บทที่ 192 ความโกลาหล (6)
มือของอี้เป่ยซีที่จับลั่วจื่อหานอดไม่ได้ที่จะสั่นไหว ลั่วจื่อหานก็ออกแรงเล็กน้อยเช่นกัน เธอจึงเบาใจขึ้นมาบ้าง
ในเมื่อพูดขนาดนี้แล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรแล้ว
พิธีกรบนเวทีปูทางด้วยถ้อยคำโบราณแสนคลุมเครือชุดหนึ่ง อี้เป่ยซีรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย มองไปยังหลานฉือเซวียนและพบว่าจิตใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มองลงมาด้านล่างเวทีตลอดเวลา ราวกับว่ากำลังมองหาใครสักคน อี้เป่ยซีมองซ้ายมองขวาไปตามสายตาของเขา
ดูเหมือนว่าขาดใครไปสักคน แต่ว่าในตอนนั้นก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร เธอมองลั่วจื่อจี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องคนบนเวทีอย่างเป็นประกายโดยไม่ซ่อนเร้นเลยแม้แต่น้อย อี้เป่ยซีสูดหายใจลึกโดยไม่รู้ตัว ไม่ทันเห็นสายตาที่เหลือบมองจากคนข้างๆ
“เป็นอะไรไป?” ลั่วจื่อหานหันตัวไปข้างๆ แล้วเข้าไปใกล้เธอ อี้เป่ยซีเอนศีรษะเข้ามาใกล้หูของเขา
“ฉันรู้สึกว่าน้องชายนายแปลกๆ”
ลั่วจื่อหานกวาดตามองลั่วจื่อจี้ “ไม่มีอะไร ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
“แล้ว นาย ลั่วจื่อจี้ กับหลานฉือเซวียนเคยมี…จริงเหรอ?”
เขาพยักหน้า ลั่วจื่อจี้ที่อยู่ข้างๆ ราวกับรู้สึกว่าคนข้างกายกำลังพูดถึงเขา หันมองพี่ชายตัวเองด้วยความสงสัยเล็กน้อย กระพริบตา หลังจากลั่วจื่อหานส่งสายตาว่า ‘ไม่เกี่ยวกับนาย’ แล้ว เขาจึงเทความสนใจทั้งหมดไปที่หลานฉือเซวียน
วันนี้หลานฉือเซวียนใส่สูทสีดำ แม้ว่าใบหน้าจะอิดโรยเล็กน้อยแต่ก็ยากที่จะซ่อนเสน่ห์ที่โดดเด่นของเขา ร่องรอยตกสะเก็ดที่หน้าผากยิ่งเพิ่มความดิบเถื่อนขึ้นมาบ้าง ลั่วจื่อจี้มองเขานานแล้ว และสังเกตเห็นว่าแววตาคู่นั้นไม่ได้มองมาที่ตัวเองเลย
ตอนนี้หลานฉือเซวียนละเลยเขาโดยสิ้นเชิง ลั่วจื่อจี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ‘หลานฉือเซวียน วันนี้อย่าทำให้ฉันผิดหวังจะดีที่สุด ยังมีเซี่ยเช่อคนนั้น พวกนายสองคน ถ้าจัดการแม้แต่เรื่องเล็กๆ แบบนี้ไม่ได้ล่ะก็ ฉันก็จะไม่ยอมจะ ไม่ยอมให้พาหลานฉือเซวียนจากไปทั้งแบบนี้จริงๆ’
ก็เหมือนกับที่เขาคิดเมื่อก่อน ที่จะพาเขาไปในทุกที่ที่พวกเขาสองคนชอบ
แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่หลานฉือเซวียนชอบอีกต่อไปแล้ว
ถังเสวี่ยมองหลานฉือเซวียนบนเวทีตลอดเวลาโดยไม่ซ่อนเร้นความชอบของตัวเองเลย แสดงอาการเหมือนเป็นเจ้าสาวผู้มีความสุข จนกระทั่งพิธีกรส่งงานแถลงข่าวต่อให้พวกเขา ถังเสวี่ยกำลังจะเอ่ยปากก็ถูกหลานฉือเซวียนขัด เสียงที่ชัดเจนของเขาดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่
