บทที่ 191 ความโกลาหล (5)
เมื่อเห็นลั่วจื่อหานอุ้มอี้เป่ยซีที่ “กำลังหลับ” ความรู้สึกผิดวาดผ่านใบหน้าของอี้เป่ยเฉิน “หลับแล้วเหรอ?”
ลั่วจื่อหานพยักหน้าสบายๆ กล่าวทักทายแล้วเพิ่งจะปิดประตูห้องนอน อี้เป่ยซีก็กระโดดลงมาจากอ้อมอกของเขา ขาทั้งสองยังคงเมื่อยเล็กน้อย มองเขาด้วยความโมโห “รีบกลับไปซะ รีบกลับไป ที่นี่ไม่ต้อนรับนาย”
“อย่าโมโหไปเลย” เขายิ้มพร้อมก้าวไปข้างหน้า กอดเธอไว้ “ถ้ายังไงคราวหน้าให้เธอรังแกฉันดีหรือเปล่า?”
“ฉัน…” อี้เป่ยซีงหงุดหงิด เธอเป็นเด็กผู้หญิงไร้เรี่ยวแรงคนหนึ่ง จะไปรังแกผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาได้อย่างไร! เธอคว้าแขนของลั่วจื่อหานแล้วกัดลงไป กล้ามเนื้อแข็งๆ นั้นทำเอาปากของเธอเจ็บเล็กน้อย
ลั่วจื่อหานลูบหัวของเธอ “พอได้แล้ว อยู่บนรถยังกัดไม่พอหรือไง?”
“นายๆๆ…ลั่วจื่อหานนายมันคนอันธพาล”
“เมื่อกี้ก็เล่นกับอันธพาลอย่างมีความสุขไม่ใช่เหรอ?” อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นทันที มองดูรอยยิ้มในดวงตาที่เหมือนสระน้ำของลั่วจื่อหาน ราวกับเงาจันทร์บนพื้นผิวทะเลสาบที่ล้ำลึกและเงียบสงบ ชวนให้น่าประทับใจ เธออึ้งไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งใบหน้ารู้สึกเจ็บปวดจึงดึงสติกลับมา
“อย่าหยิกแก้มฉัน” อี้เป่ยซีดึงมือของเขาออก ยังคงมีท่าทางขุ่นเคือง
‘ทำไมนะ เวลาที่เธออยู่กับลั่วจื่อหานมีแต่ช่วงเวลาที่ถูกรังแกหรือไง? เลิกเถอะๆ แบบนี้ชักจะไม่ไหวแล้ว’ อี้เป่ยซีพุ่งไปที่เตียง กลิ้งไปมาสองรอบ
“งานแถลงข่าวของหลานฉือเซวียนพรุ่งนี้ ฉันไปรับเธอไหม?” ลั่วจื่อหานนั่งลงข้างเธอ มือที่เห็นกระดูกชัดจนเล่นกับผมของเธอ
อี้เป่ยซีหลุบตาลง “คือว่า นายเล่าสถานการณ์ของพรุ่งนี้ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม?”
“อยากรู้อะไรเหรอ?”
