ตอนที่ 207 ฟ้าบันดาลให้เป็นคู่ชีวิต (2)
อี้เป่ยซีดูแลลั่วจื่อหานอยู่ข้างเตียงอย่างแข็งขันเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ใบหน้าของคุณแม่ลั่วซึ่งแข็งทื่อมาตลอดนั้นค่อยๆ ละลายไปกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เธอพูดคุยกับอี้เป่ยซีเป็นครั้งคราวแต่ว่าหัวข้อก็มักจะเกี่ยวข้องกับลั่วจื่อหานเสมอ คุณแม่ลั่วมองออกว่าความรักของเด็กสาวคนนี้เรียบง่ายบริสุทธิ์ และปฏิบัติต่อลูกชายของเธอด้วยความจริงใจ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะพลอยยอมรับไปด้วย
“หา จริงเหรอคะ” อี้เป่ยซีป้องปากหัวเราะ ดวงตาที่โก่งยิ้มนั้นสดใส คุณแม่ลั่วถูกสะกดเล็กน้อย เมื่อดึงสติกลับมาช้าๆ เด็กสาวยังคงหัวเราะอยู่
“ตลกขนาดนั้นเลย?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า “ค่ะ คิดไม่ถึงว่าตอนเด็กๆ ลั่วจื่อหานจะซนขนาดนี้ หลังจากนั้นล่ะคะ คุณครูได้ตีเขาหรือเปล่า?”
“เธออยากรู้ขนาดนี้ถามฉันก็ได้มั้ง?” สองวันก่อน ลั่วจื่อหานสามารถลงจากเตียงและเดินได้อย่างอิสระได้แล้ว นั่งลงข้างอี้เป่ยซีโดยตรง “พวกเธอกำลังคุยอะไรกัน?”
คุณแม่ลั่วรู้สึกได้ถึงความสนิทสนมระหว่างคนทั้งสองที่ซ่อนไว้ไม่มิด มีความรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาควรจะอยู่ด้วยกัน เขาหาข้ออ้างเพื่อทิ้งให้สองคนหนุ่มสาวอยู่ด้วยกันตามลำพัง เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงดังขึ้นด้านหลัง เธอก็ถอนหายใจเบาๆ
ดูเหมือนว่าเธอคิดผิดไปจริงๆ คนที่ลั่วจื่อหานชอบด้วยใจจริงต่างหากที่เหมาะสมกับเขาที่สุด เธอไม่ควรสงสัยในสายตาของลูกชายตัวเอง โชคดีที่เรื่องเกิดขึ้นโดยไม่ได้สูญเสียอะไรมาก พวกเขาสองคนยังคงปลอดภัยดี
“คิดไม่ถึงว่าตอนเด็กๆ นายจะซนแบบนี้” อี้เป่ยซีจิ้มๆ ไหล่ของเขา “นายคิดได้ยังไงว่าจะเอาเครื่องสำอางค์ของคุณครูมาวาดรูป เขาต้องเกลียดนายตายแน่”
“เอ่อ…” ลั่วจื่อหานก้มหน้านึก “ฉันเคยทำเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”
อี้เป่ยซีหรี่ตา “ใช่สิ ใช่สิ คุณน้าเพิ่งบอกฉัน อย่าปัดความรับผิดชอบเพราะตัวเองจำไม่ได้สิ ร้ายมาก คิดไม่ถึงว่าตอนนายเด็กๆ จะร้ายแบบนี้”
“แวบนั้นคิดว่าสีมันเหมาะมือดี ก็เลยเอามาใช้แล้ว”
“คุณครูวิชาศิลปะคงลำบากใจแย่ ฮ่าๆ”
ลั่วจื่อหานเขี่ยปลายจมูกของเธอ “ฉันเห็นว่าเธอก็ไม่ได้เห็นใจเขาเท่าไร”
“ฉันเห็นใจสิ ก็แค่อดขำในความโชคร้ายของคนอื่นไม่ได้ก็เท่านั้น”
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานเอื้อมมือโอบกอดคนที่อยู่ตรงหน้า “คิดจะกลับไปเมื่อไร?”
