ตอนที่ 194 เยือนต่างถิ่นอีกครั้ง (2)
ไม่น่าแปลกใจเลย อี้เป่ยซีพลาดเที่ยวบินเช้าจนได้ เธอรบเร้าผู้ชายที่มีท่าทีใจเย็นอยู่ข้างๆ ด้วยความเป็นกังวล นึกอยากโมโหมาก
“ลั่วจื่อหานทำไมนายช้าแบบนี้ นายตั้งใจใช่ไหม ฉันร้อนใจมากๆ นะ นายดูไม่ออกเหรอ”
ลั่วจื่อหานติดกระดุมเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตอย่างเชื่องช้าและพิถีพิถัน ดวงตาที่ลุ่มลึกสังเกตเห็นอี้เป่ยซีที่กำลังกระโดดโลดเต้น ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยปากขึ้นอย่างใจเย็น “ฉันไม่เคยเห็นว่าเธออดใจไม่ไหวที่จะแยกจากกันแบบนี้มาก่อนเลย”
อี้เป่ยซีนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่ามีความขุ่นเคืองแค่ไหนในคำพูดของเขา แต่เมื่อเห็นขากรรไกรที่ขบกันแน่นของเขาก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน ทั้งๆ ที่เธอเองเป็นคนผิด เดิมทีลั่วจื่อหานคิดไว้อยู่แล้วว่าจะจัดการกับงานที่บริษัทอย่างไร เพื่อที่จะใช้เวลาในช่วงวันหยุดกับเธออย่างสงบ แต่เพราะว่าเธอมัวแต่คิดถึงโอกาสของตัวเอง จึงทำลายความตั้งใจทั้งหมดของเขา
เธอสงบอารมณ์ลง “เพราะฉันไม่ดีเอง…ต่อไปฉันจะไม่ทำผิดอีกแล้ว”
“เปล่า” ลั่วจื่อหานกอดคนตัวเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง ร่างกายที่อ่อนแอยังคงมีกลิ่นหอมของความสดชื่นแห่งฤดูหนาว อากาศบริสุทธิ์ของฤดูหนาวยิ่งทำให้สับสนมากขึ้นเรื่อยๆ “รอฉันสักสองวัน พอฉันจัดการเรื่องทางนี้เสร็จเมื่อไรจะรีบไปหา”
“ไม่ต้องหรอก ช่วงนี้นายยุ่งมากไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่เป็นไร นายไม่ต้องฝืนตัวเองขนาดนี้” เธอนิ่งไปสักพัก พูดด้วยความลังเลและเขินอาย “ฉันปวดใจน่ะ”
“หืม?”
เสียงของอี้เป่ยซีเบามาก เธอพูดอีกครั้ง “ฉันปวดใจ”
ดวงตาของลั่วจื่อหานยิ้มโก่ง “เป่ยซีว่าไงนะ ฉันได้ยินไม่ชัด เธอทำไมนะ?”