“ถังเสวี่ย” อี้เป่ยซีเอ่ยชื่อนี้ออกมาด้วยความแน่วแน่เป็นอย่างมาก เธออยากรู้จริงๆ ว่าคุณลุงหลานจะได้เข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหันหรือเปล่า หลานฉือเซวียนจะถูกบังคับให้ยอมรับความจริงนี้อย่างจนใจหรือไม่ เธอยังรู้อีกว่าคนอย่างเซี่ยเช่อ ถ้าเขาจริงจังขึ้นมาเมื่อไร แม้แต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็จะไม่ปล่อยผ่าน
ลั่วจื่อหานล้มตัวลงนอนข้างเธอ นอนตะแคงมองใบหน้าด้านข้างของเธอ “เธอวางใจเถอะ มันจะไม่เกิดเรื่องที่เธอกังวลแน่นอน”
“แต่ว่า ไม่งั้นจะทำอะไรได้ล่ะ? ที่จริงก่อนหน้านี้ฉันก็รู้สึกว่า ความพยายามแบบผิวเผินก็เป็นทางเลือกที่ดีนะ จะได้ไม่มีใครสูญเสีย แต่พวกเขาสองคนก็จะได้รับเจ็บปวดอยู่สักหน่อย”
“นี่ไม่ใช่ความเจ็บปวดนิดหน่อยนะเป่ยซี” ลั่วจื่อหานจูงมือของเธอ มือเล็กๆ ที่อยู่ในฝ่ามือใหญ่ของเขานั้นดูเล็กและอ่อนแอเป็นพิเศษ “เธอไม่เชื่อมั่นใจตัวพวกเขาเลย”
อี้เป่ยซีตัวแข็งทื่อ อ้ำๆ อึ้งๆ “แต่ แต่ว่า ก็แค่บอกว่าสมมติไม่ใช่เหรอ การเลือกวิธีที่ปลอดภัยก็ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ…” เสียงของเธอยิ่งต่ำลงทุกที เธอก็รู้ว่านี่เป็นทัศคติที่ขี้ขลาดและปอดแหกแค่ไหน ลั่วจื่อหานบีบมือของเธอ
“อืม ฉะนั้นตอนนี้นะเป่ยซีไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เรื่องอื่นยกให้ฉันเถอะ” อี้เป่ยซีได้ยินแล้วก็ชักมือออก พลิกตัวหันไปหาเขา แต่กลับไม่กล้ามองคนผู้เย่อหยิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยตรง แต่มองไปที่คางของเขาแทน
“ลั่วจื่อหาน เวลาที่อยู่กับฉันนายเหนื่อยหรือเปล่า ฉันไม่รู้จักทำอะไรด้วยตัวเอง ทุกครั้งฉันก็อยากให้มันเป็นเหมือนเดิมและหนีปัญหาหลายอย่าง หรือแม้แต่เดินถอยหลังหรือหนีไปที่อื่น”
ลั่วจื่อหานยื่นมือกอดเธอ กลิ่นหอมหวานไหลเข้าโพรงจมูก “ไม่เหนื่อย เป่ยซีเป็นเด็กดีตลอดและยืนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา ไม่เดินไปข้างหน้า ไม่วิ่งไปทั่ว ไม่ไปสำรวจเขตย่านใหม่ๆ ฉันก็จะมั่นใจได้ว่าเธอปลอดภัย แล้วไปหาเธอที่ทางออกอย่างสบายใจ”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “แบบนี้ก็ดีแล้ว ดีมากๆ เลย”
แบบนี้เขาจึงจะสามารถดึงเซี่ยเซี่ยจากอดีตมาสู่ปัจจุบันได้ เขาจึงจะสามารถยืนตรงหน้าอี้เป่ยซีได้ทุกที่ที่ไร้ความแน่นอนและอันตราย
เขาก็ชอบการที่ไม่ทำอะไรแบบนี้ มันจะไม่เกิดอุบัติเหตุและไม่มีตัวแปรใดๆ
เมื่อสิ่งที่อยู่นอกเหนือสถานการณ์และอุบัติเหตุทั้งหมดล้วนเป็นไปตามเหตุและผลของเขา เขาก็จะยิ่งหาวิธีแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
“ลั่วจื่อหาน” อี้เป่ยซีถูไถอยู่ในอ้อมอกของเขา “นายดีจังเลย”
จู่ๆ มือที่กอดเธอบีบแน่น เสียงที่หดหู่ดังขึ้นเหนือศีรษะของอี้เป่ยซี “อย่าขยับ”
อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงความแน่นตึงของคนข้างกาย หน้าแดงก่ำ “นายมันอันธพาล”
งานแถลงข่าวของหลานฉือเซวียนถูกกำหนดไว้ตอนบ่ายสองโมง อี้เป่ยซีรอรถที่คุ้นเคยอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยนานแล้ว รถสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ อี้เป่ยซีวิ่งเข้าไปด้วยความดีใจ หน้าต่างฝั่งคนขับเลื่อนลง อี้เป่ยซีอุทานออกมาอย่างผิดหวัง
ทำไมถึงเป็นลั่วจื่อจี้ล่ะ แล้วลั่วจื่อหานล่ะ?
“ทำไมถึงเป็นนายล่ะ พี่ชายนายล่ะ?”
