บทที่ 188 ความโกลาหล (2)
เมื่ออี้เป่ยซีไปที่มหาวิทยาลัยในวันรุ่งขึ้นก็ถูกคนขวางทางไว้ เธอหรี่ตา พินิจพิเคราะห์คนที่อยู่ตรงหน้า “ทำอะไรน่ะ?”
ถังเสวี่ยกอดๆ กระเป๋าหนังสือของตัวเอง ก้มหน้า “เป่ยซี ฉันรู้ว่าเธอเกลียดฉัน ฉันก็รู้ว่าเมื่อก่อนฉันทำผิดต่อเธอมากมาย ฉันสำนึกผิดแล้ว และฉันจะไม่ทำผิดอีกเด็ดขาด เป่ยซี เธอช่วยอะไรฉันสักอย่างได้ไหม?”
อี้เป่ยซีก้าวไปด้านข้าง ถังถังเดินหน้าขวางเธออย่างไม่ลดละ
“เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“เรื่องของหลานฉือเซวียน ฉันมีทางออก ขอร้องล่ะเธอพาฉันไปหาเขาหน่อยได้หรือเปล่า?” ถังเสวี่ยดึงแขนเสื้อของอี้เป่ยซีด้วยท่าทีที่ดูเหมือนร้อนรนมาก ดวงตางดงามทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยน้ำตา
อี้เป่ยซีหน้าบึ้ง ถังเสวี่ยจะช่วยหลานฉือเซวียนได้ยังไง อีกอย่างถ้าจะช่วยหลานฉือเซวียนไปหาเขาโดยตรงก็จบ ทำไมต้องอ้อมมาหาเธอด้วย
เธอต้องการจะทำอะไรอีกกันแน่?
“เป่ยซี ฉันรู้ว่าเธอกำลังกลัว เธอสงสัยว่าฉันจะทำอะไรไม่ดีกับเธอใช่หรือเปล่า? ฉัน ฉันสาบานก็ได้ ว่าฉันไม่ได้มีเจตนาต้องการทำร้ายใครอีก ฉันแค่ต้องการช่วยหลานฉือเซวียน เธอก็รู้ว่าฉันชอบเขามาตลอดใช่ไหมล่ะ?”
“นั่นเป็นเรื่องของเธอกับหลานฉือเซวียน ทำไมต้องผ่านฉันด้วย?”
ถังเสวี่ยยิ้มขมขื่น “เป่ยซี บ้านหลานไม่ยอมติดต่อกับฉันอีกเพราะเรื่องก่อนหน้านี้ คุณลุงคุณน้าก็ไม่อยากเจอฉัน เธอช่วยฉันได้ไหม?”
“อ่อ งั้นฉันก็ไม่อยากช่วย”
“หรือว่าเธออยากเห็นรุ่นพี่หลานถูกทุกคนประณามแบบนี้ เหยียบย่ำเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จนเขากลับตัวไม่ได้งั้นเหรอ?”
อี้เป่ยซีหัวเราะเย็นชา “ในเมื่อเธอมองออกว่ามีคนเล่นตลกกับหลานฉือเซวียน เธอก็ควรไปหาคนคนนั้นไม่ใช่เหรอ? มาหาฉันทำไม การกำจัดเป็นวิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือไง?”
ถังเสวี่ยหน้าเจื่อน สายตามองไปที่อื่น “แต่ แต่ว่า…เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ก็คือหุ้นของ…บ้านหลานของรุ่นพี่ ตอนนี้มันร่วงไป…เยอะมาก”
“ถ้าหลานฉือเซวียนไม่มีความสามารถ มันก็น่าสมน้ำหน้าแล้วที่หุ้นของพวกเขาร่วงแล้วร่วงอีก” อี้เป่ยซีถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พิจารณาเธอ “ถังเสวี่ย บอกความจริงมาเถอะ เธอกำลังวางแผนอะไร?”
“บ้านถังเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว จำเป็นต้องให้คุณหนูใหญ่ถังอย่างเธอลดตัวมาขอร้องฉันด้วยเหรอ?”
