บทที่ 190 ความโกลาหล (4)
อี้เป่ยเฉินลังเลครู่หนึ่ง ยังคงเอ่ยปากอย่างสง่างาม “ต้องการฉันช่วยไหม?”
ลั่วจื่อหานหมุนๆ ถ้วย แสดงรอยยิ้มเหยียดหยาม “สู้กับพวกเขา ยังไม่ต้องหรอก” เขาดื่มชาไปอึกหนึ่ง ชาอุ่นๆ ไหลจากช่องปากลงสู่หลอดอาหารแล้วเข้าไปในช่องท้อง เชื่อมต่อกันอย่างช้าๆ “ช่วงนี้นายเจอฉินรั่วเข่อบ้างไหม?”
อี้เป่ยเฉินชะงักอยู่ที่เดิม ราวกับว่ามีคนสะกิดบาดแผลที่เพิ่งหายดี จนน้ำเน่าและหนองที่มีสนิมเขรอะไหลออกมา เขาส่ายหน้า แต่ในใจกลับเป็นกังวล “แล้วเขาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”
“เปล่า” ลั่วจื่อหานส่ายหน้าด้วยความสงบมาก “ลู่เยี่ยจิ่งบอกว่า ตอนนี้ฉินรั่วเข่ออยู่กับพวกเขา ฉันก็แค่คิดว่าควรจะบอกนายสักคำ”
“มีอะไรน่าบอกฉัน” อี้เป่ยเฉินหันหลัง แอบกำหมัดแน่น “ก็แค่คนไม่เกี่ยวข้องกัน”
“นายไม่รู้เหรอ?”
“รู้อะไร?”
เขากระแอมไอ “ฉินรั่วเข่อท้องแล้ว”
ถ้วยในมือตกลงพื้นเสียงดังเพลี้ยง มันแตกกระจัดกระจาย น้ำชาสีเขียวเลอะอยู่บนกางเกงสีขาวบริสุทธิ์ ดูเหมือนคราบน้ำตาที่ถูกทิ้งไว้เป็นเวลานาน
จู่ๆ ภาพของดวงตาที่เปื้อนน้ำตาคู่หนึ่งวูบผ่านในสมองของอี้เป่ยเฉิน มันสุกใสเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า แต่กลับเต็มไปด้วยความเศร้าโศกของโลกใบนี้
ก่อนหน้านี้ฉินรั่วเข่อเคยมาหาเขา ตอนนั้นอี้เป่ยเฉินยังคงกำลังคิดถึงเรื่องของอี้เป่ยซี และโกรธผู้หญิงคนนี้อยู่บ้าง จึงได้ปฏิเสธการขอพบหน้าของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่แท้ก็อยากคุยกับเขาเรื่องนี้หรอกเหรอ?
แล้วจะทำยังไงได้ เขาเองจะต้องไม่ปล่อยให้เธอเก็บเด็กคนนี้ไว้ล่ะมั้ง…
“เขาเป็นไงบ้าง?”
“ยังไม่รู้ ได้ข่าวว่าไปคลอดที่ไหนสักแห่งแล้ว”
อี้เป่ยเฉินพยักหน้า ทั้งสองคนนิ่งเงียบไม่ได้คุยกันอีก ลั่วจื่อหานนั่งต่ออีกครู่หนึ่ง จึงอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน
ไฟบนตึกสูงยังคงส่องสว่าง มีเพียงรถสองสามคันที่แล่นไปอย่างเนิ่บๆ บนถนนที่กว้างใหญ่ ลั่วจื่อหานประคองพวงมาลัย เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงในหูฟังดังขึ้น
“พวกนายทำงานกันแบบนี้เหรอ? หาไม่เจอ?”
“คุณชาย เพราะผมทำงานไม่ดีเอง เชิญคุณชายลงโทษเถอะครับ”
“ลงโทษ ถ้าการลงโทษชดเชยการสูญเสียได้ ลงโทษนายแค่ไหนก็ไม่พอ” ลั่วจื่อหานรอไฟแดงอย่างหมดความอดทน “ยังมีอะไรอีก”
ทางนั้นอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ได้พูดออกมา ราวกับว่ากำลังลังเลว่าจะบอกเขาดีหรือเปล่า
“คิดจะปิดบังอะไรฉัน?”
