บทที่ 189 ความโกลาหล (3)
อี้เป่ยซีนึกไม่ถึงว่าลั่วจื่อหานจะกลับมาเร็วแบบนี้ พอวันที่สองก็เห็นเขาอยู่ที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยแล้ว ยังมีหลิงจื่อเซี่ยที่ยืนยิ้มด้วยสีหน้าเบิกบานอยู่ข้างๆ
สองคนนี้มาอยู่ตรงหน้าเธอต้องการจะทำอะไร? เธอไม่เข้าใจและไม่อยากจะไปคิด หลังลงจากรถก็ยิ้มเอ่ยลากับอี้เป่ยเฉิน แล้วเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สองคนนั้นก็ราวกับว่ามองไม่เห็นเธอ ยังคงพูดคุยหยอกเล่นกัน
‘ทำบ้าอะไรน่ะ?’ อี้เป่ยซีโยนกระเป๋าหนังสือลงบนโต๊ะ คนที่เข้ามาในห้องอ่านหนังสือก่อนหน้านี้ต่างมองไปที่เธอ อี้เป่ยซีกล่าวขอโทษด้วยใบหน้าแดงก่ำ นั่งลงพร้อมกับหดคอ
ในสมองของลั่วจื่อหานมีอะไรกันนะ? วันๆ ก่อแต่เรื่องน่ารำคาญ เขาคิดจะเอายังไงกันแน่
วันนี้ เขามาที่มหาวิทยาลัยเพียงเพื่อส่งหลิงจื่อเซี่ยสินะ?
อี้เป่ยซีขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกผิดหวังและว่างเปล่าเล็กน้อย บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร
ไม่อยากเจอเขาไม่ใช่เหรอ เขาไม่ได้มาหาเธอก็เป็นเรื่องที่ปกติมากไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอต้องสนใจขนาดนั้นด้วย อีกทั้งยังปล่อยให้เรื่องเล็กๆ แบบนี้ส่งผลต่ออารมณ์ของเธอ
อี้เป่ยซี เธอนี่ไม่เป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย
เธอสูดหายใจลึก หยิบสมุดจดออกมา เปิดพลิกไม่กี่หน้าแล้วก็ปิด
อ๊าๆๆ วันนี้เป็นอะไรกันนะ? แม้แต่สมุดจดก็หยิบมาผิดเล่ม
อี้เป่ยซีฟังการบรรยายด้วยความหงุดหงิด และไม่ยอมจดลงไปในสมุด มัวแต่เหม่อมองอาจารย์ที่บรรยายอยู่บนเวที โทรศัพท์มือถือใต้โต๊ะสั่นครู่หนึ่ง เธอหรี่ตามองดูสายเรียกเข้า
เขาส่งข้อความมาแล้ว แต่คงกลัวว่าอี้เป่ยซีจะไม่เห็นจึงได้โทรศัพท์มา อี้เป่ยซีเปิดข้อความดูตามใจชอบ มีเพียงสองคำ
“ลงมา”
‘ลงไปบ้านนายสิ เรียกฉันลงไปฉันก็ลงไปงั้นเหรอ? วันนี้พี่สาวอารมณ์ไม่ดีโอเคไหม?’ อี้เป่ยซีปิดโทรศัพท์มือถือทันที ฟังการบรรยายต่อ
ทุกคำที่อาจารย์พูดผ่านหูของเธอไปเหมือนสายลมที่พัดผ่าน เธอมองดูเวลาเป็นครั้งคราว โทรศัพท์มือถือที่อยู่ใต้โต๊ะไม่ได้ดังอีก
ทันทีที่กระดิ่งหมดคาบเรียนดังขึ้นอี้เป่ยซีก็ดึงกระเป๋าแล้วเดินลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงหน้าประตูอาคารเรียนก็หยุดเดิน เดินย่างกรายสบายๆ ราวกับว่ากำลังดื่มด่ำอยู่ในโลกของตัวเองตลอดเวลา เธอก้าวออกจากประตูกระจกที่สะท้อนแสงอาทิตย์ มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาที่คุ้นเคย
นี่มันหมายความว่าอะไร แกล้งเธองั้นเหรอ?
