ตอนที่ 186 ความเชื่อใจที่สั่นคลอน (6)
เซี่ยเช่อไม่เต็มใจที่จะยอมรับความคิดของคนข้างๆ พูดพึมพำกับอี้เป่ยซี “แล้วแต่เธอก็แล้วกัน” ยังไม่ทันรอให้อี้เป่ยซีตอบก็วางหูฉับพลัน
ภายในห้องเงียบสงบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ แต่ว่าทั้งสองคนก็ไม่สามารถแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อไปได้อีกแล้ว
แววตาของลั่วจื่อหานมืดมน เลียริมฝีปาก “เป่ยซี ฉันขอโทษ”
อี้เป่ยซีผลักเขาเบาๆ ส่ายหัว “ไม่มีอะไรน่าขอโทษ เพราะว่าฉันคาดหวังมากไป” เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง “ฉันไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้อีก นายเข้าใจไหม?”
ลั่วจื่อหานจะไม่เข้าใจความหมายของเธอได้อย่างไร เธอไม่ต้องการที่จะคิดถึงเรื่องนี้อีก ไม่เต็มใจที่จะเจอเขาอีก เขาต่างรู้ดี แต่ว่าเขาปล่อยมือไม่ได้ หรือว่าเธอจะตัดสินใจปล่อยมือเพียงเพราะเรื่องนี้เหรอ?
เขาพยักหน้า ลุกขึ้นยืน ร่างที่สูงใหญ่บดบังแสงเกือบทั้งหมด เรื่องของอี้เป่ยซีก็ค่อนข้างมืดมน แต่ไม่นานก็จะสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ลั่วจื่อหานเดินไปที่ประตู ทันใดนั้นนึกอะไรบางได้ เดินกลับมาหาเธอ วางแหวนลงบนโต๊ะอย่างเบามือ
“เป่ยซี กลับประเทศเถอะ” เขาดึงมือของตัวเองกลับมา “ฉัน…จะอยู่ช่วยเขาที่นี่”
“ขอบคุณนะ”
ตอนกลางคืน อี้เป่ยซีบอกแม่ของตัวเองเรื่องที่ตัวเองต้องกลับประเทศ C เร็วขึ้น คุณแม่อี้ไม่สบายใจมาก พูดจาหว่านล้อม ต้องการให้เธออยู่อีกสองสามวัน อี้เฉิงสังเกตการกระทำและคำพูดของอี้เป่ยซีอยู่เงียบๆ
“ถ้าลูกยืนกรานว่าจะกลับไป งั้นแม่จะกลับไปกับลูก”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหนูหรอกน่า พวกหลานฉือเซวียนก็อยากกลับประเทศพอดี มีพวกเขาไปกับหนู แม่มีอะไรไม่สบายใจอีกเหรอคะ” ตะเกียบของอี้เป่ยซีจิ้มเนื้อปลาในถ้วย เนื้อกระจายกระจายอยู่ในจานพร้อมกับเมล็ดข้าว จุดสีขาวก็เปื้อนซอส จู่ๆ ก็นึกไม่อยากกินขึ้นมา
อี้เป่ยซีขมวดคิ้ว คีบอีกชิ้นขึ้นมาจากจาน เนิ่นนานก็ไม่ได้เอาเข้าปาก เธอวางตะเกียบลงข้างๆ อย่างท้อแท้ “หนูอิ่มแล้ว”
“คิดจะกลับเมื่อไร?”
“อีกสองสามวันมั้งคะ พ่อก็รู้ว่าหลานฉือเซวียนยังมีธุรกิจต้องดูแล ก็เลยอยู่นานไม่ได้”
“ที่จริง แบบนี้ก็ดีนะ” อี้เฉิงพยักหน้า ดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นทำให้เดาอารมณ์ไม่ออก
อี้เป่ยซีพยักหน้า “งั้นหนูไปเก็บของที่ห้องก่อนนะคะ”
รอจนกระทั่งเธอจากไปแล้ว คุณแม่อี้วางตะเกียบลงบนโต๊ะ มองอี้เฉิงอย่างตำหนิ “คุณเตะฉันทำไม?”