“เปล่าครับ…เพียงแค่ ผม ผมเจออีกเรื่องเข้า ไม่รู้ว่าจะบอกคุณชายดีไหม”
“พูดมาเถอะ”
เมื่อได้ยินการอนุมัติ คนทางนั้นจึงรวบรวมความกล้า “พวกเราสงสัยว่า พ่อแท้ๆ ของคุณหนูอี้ เหมือนก็เคยฉลองวันหยุดกับพวกเขามาก่อนเหมือนกัน ในวันที่สามของการสืบสวนของเขา ก็เกิดอุบัติเหตุ…”
รถหยุดกระทันหันกลางถนน ลั่วจื่อหานส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ
“ฉะนั้น เป็นไปได้ว่าบ้านฉู่…”
“ไม่ต้อง” ลั่วจื่อหานตัดบทเขา “นายไม่ต้องยุ่งเรื่องของบ้านฉู่ ก็แค่เด็กที่ถูกทิ้ง พวกนายตั้งใจสืบเถอะ”
ทางนั้นตอบรับแล้วรายงานเรื่องสถานการณ์ล่าสุด ลั่วจื่อหานจึงวางสายด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย
ทำไมจะต้องเป็นเรื่องของอี้เป่ยซีวกไปวนมาทุกครั้งด้วย ทำไมถึงหนีไม่พ้น ลั่วจื่อหานเหยียบคันเร่งแรงกว่าเดิม
ถ้าหากเธอรู้เรื่องนี้…คงจะต้องเสียใจมากสินะ
เป่ยซีเอ๋ย เป่ยซี ฉันจะต้องทำยังไงจึงจะสามารถดูแลเธออย่างสมบูรณ์โดยไม่มีปัญหาใดๆ
สุดด้ายแล้วอี้เป่ยซีไม่ได้รับปากคำขอของหลานหมิงเจิ้ง ขณะที่เขาโทรมาเป็นครั้งที่สอง เธอกำลังกินของหวานอยู่ในรถของลั่วจื่อหาน แอบดูหมายเลขผู้โทรโดยไม่ได้ตั้งใจ อุณหภูมิในรถลดฮวบลงทันใด
“คุณลุงหลาน”
“เป่ยซี เธอคิดเรื่องนั้นไปถึงไหนแล้ว?”
อี้เป่ยซีดึงทิชชู่เปียกออกมาเช็ดปาก “คุณลุงหลาน เรื่องนั้นฉันไม่สะดวกจริงๆ ค่ะ” เธอแอบมองลั่วจื่อหาน สายตาของลั่วจื่อหานจ้องไปข้างหน้าโดยไม่วอกแวก สีหน้าบึ้งตึง
“งั้น งั้นก็ได้” พูดไม่กี่คำก็วางหู ทำเอาอี้เป่ยซีสับสน
“ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้” อี้เป่ยซีหยิบเค้กชิ้นเล็กออกมาจากกล่อง บ่นงึมงำ “ไม่มีความแน่วแน่เลย”
ลั่วจื่อหานหันมามองเธอ “เธอยังอยากรับปากเหรอ?”