คำพูดที่ลั่วจื่อจี้เตรียมมาเพื่อเอาตัวรอดนั้นติดอยู่ในลำคอ ถึงอย่างไรเขาก็นับว่าเป็นคนที่ดูดีมีสไตล์ ต้องแสดงท่าทีรังเกียจอย่างชัดเจนขนาดนี้เชียวหรือ?
เขายังไม่ทันพูดอะไร อี้เป่ยซีก็กำลังจะเปิดประตูข้างคนขับเพื่อเข้าไปนั่ง ลั่วจื่อจี้รีบห้ามไว้ “แหม คุณนาย พี่ชายของฉันอยู่ข้างหลัง ข้างหลัง เธอดูสิ…” ลั่วจื่อจี้นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาน่ะเอาม่านกั้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน ตั้งใจจะให้ตัวเองอับอายสินะ
“อ๋อๆๆ” อี้เป่ยซีลูบจมูกแล้วหัวเราะด้วยความเขินอาย “ขอโทษที ขอโทษที” เข้าไปนั่งที่เบาะหลังอย่างหงอยๆ เห็นแววตาที่เปื้อนยิ้มของเขา
“นายตั้งใจเหรอ?” อี้เป่ยซีโยนกระเป๋าไปที่เขาอย่างแรง มองดูม่านกั้นแผ่นหนา
ลั่วจื่อหานหัวเราะ “อยากให้ฉันมาเองขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เปล่าซะหน่อย นายอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย น้องชายหล่อกว่านายอีก เขามารับฉัน ฉันน่าจะดีใจมากกว่า”
“อ่อ…” ลั่วจื่อจี้ที่ขับรถอยู่ด้านหน้าก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิภายในรถเพิ่มขึ้นมากอย่างกะทันหัน ได้ยินเพียงเสียงเย็นชาของพี่ชายเขา
“จื่อจี้ต่อไปนายก็เป็นคนขับรถของอาซ้อนายก็แล้วกัน”
มือของลั่วจื่อจี้สั่น คาดว่าคงพูดให้อาซ้อผู้ดื้อรั้นของเขาฟังสินะ
เป็นไปตามคาด อี้เป่ยซีเริ่มที่จะต่อปากต่อคำกับลั่วจื่อหานจริงๆ แต่สุดท้ายก็ยังต้องพูดดีๆ กับลั่วจื่อหานแผ่วเบา ลั่วจื่อจี้ยิ้มอย่างใจเย็น
พี่ชายของเขาช่างมีความสุขจริงๆ สุดท้ายก็ยังได้อยู่กับคนที่ตัวเองชอบ เขามองดูถนนที่ว่างเปล่า ถอนหายใจยาว
มีคนที่ตัวเองชอบ อีกทั้งยังสามารถคว้าคนที่ตัวเองชอบไว้ได้ ตอนจบที่งดงามสมบูรณ์แบบใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ แบบนี้ หลานฉือเซวียน แล้วนายล่ะ นายกับเขาก็มีความสุขแบบนี้หรือเปล่า?
เมื่ออี้เป่ยซีมาถึง ในงานก็มีบรรดานักข่าวนั่งอยู่เต็มแล้ว ผู้ช่วยของหลานฉือเซวียนเห็นว่าพวกอี้เป่ยซีมาถึงแล้ว จึงนำทางพวกเขาจากทางเดินวีไอพีด้านข้างไปยังที่นั่งแถวหน้า อี้เป่ยซีมองไปยังแท่นเวทีว่างเปล่า ในใจรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ลั่วจื่อหานเหลือบมองเธอ กุมมือน้อยๆ ที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ “วางใจเถอะ มันจะไม่เป็นไร”
อี้เป่ยซีพยักหน้า หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาเป็นครั้งคราว เมื่อถึงเวลาบ่ายสองโมงยี่สิบห้า หลานฉือเซวียนจึงเดินขึ้นมาบนเวทีช้าๆ ด้านข้างยังมีคู่สามีภรรยาตระกูลหลานกับผู้ช่วยของเขาตามมาด้วย รวมทั้งคนที่มีท่าทีภูมิใจในความสำเร็จของตัวเอง ถังเสวี่ย
————