“คุณน่ะ เห็นอี้เป่ยซีอ่อนแอเกินไปแล้ว คุณก็เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรนี่นา คุณนั่นแหละตีตนไปก่อนไข้”
“คุณลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปแล้วเหรอ? ฉันจะกล้าวางใจได้ยังไง”
อี้เฉิงถอนหายใจ “เขาก็เดินออกมาได้แล้ว ก็แสดงว่าคุมตัวเองได้ไม่น้อย อีกอย่าง ที่ประเทศ U ก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะทำให้อี้เป่ยซีผ่อนคลายหรือสงบจิตใจลงได้”
เมื่อคุณแม่อี้รับรู้ได้ถึงจุดนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายลงมามาก “แต่ว่า ฉันก็ไม่วางใจอยู่ดี”
“เรื่องของเด็กๆ ให้พวกเขาไปปวดหัวกันเองเถอะ คุณช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
“ถึงจะพูดแบบนี้ก็เถอะ…”
ทั้งสามคนกินน้อยมาก กับข้าวในจานของทุกคนไม่ต่างจากตอนที่ถูกยกมาใหม่ๆ คุณแม่อี้ถอนหายใจอย่างแรง เริ่มเก็บข้าวของ เก็บไปได้ครึ่งหนึ่งก็มองไปยังทิศทางห้องของอี้เป่ยซีที่อยู่ชั้นล่าง ขมวดคิ้ว แล้วทำงานบ้านต่อ
ลูกหลานก็มีความสุขในแบบของพวกเขา แต่ว่าเมื่อไรเป่ยซีของเธอถึงจะเดินออกมาได้กันนะ
อี้เป่ยซีกับหลานฉือเซวียนตัดสินใจจะเดินทางสามวันหลังจากนี้ ตอนที่อยู่สนามบิน อี้เป่ยซีเห็นว่าสีหน้าของหลานฉือเซวียนไม่สู้ดีนัก แต่เซี่ยเช่อกลับดูมีชีวิตชีวามาก เธออดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า
“เธอกำลังคิดเรื่องยุ่งยากอะไรอีกล่ะ”
อี้เป่ยซีมองค้อนเซี่ยเช่อ “เพราะว่านายน่ะความคิดสกปรก คิดว่าคนอื่นจะคิดอะไรลามกไปซะหมด”
“พอได้แล้วๆ ไปเช็คอินเถอะ” หลานฉือเซวียนรับกระเป๋าของอี้เป่ยซีมาแล้วโยนให้เซี่ยเช่อ ทั้งสามคนขึ้นเครื่องบินอย่างเงียบๆ
ขณะที่อี้เป่ยซีเดินผ่านด่านตรวจสอบความปลอดภัย ก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ เธอมองไปรอบทิศก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงส่ายหัวแล้วเดินตามสองคนที่อยู่ข้างหน้าให้ทัน
เงาสีดำปรากฏตัวอยู่ข้างหลังอย่างไม่คาดคิด แม้ว่าเธอจะลับสายตาของเขาไปแล้ว เขาก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ไม่ขยับเขยื้อน
“นายไม่เป็นไรนะ?” หลานฉือเซวียนมองเนื้อหาในโทรศัพท์มือถือก่อนปิดเครื่อง สีหน้ายิ่งดูแย่ลง อี้เป่ยซีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
เขาส่ายหน้า การกระทำดูฝืนเล็กน้อย “เปล่า ดูแล้วเธอก็ไม่ได้พักผ่อนเหมือนกัน นอนสักหน่อยเถอะ”
อี้เป่ยซีพยักหน้า พิงอยู่ที่พนักเก้าอี้ ในใจกลับรู้สึกว้าวุ่นบอกไม่ถูก ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องนั้นแล้ว เธอก็ไม่เคยนอนหลับได้สนิทเลย มักจะรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบกายคือภาพลวงตา ไม่มีความรู้สึกมั่นคงเลยแม้แต่น้อย