อี้เป่ยซีผลักเขาออกไป เมื่อเห็นรอยยิ้มในดวงตาลั่วจื่อหาน เธอก็น่าเข้าใจแล้วเขากำลังแกล้งเธอ “นายจะเอายังไงกันแน่”
บ้าที่สุด เมื่อกี้เธอยังรู้สึกผิดอยู่เลย เธอไม่ควรจะใจอ่อนเลย
ลั่วจื่อหานหัวเราะ พันผ้าพันคอให้อี้เป่ยซี มือหนึ่งลากกระเป๋าของเธอ มือหนึ่งจูงมือของเธอ เดินออกไปนอกอะพาร์ตเม้นต์อย่างผ่อนคลาย แสงอาทิตย์อบอุ่นในฤดูหนาวออกเดินทางอยู่ด้านหลังพวกเขา
คนบนถนนนับว่าไม่มาก รถขับมาถึงสนามบินอย่างราบรื่น มือหนึ่งของลั่วจื่อหานยังคงจูงมือเธอเพื่อส่งเธอเข้าไปในสนามบิน เสียงของผู้หญิงตามเครื่องกระจายเสียงดังขึ้น อี้เป่ยซีขยับตัว “ลั่วจื่อหาน ฉันต้องไปแล้ว”
ลั่วจื่อหานตอบว่าอืม แต่ยังคงไม่มีท่าทีจะปล่อยมือ เสียงประกาศดังเร่งเร้าขึ้นอีกครั้ง “ลั่วจื่อหาน”
“หืม”
“ฉันต้องไปแล้ว”
ดูเหมือนลั่วจื่อหานเพิ่งรู้สึกตัว พยักหน้า ยังคงไม่ปล่อยมือของเธอ
อี้เป่ยซีมองดูสิบนิ้วของทั้งสองคนที่ประสานกัน ฝ่ามือที่ใหญ่โตของเขาสามารถห่อหุ้มมือของเธอได้พอดิบพอดี อุณหภูมิที่ชวนให้รู้สึกสบายใจนั้นส่งผ่านออกมาจากฝ่ามือใหญ่ ราวกับว่าเส้นรัศมีได้ก่อตัวขึ้นและโอบอุ้มเธอเอาไว้ ตราบใดที่ยังพักพิงอยู่ข้างในก็จะไม่เกิดอันตรายและจะไร้ซึ่งความเหน็บหนาว
เธอถอนหายใจแผ่วเบา ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจที่จะจากไป แต่ว่าอาจารย์ได้มอบหมายหน้าที่ไว้ให้แล้ว ถ้าเธอไม่ไปล่ะก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปอธิบายกับทางนั้นอย่างไร
“ฉันแค่ไปฟังการบรรยาย ไม่ใช่ไม่กลับมาแล้วซะหน่อย”
ราวกับว่าไปจี้ใจดำของเขา มือของลั่วจื่อหานยิ่งบีบแน่น ความรู้สึกในแววตานั้นยากที่จะเข้าใจ อี้เป่ยซีขมวดคิ้ว จากนั้นลั่วจื่อหานจึงปล่อยมือเธอ
“ดูแลตัวเองดีๆ”
เธอพยักหน้าหงึกหงัก รับกระเป๋าเดินทาง เดินไปยังจุดตรวจความปลอดภัยพลางหันกลับมามองเป็นระยะ คุณลุงที่อยู่ข้างๆ เร่งเร้าอย่างหมดความอดทน อี้เป่ยซีจึงรีบลากกระเป๋าแล้วเดินเร็วขึ้น ไม่ช้ารูปร่างเล็กกะทัดรัดก็หายเข้าไปในสนามบิน
ลั่วจื่อหานมองดูฝ่ามือของตัวเอง รู้สึกสิ้นหวังราวกับได้สูญเสียบางสิ่งไป รถสีดำคันหนึ่งบนทางด่วนแล่นหายไปด้วยความเร็วสูงสุด
อี้เป่ยซีเพิ่งจะเหยียบประเทศ U ก็ได้รับสายจากเพื่อนนักศึกษา ตำหนิเธอก่อนสองสามคำ บอกว่าเมื่อวานนี้เล่นเกมส์แล้วขาดเธอไปหนึ่งคนทุกคนต่างไม่มีความสุขเลย จากนั้นก็ย้ำตำแหน่งที่ตั้งของโรงแรมรอบแล้วรอบเล่ากลัวว่าเธอจะไปผิดที่
ฤดูหนาวที่ประเทศ U ทั้งแห้งและหนาวเหน็บ มันเยือกเย็นและโหดเหี้ยมจนแทบทำให้ผิวหนังบนร่างกายถูกแช่แข็ง อี้เป่ยซีพันผ้าพันคอแน่น โบกมือเรียกรถ ทันทีที่มือสัมผัสมือจับประตู คนที่แต่งตัวเนี้ยบในชุดสูทก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอี้เป่ยซี กดประตูรถไว้อย่างแรง