“ลั่วจื่อหาน ตอนนี้นายมีความผิดติดตัว ทำตัวดีๆ หน่อยนะ” พูดจบก็ใช้มือที่เปื้อนครีมจิ้มไหล่ของเขา ทิ้งรอยกลมจางๆ ไว้
“งั้นฉันต้องทำยังไงถึงไถ่ถอนความผิดได้” เขาโน้มตัวเข้ามา ลมหายใจอุ่นๆ รดอยู่บนแก้มที่เรียบลื่นของเด็กสาว ใบหน้าสีขาวแดงระเรื่อไปชั่วขณะ
เธอจ้องเขาเคืองๆ “จะเข้ามาใกล้แค่ไหนก็ไม่ได้” ลั่วจื่อหานไม่ฟัง ยังคงค้างอยู่ที่ท่าเดิม แววตาเป็นประกาย อี้เป่ยซียื่นเค้กมาที่ปากของเขาอย่างลุกลี้ลุกลน “อยากกินเค้กก็รีบพูดสิ อย่าขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า”
ลั่วจื่อหานหัวเราะ งับเค้กที่อี้เป่ยซีกินไปแล้วครึ่งหนึ่ง ปลายลิ้นสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วของเด็กสาวที่เย็นเฉียบเล็กน้อย อี้เป่ยซีรีบหดมือกลับ
แย่แล้วๆ ไม่เห็นต้องเป็นขนาดนี้มั้ง อยู่ด้วยกันตั้งนานแล้ว ทำไมถึงยังเป็นเหมือนเด็กสาวที่เพิ่งมีความรักเลยล่ะ ก็แค่เลียโดยนิ้วเท่านั้น ทำไมหัวใจถึงได้เต้นแรงแบบนี้
อี้เป่ยซีปิดกล่องด้วยความโกรธ เช็ดๆ มือ แต่ลั่วจื่อหานที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนอารมณ์ดีมาก
“หยุดขำได้แล้ว มีอะไรน่าขำกัน”
“เป่ยซี”
“หืม…” จู่ๆ ลั่วจื่อหานก็โน้มตัวมา จูบคนที่คิดถึงมาเนิ่นนาน อี้เป่ยซีโอบคอของเขา อุณหภูมิในรถสูงขึ้นฉับพลัน รสชาติหอมหวานลอยเต็มอยู่ในอากาศ
ทันใดนั้นอี้เป่ยซีก็อุทานด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าลั่วจื่อหานกดสวิตช์ตั้งแต่เมื่อไร เบาะพนักเก้าอี้เอนตัวลง ยังไม่ทันรอให้อี้เป่ยซีตอบสนอง ลั่วจื่อหานก็ทับอยู่บนตัวเองเธอแล้ว จูบแห่งความคิดถึงก่อนหน้านี้กลายเป็นความเร่าร้อน มันอ้อนอิ่งอยู่ที่คาง คอ และทรมานกระดูกไหปลาร้าของเธออย่างหนักหน่วงและเนิ่นนาน
“เป่ยซี” น้ำเสียงของลั่วจื่อหานแหบแห้งเล็กน้อย กระซิบชื่อของเธออยู่ข้างหูของเธอ
บางอย่างที่ผิดแปลกผุดขึ้นในดวงตาของอี้เป่ยซี น้ำใสๆ นั้นทำให้ดูน่าสงสารเป็นพิเศษ ลั่วจื่อหานหวั่นไหว จูบดวงตาของเธอ
“ได้หรือเปล่า?”
“ไม่…” เสียงในตอนท้ายถูกกลืนเข้าไปในท้อง…
อี้เป่ยซีครุ่นคิดตลอดทางกลับบ้าน ช่วงนี้เธอดีกับเขามากเกินไปหรือเปล่า ลั่วจื่อหานได้ถึงเริ่มได้คืบจะเอาศอก เธอทำหน้าบึ้งตึง จ้องคนที่ขับรถเป็นครั้งคราว
มันจะมากเกินไปแล้วนะ ไม่สนใจความคิดเธอเลยสักนิด
มันน่าขายหน้ามากนะ โอเคไหม
รถจอดอยู่ที่หน้าประตูของเขตจิ่นหยวน อี้เป่ยซีแค่อยากซุกตัวอยู่บนเก้าอี้ ไม่อยากจากไปแม้แต่ก้าวเดียว
ลั่วจื่อหานเฮงซวย ต้องโทษนายคนเดียว
เมื่อจอดรถแล้วเห็นว่าคนข้างๆ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ลั่วจื่อหานโน้มตัวเข้าไปหา “จะให้ฉันอุ้มเธอกลับไปไหม?”
อี้เป่ยซีส่งสายสายตาประมาณว่า ‘ฉันเห็นหน้านายแล้วไม่สบอารมณ์’ ให้เขา สีหน้ายังคงบึ้งตึง “ไม่ต้อง ฉันเดินเองได้” เอื้อมมือเปิดประตู เกาะประตูรถแล้วจึงค่อยๆ ยืนอย่างมั่นคง ลั่วจื่อหานอาศัยจังหวะนี้เดินเข้าไปหาเธอ อุ้มเธอขึ้นมา
“เธอแกล้งหลับก็ได้ อี้เป่ยเฉินไม่ว่าอะไรหรอก”
“ใครเขานอนป่านนี้กัน!”
————