ทิ้งความรู้สึกปลอดภัยของตัวเองทิ้งไปแล้วสินะ ทุกวันที่อี้เป่ยซีนอนอยู่บนเตียงก็จะรู้สึกแปลกๆ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ชีวิตในวันนี้เป็นของใครกัน เธอกำลังฝันอยู่หรือเปล่า…ปัญหาที่สับสนวุ่นวายยิ่งทำให้เธอไม่อยากพักผ่อน
เครื่องบินทะยานขึ้นอย่างราบรื่น อี้เป่ยซีจึงหลับตา ในสมองแจ่มชัด เธอมองเห็นความคิดของตัวเองที่สับสนวุ่นวายและไม่สามารถแบ่งแยกได้เลย
ตอนที่มาถึงเมือง A ก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว อี้เป่ยเฉินมารออยู่ที่สนามบินแล้ว เมื่อเห็นพวกอี้เป่ยซีสามคนก็รีบเข้าไปหาแล้วรับกระเป๋าเดินทางของอี้เป่ยซี เขาเอื้อมมือออกไปนวดคลึงศีรษะของอี้เป่ยซี ต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ลังเล สุดท้ายได้แต่พูดว่า “กลับบ้านกัน”
เขาสบตากับหลานฉือเซวียน หลานฉือเซวียนขมวดคิ้วแอบส่งสัญญาณบางอย่างให้เขา อี้เป่ยเฉินมองเซี่ยเช่อครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วพาอี้เป่ยซีไปที่รถ
จู่ๆ อี้เป่ยซีก็ยื่นมือ ทำท่าทางเหมือนกำลังรับหิมะในวันที่หิมะโปรยปราย
“พี่ พี่ว่าถ้าฉันไม่เอาแต่ใจคราวก่อน แล้วกลับเมือง A ทันทีจะดีแค่ไหนนะ”
แน่นอนว่าอี้เป่ยเฉินรู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างอี้เป่ยซีกับลั่วจื่อหานที่ประเทศ U เขายิ้มอย่างขมขื่น ใช่แล้ว ถ้าหากเธอไม่ได้เจอลั่วจื่อหาน เธอกับเขาจะ…
เขาส่ายหน้าอยู่ในใจ จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ ตัวเขาเองไม่มีทางจะค้นพบความจริงได้ ปมในใจของอี้เป่ยซีก็ไม่มีวันคลี่คลาย ถึงอย่างไรเธอกับเขาก็ไม่มีวันเดินบนเส้นทางแห่งความรักร่วมกัน
ที่แท้ไม่ว่าคนคนนั้นจะปรากฏหรือไม่ อี้เป่ยซีก็จะไม่มีทางให้เขาได้รักเธอ
“นั่นสิ ปล่อยให้พี่เป็นห่วงอยู่ตั้งนาน” อี้เป่ยเฉินเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งที่เธอต้องการจะพูด โดยไม่สนใจกับความสับสนและความผิดหวังในแววตาของเธอ เปิดเพลงที่อบอุ่นขึ้นในรถเสียงดัง “พักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว”
อี้เป่ยซีพยักหน้า หลับตา
เป่ยซีเธอรู้บ้างไหม? ตอนที่พี่รู้ความจริงพี่ดีใจมาก ในเมื่อเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเราสองคน พวกเราก็จะไม่รู้สึกผิดในเรื่องความรักหรือเปล่า แต่ถึงอย่างไรเสีย หลังจากอุปสรรคระหว่างพวกเราได้ถูกกำจัดออกไปเธอก็กลับหลงรักคนอื่นซะแล้ว
อี้เป่ยเฉินกำพวงมาลัยแน่น ถ้าหากเขาคือลั่วจื่อหาน ก็คงจะไม่บอกเรื่องนี้กับอี้เป่ยซีล่ะมั้ง…
————