ถังเสวี่ยกำหมัด ข่มอารมณ์ไว้ “ฉัน แค่อยากจะช่วยรุ่นพี่หลานจริงๆ”
“เธอจะช่วยเขายังไง? หืม ฉันล่ะอยากรู้ความคิดเห็นสูงส่งของคุณซะจริง คุณหนูใหญ่ถัง”
“เป่ยซี เธอ…” น้ำเสียงของอี้เป่ยซีเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันและเจือปนความคมกริบ ถังเสวี่ยยังคงมีท่าทีอ่อนแอราวกับว่าได้รับความคับข้องใจอันยิ่งใหญ่ คนที่ผ่านไปมาต่างซุบซิบนินทาพวกเธอ แต่ก็ถูกบุคลิกของอี้เป่ยซีทำให้ตกใจกลัวจนปลีกตัวออกห่างจากทั้งสองคนทันที
อี้เป่ยซีเดินเบี่ยงไปทางขวาอย่างหมดความอดทน “อย่าเสียเวลาฉัน” เดินจากไป ถังเสวี่ยมองแผ่นหลังของเธอด้วยความไม่พอใจและเกลียดชัง
อี้เป่ยซี ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอได้อยู่อย่างมีความสุขแน่
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรออก
“ฮัลโหลพี่ พี่ช่วยฉันหน่อยได้ไหม?”
“เสียวเสวี่ย ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? บอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าออกไปข้างนอก? ทำไมเธอไม่เชื่อฟังอีกแล้ว เธอรู้หรือเปล่า…”
ถังเสวี่ยเดินสองสามก้าวไปยังที่ที่ไม่มีคน “ตอนนี้ลั่วจื่อหานอยู่ที่ประเทศ U ทำอะไรไม่ได้ คนที่อยู่ก็ทำให้ฉันเหลืออดมาก”
“เสียวเสวี่ย เธออย่าก่อเรื่องนะ”
“พี่ พี่แค่พูดมาว่าจะช่วยฉันหรือเปล่า”
เสียงถอนหายใจอย่างแรงของอีกฝ่ายล่องลอยอยู่ในอากาศและไหลไปตามกระแสไฟฟ้า มันสั่นเครือเล็กน้อย “พูดมา เรื่องอะไร”
“ฉันอยากเจอหลานฉือเซวียนคืนนี้”
“เสียเสวี่ย ทำไมเธอชอบเข้าไปยุ่งกับพวกเขาอยู่เรื่อย เธอคิดจะทำอะไรกันแน่”
“พี่ ฉันอยากจะทำอะไรฉันรู้แก่ใจดี พี่ไม่ต้องรู้หรอก คืนนี้สองทุ่ม ที่ร้านอาหารข้างมหาวิทยาลัย ถ้าฉันทำไม่สำเร็จฉันก็จะไม่กลับไปอีกแล้ว พี่กับพ่อก็จะไม่ได้เห็นหน้าฉันอีก”
“เสียเสวี่ย เสียวเสวี่ยเสียว…” ถังเสวี่ยตัดสาย เล็บที่ประณีตจิกเข้าไปในเนื้อของเธออย่างแรง
เธอไม่เคยล้มเหลวในสิ่งที่เธอต้องการเลย
ไม่ว่าอะไร…
อี้เป่ยซีนั่งอยู่ในห้องเรียน ยังคงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ทำไมจู่ๆ ถังเสวี่ยถึงมาหาเธอ? หา เธอจะมีวิธีอะไรได้ อีกทั้งยังเก็บเป็นความลับอีก
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดประเด็นร้อนของวันนี้ คนที่แสดงความคิดเห็นด้านล่างได้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนอย่างชัดเจน สนับสนุนและไม่สนับสนุน อีกทั้งพวกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่กินเม็ดแตงดูละครอย่างสบายใจ เธอถอนหายใจ
เรื่องนี้มีอะไรน่าคุยกัน ส่วนเรื่องตัวของพวกเขาสองคนก็คุ้มค่าแกการถกเถียงกันขนาดนี้เชียว
อี้เป่ยซีกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นก็ได้รับสายของหลานหมิงเจิ้ง เธอรีบวิ่งไปยังมุมที่ไร้ผู้คนแล้วรับสาย
“คุณลุงหลาน”
“เป่ยซี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่หรือเปล่า?”
