ตอนที่ 179 คืนดี (6)
เมื่อเวลาตีสามของเช้าตรู่ ลั่วจื่อหานจึงกลับมาถึงบ้านของตัวเองพร้อมร่างอันหนาวเหน็บ ห้องที่กว้างใหญ่นั้นว่างเปล่า เขาราวกับว่าถูกความว่างเปล่านี้กดทับทีละน้อยๆ ทั้งตัวเล็กและอ่อนแอ เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะวิ่งออกไปนอกประตูในวินาทีต่อมา
ลั่วจื่อหานนวดคลึงขมับของตัวเอง ทำจิตใจของตัวเองให้มั่นคง เสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงละเมออยู่ในความฝันลอยมาเข้าหูของเขา ลั่วจื่อหานเดินเข้าไปในห้องนอนตามจิตใต้สำนึกแล้ว
ประตูเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ลั่วจื่อหานวางเสื้อผ้าลงด้านข้างอย่างเบามือ เดินไปที่เตียง ใบหน้าเล็กๆ ของอี้เป่ยซีถูกอาบด้วยแสงสลัว ยังคงมองเห็นเส้นขนละเอียดอ่อนบนใบหน้า ความว่างเปล่าที่อยู่ข้างนอกถูกเติมเต็มทันใด
ช่างโชคดีเหลือเกิน ที่ฉันได้พบเธอในโลกที่กว้างใหญ่และในเวลาอันแสนสั้นเช่นนี้
เป่ยซีรู้ไหมว่าถ้าหากไม่ได้พบเธอ ถ้าหากไม่ได้หาเธอจนเจอ เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรอย่างเขาจะต่างจากสิ่งประดิษฐ์ตรงไหน
เซี่ยเซี่ยส่องสว่างวัยเด็กของเขา ส่วนอี้เป่ยซีเป็นคนถือโคมไฟและเดินไปกับเขาในความมืด
เขานึกถึงคำที่อาจารย์พูดกับเขาในวันนี้
เวลาของพวกเรามีไม่มาก ควรจะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ
อยู่กับคนที่ตัวเองชอบ แบบนั้นเมื่อเวลาที่พวกเรามองย้อนกลับไปแล้ว
จึงจะไม่เสียใจกับชีวิตที่ตัวเองเลือกเดิน
เมื่อสามารถมีเขาแล้วก็จงกอดเขาไว้ให้แน่น
ถ้าหากเขาไม่อยากหยุด ก็จงปล่อยให้เขาลอยไปตามสายลม
เธอก็คว้าเงาของเขาไว้
คว้าเสี้ยววินาทีของฉากนั้นไว้
คว้าความงามในชีวิตของเธอไว้
เขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ความงามทั้งหมดในชีวิตของเขาก็คือฉากในชีวิตของเขาเอง
ลั่วจื่อหานนั่งยิ้มอยู่อย่างนี้จนรุ่งสาง
เมื่ออี้เป่ยซีลืมตาสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือผู้ชายที่จ้องมองเธอพร้อมอมยิ้ม เสียงของเธอยังคงมีความงัวเงียเล็กน้อยและอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด “เป็นอะไรไป?” เธอสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวของลั่วจื่อหานยังเป็นตัวของเมื่อวาน “นายไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอ?”
ลั่วจื่อหานเดินไปยังอีกด้านของเตียง เปิดผ้าห่มแล้วเข้าไปนอน กอดอี้เป่ยซีไว้ในอ้อมแขน ถอนหายใจเบาๆ อี้เป่ยซีค่อยๆ ตื่นขึ้นมาแล้ว
“หืม?”
ลั่วจื่อหานไม่ได้พูดอะไร เข้าไปใกล้คอของเธอกัดอย่างนิ่มนวลแล้วปล่อย กลิ่นหอมละลายอยู่ระหว่างปากและฟัน
“วันนี้นายเป็นอะไรไป ทำไมถึงติดฉันหนึบแบบนี้?”
“เป่ยซี…”
“หืม?”