“คุณคะขอโทษนะ ฉันกำลังรีบ รบกวนคุณรอรถคันต่อไปได้ไหม”
“คุณหนูอี้ นายน้อยสั่งให้พวกเรารอคุณที่นี่”
“รอฉัน?” อี้เป่ยซีส่ายหน้า ไม่อยากเสียเวลากับเขา “ฉันไม่รู้จักนายน้อยที่ไหนสักหน่อย คุณน่าจะจำผิดคนแล้ว”
คนคนนั้นก็ไม่โง่ บอกกับอี้เป่ยซีว่าจะโทรไปยืนยันก็ได้ แต่อี้เป่ยซีกลับรู้สึกว่าไม่จำเป็น ยืนกรานว่าจะไป
“พวกคุณจะไปหรือเปล่า?” คยขับรถโผล่ศีรษะออกมา ถามสองคนที่ยืนแข็งอยู่กับที่
“ไปค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้” อี้เป่ยซีวางกระเป๋าไว้ข้างหน้า “ฉันไม่รู้จักคุณ ต่อให้ที่คุณพูดเป็นความจริง ถ้านายน้อยของคุณให้คุณมารับฉันจริง เขาก็ไม่ได้บอกคุณว่าต้องให้ฉันนั่งรถของคุณนี่นา? ถ้าไม่สบายใจ คุณก็ตามหลังรถแทกซี่ของฉันคันนี้ก็ได้ ไม่ใช่มาเสียเวลาฉันอยู่ตรงนี้”
อี้เป่ยซีเปิดประตูรถอย่างแรง คนที่อยู่ข้างหน้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เธอจึงเข้าไปนั่ง อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ “ทำบ้าอะไร เข้มงวดชะมัด”
“คุณหนูครับ จะไปไหน?”
อี้เป่ยซีบอกสถานที่ คนขับรถคุ้นเคยกับทุกส่วนของเมืองนี้มาก รู้เป็นอย่างดีว่าถนนเส้นไหนใกล้กว่า ถนนเส้นไหนราบเรียบ ไม่ช้าก็ส่งเธอมาถึงที่หมายแล้ว อี้เป่ยซีหาว เดินเข้าไปในห้องของตัวเอง
เพิ่งจะล้มตัวลง เขาก็โทรศัพท์เข้ามา “ถึงแล้ว”
“อืม” อี้เป่ยซีเอาแขนปิดตา ตอนแรกนึกอยากจะเล่าเรื่องผู้ชายแปลกๆ คนนั้นที่สนามบินให้ฟัง แต่ว่าเหนื่อยจนไม่อยากเอ่ยปาก แม้ว่าเธอจะไม่พูด คนปลายสายกลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว
“คนที่สนามบินคนนั้น เป็นคนสนิทของฉัน เธอไม่ต้องเป็นห่วง”
“นาย? นายน้อย?”
เธอนึกว่านายน้อยอะไรเทือกนั้นจะเกี่ยวข้องกับแก๊งนักเลงซะอีก ฉะนั้นเมื่อเธอได้ยินสองคำนี้ก็ไม่ได้นึกถึงลั่วจื่อหานเลย
“ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ครั้งนี้อย่าเพิ่งถามโอเคไหม?”
“อืม ฉันก็เหนื่อยพอดี ไว้ค่อยคุยกันเถอะ”
“เป่ยซี เปิดวีดีโอหน่อย”
อี้เป่ยซีพ่นลมหายใจ “ไม่เอา ฉันจะนอนแล้ว”
ทางนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง อี้เป่ยซีจึงจำใจเปิดวีดีโอ มองใบหน้าที่สดชื่นของเขาด้วยเปลือกตาอันหนักอึ้ง ยิ้มๆ แล้วหลับตาหนักๆ ลง
เหนื่อยมากจริงๆ
ลั่วจื่อหานได้ยินเสียงลมหายใจที่ยืดยาวของเธอดังมาจากลำโพง พื้นที่ที่ว่างเปล่าในหัวใจเพราะเธอจากไปนั้นถูกเติมเต็มทันใด เขายิ้ม ถุงใต้ตาราวกับว่าจะโผล่ออกมา ถ้าหากอี้เป่ยซีไม่เหนื่อยเกินไปที่จะมองเขาอย่างเต็มตาแล้ว ก็จะพบว่ามีเคราบางๆ งอกที่ใต้คางของเขาและมีชั้นวงกลมจางๆ ล้อมรอบดวงตาที่ล้ำลึกคู่นั้น ลั่วจื่อหานจิบกาแฟ เปิดเอกสารที่อยู่ตรงหน้า
————