“ค่ะ ตอนนี้นั่งอยู่ในห้องเรียนแล้ว เดี๋ยวก็จะเรียนแล้ว มีอะไรหรอคะ?”
หลานหมิงเจิ้งชะงักไปครู่หนึ่ง “คือว่า มีเรื่องอยากจะขอร้องเธอ ขอให้เธอสละเวลามางานแถลงข่าวของอาทิตย์หน้าหน่อยได้ไหม”
อี้เป่ยซียืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจความหมายของหลานหมิงเจิ้ง แต่ว่า ก่อนหน้านี้เธอฟังน้ำเสียงของคุณแม่หลานออก ว่าทั้งสองคนไม่พอใจที่เธอรู้เรื่องของหลานฉือเซวียนแต่ไม่บอก ตอนนี้ถ้าหากเธอปฏิเสธล่ะก็…
“คุณ…คุณลุง คุณ…ตอนนี้หนูมีแฟนแล้วค่ะ” เธอคว้าชายเสื้อของตัวเอง “แต่ว่าก่อนหน้านี้ทะเลาะกันนิดหน่อย ช่วงนี้ก็เลยไม่ได้ไปมาหาสู่กัน คุณลุงก็เลยอาจไม่รู้”
“ฉันแค่คิดว่าจะให้พูดต่อหน้าสื่อนิดหน่อยว่าเมื่อก่อนเธอสนิทกับเสี่ยวเซวียนมาก มันจะได้ไม่รู้สึกแปลกๆ อีกอย่างเซี่ยเช่อก็สนิทกับเธอมาก ก็แค่เข้าร่วมงานแถลงข่าว คิดซะว่าช่วยลุงได้หรือเปล่า?”
อี้เป่ยซีไม่เก่งเรื่องการปฏิเสธคนที่สุด เธอพึมพำสองคำ บอกว่าอาจารย์มาแล้วก็รีบวางหู
เธอฟังอาจารย์บรรยายอย่างเลื่อนลอย ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้
ถังเสวี่ยคิดจะอาศัยโอกาสนี้อยู่ด้วยกันกับหลานฉือเซวียนหรือเปล่า?
งั้น…เรื่องนี้จะเกี่ยวอะไรกับเธอหรือเปล่า…
ปากกาบนมือหมุนอย่างราบรื่นอยู่บนปลายนิ้วแล้วร่วงลงบนหนังสืออย่างจัง หวังว่าคุณลุงหลานจะไม่เจ็บป่วยแล้วเข้าโรงพยาบาลกะทันหันหรอกนะ แต่ว่าทำไมถังเสวี่ยถึงมีคนช่วยเธอที่ประเทศ U ได้ รูปที่ลึกลับเหล่านั้นเธอเองก็ยังไม่เคยเห็น เธอได้มันมาได้อย่างไร
หรือว่าจะไม่ใช่เธอ
อี้เป่ยซีวางปากกาลง เธอไปงานแถลงข่าวไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าลั่วจื่อหานเห็นเข้าล่ะก็ เธอก็ต้องจบเห่แน่
เธอคิดดูอีกที ทำไมจะต้องแคร์ความรู้สึกของลั่วจื่อหานขนาดนั้น อี้เป่ยซีเอ๋ยอี้เป่ยซี เธอป่วยไปแล้ว ป่วยหนักมาก
ใช่ เธอก็ไม่ได้คิดจะโกหกเสียหน่อย เธอเพียงต้องการรักษาความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่บริสุทธิ์กับหลานฉือเซวียนก็เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับลั่วจื่อหานเลยแม้แต่น้อย
แล้วจะต้องบอกกับคุณลุงหลานยังไงล่ะ
อ๊า…
พวกนายนี่น่ารังเกียจชะมัด
“อี้เป่ยซี” อาจารย์บนเวทีเรียกชื่อของเธอกะทันหัน “เธอมาตอบคำถามของอาจารย์เมื่อกี้หน่อย”
————