“ผมแค่คิดไม่ถึงว่า เรื่องส่วนตัวของผมจะถูกเปิดโปงและแม้แต่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัท ในจุดนี้ ผมอยากจะขอโทษทุกท่าน ขอโทษที่ทำให้พวกท่านได้รับผลกระทบที่ไม่ดีแบบนี้ ขอโทษบริษัทที่เจอเรื่องไม่คาดฝันมากมายเพราะผม ขอโทษ ที่ผมจะทำให้งานแถลงข่าวนี้วุ่นวายในภายหลัง”
เสียงปั่นป่วนดังมาจากด้านล่างเวทีเป็นระลอก สายตาของหลานฉือเซวียนเย็นชา เขาพูดต่อ “สิ่งที่สำคัญกับคนขับรถคือทักษะการขับรถของเขา สิ่งที่สำคัญกับช่างเย็บเสื้อคือฝีเย็บของเขา สิ่งที่สำคัญกับจิตรกรคือฝีปากกาของเขา แล้วประเด็นสำคัญของผู้ประกอบการคือรสนิยมทางเพศของเขางั้นเหรอครับ? งั้นทำไมทุกคนที่นั่งอยู่ยังต้องถือกล้องถ่ายรูป หรือแม้แต่เร่งทำต้นฉบับในชั่วข้ามคืนด้วยล่ะครับ?”
“ผมไม่ยอมรับสิ่งที่ทางบ้านจัดหามาให้ ผมไม่มีความจำเป็นต้องล้างภาพลักษณ์ของตัวเองต่อหน้าสื่อ และยังคงแอบทำสิ่งที่พวกคุณคิดว่า ‘ขยะแขยง’ อยู่ลับหลัง ผมก็เป็นแบบนี้ ผมจะชอบอะไร อยากอยู่กับใคร มันไม่ได้ก้าวก่ายพวกคุณ และไม่ได้ก้าวก่ายทุกการตัดสินใจที่ผมมีต่อบริษัท”
“ผมไม่ได้ทำร้ายใคร? ถ้าหากจะบอกว่าผมไปทำอะไรผิดเข้า งั้นก็ต้องขอโทษจริงๆ ก่อนหน้านี้พ่อแม่ผมก็ไม่รู้เรื่องนี้ มันมาจากโฆษณาชวนเชื่อที่เกินจริงของพวกคุณ ไม่ได้มาจากพฤติกรรมของผมหลานฉือเซวียนเลย”
“ผมไม่ได้จะบอกว่าเพราะส่วนตัวแล้วผมไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้ไม่ดีตรงไหน ผมแค่คิดว่ามันไม่ได้มีความจำเป็น พวกคุณอยากรู้ก็รู้ไป รู้แล้วก็จบ แต่ผมรู้ว่าพวกคุณจะไม่จบ สนุกจะตาย เรื่องแบบนี้เป็นหัวข้อโปรดของพวกคุณไม่ใช่เหรอ?”
“ผม หลานฉือเซวียน ชอบเซี่ยเช่อ และอยากอยู่กับเขา ไม่ได้ทำผิดต่อใคร และไม่ได้รบกวนใคร ถ้าผมไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญที่จะยอมรับตรงจุดนี้ งั้นกรรมการบริษัทของพวกเราก็ควรจะพิจารณาว่าจะถอนหุ้นหรือไม่” สายตาที่หลานฉือเซวียนมองด้านล่างเวทีเป็นครั้งสุดท้ายนั้นเจือปนความเหยียดหยามเล็กน้อย
“จบงานแถลงข่าว” พูดจบก็ก้าวเท้าลงจากเวที โดยไม่สนใจหลานหมิงเจิ้งที่มีสีหน้าหมองคล้ำรวมถึงพิธีที่ทำตัวไม่ถูกอยู่ข้างๆ เขาเดินเข้าไปด้านหลังในขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงงัน หายลับไปจากสายตาของผู้คน เสียงหายใจดังหึ่งอยู่ในห้องโถงใหญ่
“กลับกันเถอะ” อี้เป่ยซียังไม่ทันดึงตัวเองกลับมาจากการยั่วยุอย่างเปิดเผยของหลานฉือเซวียน ลั่วจื่อหานก็จูงมือของเธอต้องการจะดึงเธอให้ลุกขึ้น จากนั้นด้านล่างเวทีก็เริ่มปั่นป่วน แต่ว่าตัวชูโรงไม่อยู่ในงานแล้ว
ลั่วจื่อหานพาอี้เป่ยซีออกมาจากห้องโถงแล้ว เดินไปตามทางก่อนหน้านี้
“สุดยอด หลานฉือเซวียนหล่อระเบิดไปเลย ว้าว เยี่ยมมาก เยี่ยมมากๆ เลย”
“อืม”
“ทำไมนายถึงเย็นชาแบบนี้ นายไม่ดีใจกับพวกเขาสองคนเหรอ?”