อี้เป่ยซีรู้สึกว่าลั่วจื่อหานจวนจะทำให้เธอเป็นบ้าอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ว่าเธออารมณ์ไม่ดี ก็ไม่รู้จักรอสักหน่อยเหรอไง? เพียงแค่ครู่เดียวจะทำให้ธุระของเขาล่าช้าสักแค่ไหนเชียว
อี้เป่ยซีถือกระเป๋าสะพายแน่น ถอนหายใจ ราวกับว่ามันทำให้ทุกอย่างล่าช้าไปแล้ว เธอหยิบหูฟังออกมา เปิดลิสเพลงที่ฟังประจำ เดินไปยังโรงอาหารอย่างเชื่องช้า ระหว่างทางก็ไม่เห็นเงาของคนที่คุ้นเคยปรากฏตัวตรงหน้าของเธอเลย
ใจเย็นสักหน่อยเถอะ
อี้เป่ยเฉินบอกเธอว่ามีงานที่บริษัท ให้เธออ่านหนังสือทบทวนที่มหาวิทยาลัยไปก่อน อี้เป่ยซีตอบรับแล้ววิ่งไปที่สนามเด็กเล่นของมหาวิทยาลัยทันที แสงจันทร์ดุจสายน้ำ ทำให้สนามเด็กเล่นดูเย็นลงเล็กน้อย
ความมันแววบนราวโลหะนั้นเยือกเย็น ทางวิ่งที่เดิมทีเป็นสีแดงต่างถูกปกคลุมด้วยสีเหลืองสลัว ไม่มีชีวิตชีวาอีกต่อไป ภายใต้แสงไฟนั้นยังสามารถมองเห็นฝุ่นละอองเล็กๆ บนที่นั่งหลากสีราวกับว่าไม่มีคนมาเยี่ยมเยียนนานแล้ว เงาของไฟสีขาวบนถนนด้านข้างทอดยาวอยู่ใต้เท้าของเธอ อี้เป่ยซีกอดเสื้อผ้าบนตัว หิ้วกระเป๋าของตัวเองแล้วกระโดดข้ามไปสองสามที่นั่ง เพื่อไปยังที่ประจำของเธอ
ผู้คนหลากหลายกระจายตัวอย่างเท่าเทียมกันบนสนามเด็กเล่น บ้างก็อาศัยแสงไฟเตะบอลอยู่ในสนามหญ้าสีเขียว ลูกบอลสีขาวดำไหลจากเท้าของอีกคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง มีบางคนไม่ระวังออกแรงเตะจนมันออกไปนอกสนาม มันกลิ้งเกลือกอยู่หลายรอบแล้วกลิ้งอยู่บนถนนอย่างโดดเดี่ยวและแปลกแยก
ทันใดนั้นเธอก็ไม่อยากนึกถึงเรื่องในระยะนี้อีก ได้แต่มองคนในสนามเด็กเล่นอย่างเงียบๆ ราวกับว่าตัวเองได้กลายเป็นสายลม กลายเป็นแสงไฟที่อยู่รอบกายพวกเขา คนที่อยู่ข้างในอาจไม่รู้ แต่เธอกำลังรับรู้ถึงความอบอุ่นและลมหายใจที่ละเอียดอ่อนของพวกเขา
“เป่ยซี” เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้อี้เป่ยซีเกือบร่วงลงจากเก้าอี้ ทันทีที่ลั่วจื่อหานคว้าแขน เธอก็พุ่งเข้าสู่อ้อมอกของเขาทันที สิ่งที่อยู่ด้านหลังหน้าอกกำลังเต้นอย่างแรง
“ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเกินไปแล้ว” แม้จะถูกเสื้อผ้ากั้นสามสี่ชั้น แต่ลั่วจื่อหานราวกับว่าสามารถรู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายที่เยือกเย็นเล็กน้อยจากตัวเธอ เขาขมวดคิ้วกำชับ อี้เป่ยซีสูดจมูกที่แดงระเรื่อ ผลักเขาออกไป
“ฉันควรจะกลับได้แล้ว” พูดจบก็หดขากลับทันทีและต้องการจะลุกขึ้น ทันทีที่ลั่วจื่อหานดึงมือของเธอ อี้เป่ยซีก็นั่งลงบนตักของเขาอย่างมั่นคง