“เมื่อคืนฉันไปหาอาจารย์มา”
อี้เป่ยซีเกี่ยวมือของเธอ น้ำเสียงของเขามีความผิดหวังเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังกังวลอะไรอยู่ “เป็นอะไรไป? อาจารย์บอกให้นายดูแลฉันให้ดี อย่าให้คนอื่นพาหนีไปเหรอไง?”
“ประมาณนั้นแหละ”
เดิมทีเธอต้องการจะหยอกลั่วจื่อหาน คิดไม่ถึงว่าเขาจะไหลไปตามน้ำแล้ว มือที่เรียวเล็กออกแรงเล็กน้อย มันผนึกแน่นอยู่บนมือของเขาจนกลายเป็นเส้นตรงสองเส้นที่มาบรรจบกัน “อาจารย์นายไม่รู้จักฉันสักหน่อย พูดเหลวไหลอะไร”
ลั่วจื่อหานปล่อยตัวไปตามการเคลื่อนไหวของเธอ แขนทั้งสองข้างกอดเธอแน่น “เป่ยซี มีเธออยู่มันดีจริงๆ จริงๆ นะ”
“นายเป็นอะไรไป?”
“อาจารย์อาจจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”
เสียงของอี้เป่ยซีถูกสกัดกั้นทันใด แม้เธอไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างลั่วจื่อหานกับอาจารย์ของเขาเป็นอย่างไร แต่จากคำพูดปกติแล้วก็สามารถมองเห็นความเคารพรักที่เขามีต่ออาจารย์ตัวเอง คนที่ลั่วจื่อหานเคารพมีไม่มากนัก แต่เมื่อเคารพใครแล้วก็มาจากใจจริงเป็นที่สุด
“นาย…ชะตาฟ้าลิขิต นาย…ก็อย่า…”
“ฉันรู้ ฉันรู้ แต่ว่าพอเห็นชีวิตของอาจารย์ที่ไหลไปเหมือนนาฬิกาทราย แต่ฉันกลับทำอะไรไม่ได้เลย ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ได้แต่มองดู ฉันถึงรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กและน่าหดหู่แค่ไหน”
“บางทีจุดจบในตอนนี้อาจเป็นการเริ่มต้นใหม่ก็ได้นะ”
“เป่ยซี เวลาที่พวกเราอยู่ด้วยกันมันสั้นมากๆ จริงๆ เหมือนเวลาที่ใครบางคนแค่กระพริบตาหรือหันมา ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันเป็นภาพลวงตาและน่ากลัวมาก อนาคตมันเปราะบางเกินไป…”
อี้เป่ยซีก้มหน้า เธอก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเพราะคำพูดของลั่วจื่อหาน แต่ประโยคต่อไปของเขาทำให้ความคิดเชิงลบที่ก่อตัวขึ้นหายไปทันที
“เป่ยซี แต่งงานกับฉันเถอะ” ไม่รู้ว่าแหวนงานปราณีตมาอยู่ในมือของลั่วจื่อหานตั้งแต่เมื่อไร คงจะเก็บไว้กับตัวนานแล้ว บนเนื้อโลหะจึงอบอุ่นด้วยอุณหภูมิของเขา ราวกับจะสามารถเผาไหม้คนได้อย่างไรอย่างนั้น มือของอี้เป่ยซีกระตุกเล็กน้อย
เพราะเซี่ยเช่อพูดอะไรกับลั่วจื่อหานหรือเปล่า ทำไมจู่ๆ ถึงมาขอแต่งงานล่ะ? เธอยังไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้เลยนะ ตอนนี้เธอจะเป็นคู่หมั้นที่ดีของเขาได้หรือเปล่า?
แล้วก็นอนขอแต่งงานบนเตียง มันไม่เป็นทางการไปหน่อยหรือเปล่า จะว่าไปแล้วก็ควรเลือกสถานที่ที่มันใช้ได้หน่อยนี่นา
ทำไมถึงปล่อยให้เธอทำเรื่องที่ควรจะเป็นสิ่งที่พิเศษและสวยงามที่สุดในชีวิตตอนที่เธอยังไม่ได้ล้างหน้า ฟันก็ยังไม่ได้แปรง และสภาพก็ดูไม่ได้แบบนี้…
“เป็นอะไรไป?”