ลั่วจื่อหานพยักหน้า “ดีใจ”
ดวงตาของอี้เป่ยซีเหมือนกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว มองลั่วจื่อหานด้วยรอยยิ้มสดใส ใบหน้าที่เย็นชาของเขาก็กลับมีรอยยิ้มที่สดชื่น “นายยิ้มแล้วดูดีขึ้นเยอะเลย”
“ฉันได้ไม่ยิ้มกับเธอบ่อยๆ เหรอ?”
เธอก้มหน้าครุ่นคิด ก็เหมือนจะบ่อยนะ “แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่พอนี่นา”
ลั่วจื่อหานกอดเธอ พูดเสียงต่ำ “เป่ยซี ตอนนี้เราอยู่ข้างนอกนะ”
“ใช่ ฉันรู้”
“เธอไม่ถือเหรอ?” คิ้วของลั่วจื่อหานเลิกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มเอ่ย อี้เป่ยซีจึงเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของเขา ผลักเขาออกจากตัวเองทันทีแล้ววิ่งออกไป
หลังจากหลานฉือเซวียนออกมาแล้วก็พุ่งไปที่ลานจอดรถโดยตรง มองจากที่ไกลๆ เห็นใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างรถของตัวเอง แววตาของเขามืดมนลง เดินเข้าไป
“ไม่เจอกันนานเลย”
ลั่วจื่อจี้ได้ยินเสียงของเขาก็เงยหน้าขึ้น ผ่านไปเนิ่นนานจึงยิ้มออกมา มันเจือปนความโล่งใจที่หลอมละลายอดีต หลอมละลายรักโลภโกรธหลงในอดีต “ไม่เจอกันนานเลย ฉือเซวียน”
หลานฉือเซวียนพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก ขับรถจากไป ในใจร้อนรนเล็กน้อย ตอนนี้เขาอยากรู้ว่าเหลือเกินว่าเซี่ยเช่อจะมีอาการอย่างไรเมื่อได้เห็นและได้ชมงานแถลงข่าวครั้งนี้
ลั่วจื่อหานมองดูรถของหลานฉือเซวียนที่หายลับไปจากสายตาของตัวเองอย่างรวดเร็ว บางอย่างในหัวใจก็ได้ถูกยกออกไปด้วย เขายกมุมปากยิ้ม หลับตาลง
หลานฉือเซวียน สุดท้ายคนที่บอกลาก็คือนาย
ทั้งๆ ที่เป็นการลงเอยที่ฉันอยากได้ แต่ว่าในใจกลับอึดอัดมากจริงๆ ราวกับว่าได้ทำสิ่งของที่สำคัญหล่นหายไป อีกทั้งยังเข้าใจด้วยว่ามันไม่มีทางกลับคืนมาแล้ว
ลาก่อนนะ หลานฉือเซวียน
จู่ๆ เสียงแตรรถก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ลั่วจื่อจี้หันหลังไปก็เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของอี้เป่ยซีที่โผล่ออกมาจากหน้าต่างรถ
“คุณอาเล็ก กลับบ้านกัน”
“อื้ม” เขาเข้าไปนั่งในรถอย่างมีความสุข…
————