“ลั่ว…” คำที่เหลือถูกกลืนกินอยู่ในอ้อมอกของลั่วจื่อหาน เขาหลับตา สูดกลิ่นหอมของคนที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวังด้วยความคิดถึงที่ลึกซึ้ง ราวกับว่ามีตาข่ายดักอากาศห่อหุ้มทั้งสองคนเข้าด้วยกัน ทั้งสายลมและแสงไฟรอบกายก็กกกอดพวกเขาอยู่ข้างในด้วยความห่วงใยและทะนุถนอม
จนกระทั่งทั้งสองคนหายใจหอบเล็กน้อย ลั่วจื่อหานจึงปล่อยเธอ อี้เป่ยซีซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขา มือยังคงดันหน้าอกของเขาอย่างอ่อนแรง
“เธอ…”
“เป่ยซี ฉันคิดถึงเธอจังเลย” ทันใดนั้นลั่วจื่อหานก็ทวีความรุนแรงขึ้น สูดกลิ่นหอมบนตัวของเธออย่างตะกละตะกลาม แล้วยิ้มเหมือนกับเด็กๆ
อี้เป่ยซีออกแรงผลักเขาออกไป ได้ยินเสียงลมหายใจเยือกเย็นของใครบางคนในยามค่ำคืน
“นายเป็นอะไรไป?”
“เปล่า” ลั่วจื่อหานยังคงไม่ปล่อย ในแววตากลับเปี่ยมด้วยความพึงพอใจ
อี้เป่ยซีไม่เคลื่อไหวโดยพลการอีกแล้ว หัวใจที่เต้นแรงค่อยๆ สงบลง เสียงที่อยู่ข้างหูก็ค่อยๆ เลือนลาง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มมีความพร่ามัว เธอสูดจมูดอีกครั้ง หลับตาลงช้าๆ รอบกายกลายเป็นความอ่อนโยน
“เป่ยซี เป่ยซี” คนในอ้อมกอดขยับตัว พ่นเสียงที่ไม่พอใจออกมาเล็กน้อย ลั่วจื่อหานจึงจูบลงบนหน้าผากที่สะอาดสะอ้านของเธอ อุ้มเธอเดินลงขั้นบันไดอย่างระมัดระวัง ออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัย
เขาหยุดอยู่นอกรถ สูบบุหรี่หนึ่งมวน เมื่อแสงสีแดงดับไปแล้ว เขาจึงเดินไปเบาะคนขับ สตาร์ทรถแล้วออกตัว
รถหยุดอยู่ที่หน้าบ้านอี้ อี้เป่ยเฉินยังคงรออยู่ที่นั่นตามปกติ เมื่อเห็นลั่วจื่อหานรีบอุ้มอี้เป่ยซีตรงเข้ามาหาเขา ในใจก็รู้สึกสับสน
เขาต้องการให้เจ้าหญิงตัวน้อยของเขามีความสุขมาโดยตลอด และหวังว่าตัวเขาเองจะสามารถมอบความสุขทั้งหมดแก่เธอได้ แต่ว่าสุดท้ายแล้ว มีเพียงผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เท่านั้นที่สามารถมอบความสุขแก่เธอได้จริงๆ
อี้เป่ยเฉินมองอี้เป่ยซีที่หลับไหลอยู่ตรงหน้า “ไม่ได้นอนหลับสนิทนานแล้ว”
ลั่วจื่อหานเม้มปาก ตามอี้เป่ยเฉินเข้าบ้านอี้ไป ขึ้นชั้นบนแล้ววางเธอบนเตียงที่อ่อนนุ่มอย่างแผ่วเบา ช่วยเธอเช็ดตัวอย่างตั้งใจครู่หนึ่ง จึงลงชั้นล่างไปด้วยความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย
“วันนี้ขอบคุณนายนะ” ท่าทางของลั่วจื่อหานมีความอึดอัดอยู่บ้าง อี้เป่ยซีก็สังเกตเห็นเช่นกันแต่ไม่ได้ใส่ใจ ยื่นชาร้อนถ้วยหนึ่งให้เขา
เขากระแอมไอ “เรื่องของลู่เยี่ยหวาเป็นยังไงบ้าง?”
ลั่วจื่อหานมองน้ำชาสีเขียว ส่ายหัว “ก็ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร”
————