“ทำไมถึงไม่จริงจังแบบนี้?” อี้เป่ยซีดันตัวเองลุกขึ้นนั่งบนเตียง “ฉัน…ฉันโตป่านนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นคนที่รับปากแต่งงานด้วยสภาพรุงรังแบบฉันเลย”
ลั่วจื่อหานก็ลุกขึ้นนั่งด้วย ปล่อยให้อี้เป่ยซีซบอยู่บนหน้าอกของตัวเอง “เธออยู่ในสภาพไหนก็สวยทั้งนั้น”
“แบบนั้นก็ไม่ได้หรอกนะ อย่างน้อยตอนนี้ไม่ใช่ตอนที่ฉันสวยที่สุด ไม่ได้ ไม่มีความเป็นพิธีรีตองเอาซะเลย” ทันใดนั้นราวกับอี้เป่ยซีนึกอะไรบางอย่างได้ “นี่ พวกเราพูดถึงอาจารย์ของนายไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงกลายมาเป็นเรื่องนี้ได้ล่ะ”
ลั่วจื่อหานเล่นกับแหวนที่อยู่ในมือ “เวลามันสั้น ถ้าเป็นสามีภรรยาเพิ่มขึ้นได้อีกวันก็เป็นซะ ถ้าเธอไม่ยอมรับ งั้นฉันเอาคืนนะ?”
“ลั่วจื่อหาน! นายนี่มันชอบทำอะไรเกินความสามารถ! ฉันไม่เคยคนขอแต่งงานแบบนายเลย หน้าไม่อายจริงๆ”
“แล้วคุณนายลั่วจะเต็มใจหรือเปล่า”
อี้เป่ยซีรู้สึกทั้งโมโหทั้งขำ ยื่นมือของตัวเองออกมา เพชรระยิบระยับเปล่งประกายแวววาวบนมือที่เรียวบาง มันส่องแสงด้วยตัวของมันเอง ราวกับว่าจะใช้นิจนิรันดร์ของหินมาเป็นสักขีพยานในการแสวงหานิจนิรันดร์ของช่วงชีวิตอันแสนสั้น อวยพรให้พวกเขามีชีวิตที่งดงามและยืนยาวดังสายรุ้ง
“ต่อไปต้องเรียกว่าคู่หมั้นแล้ว”
“ได้สิพ่อคู่หมั้น”
อี้เป่ยซีมองมือของตัวเองตลอดเวลา รอยยิ้มราวกับว่าจะไม่มีวันหายไปจากใบหน้า ลั่วจื่อหานกุมมือของเธอ สิบนิ้วประสานกัน เพชรที่นูนขึ้นมาอยู่ในฝ่ามือของเธอพอดิบพอดี มีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
“บ่ายนี้ ไปเยี่ยมอาจารย์ด้วยกันกับฉันดีไหม?”
อี้เป่ยซีพยันหน้า แล้วก็ลังเลเล็กน้อย “แต่ว่า อาจารย์ของนาย…จะชอบฉันไหม?”
“ชอบสิ ต้องชอบแน่นอน เธอวางใจเถอะ เธอเป็นคนที่คู่ควรแก่การชอบที่สุดในโลกนี้แล้ว ไม่มีใครไม่ชอบเธอหรอก”
“ทำไมช่วงนี้นายพูดเก่งจัง?”
“ไม่ชอบเหรอ?”
อี้เป่ยซีส่ายหน้า “ก็แค่รู้สึกว่ามีความสุขมาก แต่ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยสมจริงเท่าไร…นี่คือสิ่งที่ฉันใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อได้มาใช่ไหม? มันเป็นความสุขที่ฉันควรได้รับและจะไม่จากไปไหน ใช่หรือเปล่า?”
————