการที่มีสุขภาพดีมันดีแค่ไหน ว่าชีวิตของคุณมันดีแค่ไหน?
ทั้งสองคนต่างก้มหน้า ต่างไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นหมอกควันในดวงตาของตัวเอง ชาที่ถืออยู่ในมือนั้นเย็นชืดแล้ว นาฬิกาด้านนอกส่งเสียงเริ่มต้นวันใหม่ดังชัดเจน มู่ลี่ไป๋ราวกับถูกน้ำร้อนลวก วางแก้วลงบนโต๊ะด้วยความร้อนรน ต้องการจะลุกขึ้นยืน
“อีกแก้วไหม?”
————