อี้เป่ยซีครุ่นคิด “อีกสองวันก็ตรุษจีนแล้ว ไว้ผ่านตรุษจีนก่อนค่อยกลับไป? ฉันรู้สึกเหมือนว่าคุณน้ากับคุณลุงอยากให้นายอยู่ที่นี่”
ดวงตาของลั่วจื่อหานเป็นประกาย ไม่พูดจา
เธอเห็นท่าทางของลั่วจื่อหานก็เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไร ซุกไซ้ในอ้อมอกของเขาอย่างออดอ้อน “แหม ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องในตอนหลังนี่นา นายก็ใจกว้างหน่อยไม่ได้หรือไง”
“เป่ยซี” เขายื่นมือลูบหัวของเธอ มีความจนปัญญาในลมหายใจ “เธอไม่จำต้องเป็นคนเข้าอกเข้าใจขนาดนี้ก็ได้”
“ฉันรู้น่า ฉันเปล่าเข้าอกเข้าใจหรอกนะ พวกเราก็กินข้าวกับพวกเขามื้อนึง จากนั้นก็กลับบ้านฉันโดยไม่ต้องบอกลา นายก็แก้แค้นพวกเขาแบบนี้ดีไหม?” อี้เป่ยซีกระพริบตาใส่เขา แววตาที่เหมือนดาวดวงยามเช้าเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ลั่วจื่อหานถอนหายใจเบาๆ พยักหน้า
บรรยากาศตรุษจีนที่ประเทศ U นั้นเงียบเหงามาก บวกกันพวกเขาตั้งรกรากอยู่ในประเทศนี้ตั้งแต่รุ่นคุณปู่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปความกะตือรือร้นต่อเทศกาลดั้งเดิมจึงมีไม่มาก อย่างไรก็ตามหลังจากคุณแม่ลั่วรู้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ต่อก็รีบจัดแจงให้คนประดับประดาสถานที่ทันที โคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่ภายในห้องสไตล์ยุโรปให้ความรู้สึกขัดตาเล็กน้อยแต่ให้ความรู้สึกขบขันยิ่งกว่า
เมื่อวานอี้เป่ยซีอดนอนทั้งคืนเพื่อเร่งส่งต้นฉบับ ลั่วจื่อหานปลุกเธอหลายรอบแต่ก็ไม่ตื่น เขาลากผ้าห่มของเธอแต่เธอคว้ามันทันทีแล้วซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง
“ฉันง่วงมาก”
“เมื่อวานเธอยังตื่นเต้นอยากฉลองตรุษจีนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ยังไม่ตื่นอีกล่ะ” ลั่วจื่อหานน่าจะเพิ่งกลับมาจากข้างนอก บนตัวยังมีไอเย็น อี้เป่ยซีผลักเขา
“นายไม่รู้เหรอ ถ้านอนต่อในวันแรกของปีได้ต่อไปก็จะนอนต่อได้ มันช่างเป็นเรื่องที่วิเศษมาก ขอฉันงีบต่ออีกหน่อย แค่อีกแป๊บ…อ๊า ลั่วจื่อหาน” ไม่รอให้เธอพูดจบ ลั่วจื่อหานก็เอามือที่เย็นเฉียบวางไปที่หลังคอของอี้เป่ยซี มันเย็นจนเธอแทบกระโดดขึ้นมาจากเตียง
“นายทำอะไรน่ะ หยุดได้ไหม”
เธอค้อนลั่วจื่อหาน เขาพยักหน้าแล้วนอนลงข้างเธอ “เป่ยซี วันนี้เธออยากกลับบ้านไม่ใช่เหรอ? ถ้ายังไม่ตื่นอีกก็อดกลับบ้านแล้วนะ”
“ห้านาที แค่ห้านาทีจริงๆ”
“เด็กเลี้ยงแกะ สิบนาทีก่อนเธอก็พูดแบบนี้” ลั่วจื่อหานหยิกแก้มของเธอ “รีบตื่นเร็วเข้า”
อี้เป่ยซีคว้าผ้าห่มต้องการจะคลุมโปง แต่ผ้าห่มกลับถูกคนดึงไว้แน่น เธอลืมตาก็เห็นใบหน้าที่เข้ามาใกล้เพียงคืบ ลั่วจื่อหานหัวเราะ ก้มตัวประกบริมฝีปากของเธอ สติของอี้เป่ยซีเตลิดเปิดเปิงเพราะจูบนี้ จู่ๆ ปากก็รู้สึกเจ็บ เธอลืมตาโพลงแล้วผลักลั่วจื่อหานออกไป
“นายจะเกินไปแล้วนะ”
“เอาล่ะตื่นได้แล้ว เดี๋ยวทุกคนก็จะรอเธอคนเดียว เธอก็จะรู้สึกไม่ดีนะ”
อี้เป่ยซีลูบๆ ริมฝีปากของตัวเอง เมื่อไม่มีเลือดจึงโล่งใจ มองค้อนเขา “รู้แล้วน่า ฉันตื่นเดี๋ยวนี้แหละ” เธอบิดขี้เกียจ คนข้างๆ ยังคงมองเธอด้วยรอยยิ้ม “ทำไมนายไม่ออกไป?”
“ทำไมฉันต้องออกไปด้วย?”
“นี่มันห้องของฉัน”
“นี่มันบ้านฉัน” ลั่วจื่อหานโน้มตัวเข้าใกล้เธออีกครั้ง “ทำไม แค่ไม่ได้นอนกับฉันไม่กี่วัน ตอนนี้ก็เขินซะแล้วเหรอ?”
อี้เป่ยซีวางสองมือบนหน้าอกของเขา “เชอะๆๆ ใครเขิน ฉันกลัวนายเขินต่างหาก ก็เลยให้นายออกไปโอเคไหม หรือว่านายจะข่มใจได้เหรอ?”
“อืม ทำไมจะไม่ได้” ทั้งสองคนถกเถียงกันพักหนึ่ง อี้เป่ยซีจนปัญญา ได้แต่ยอมแพ้
“ฉันกลัวนายแล้ว เพราะฉันเขินเอง ฉันขอร้องล่ะ นายออกไปได้หรือเปล่า?”
ลั่วจื่อหานพยักหน้า “ยอมรับแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว เห็นแก่ความตรงไปตรงมาของเธอ ฉันก็จะฝืนใจอยู่ที่นี่เพื่อให้เธอปรับตัวเข้ากับวิถีการใช้ชีวิตร่วมกันที่สามีภรรยาควรจะมีในอนาคตก็แล้วกัน”
“ลั่วจื่อหาน” อี้เป่ยซีขว้างหมอนใส่หน้าอกของเขา “นายตื่นเช้าขนาดนี้เพื่อที่จะทำตัวเป็นอันธพาลเหรอ?”
“ฉันจะทำตัวเป็นอันธพาลเมื่อไรก็ได้ ทำไมต้องตื่นเช้าด้วย” ลั่วจื่อหานกระพริบตาใส่อี้เป่ยซี เมื่อตัวเองหยอกเล่นจนหนำใจแล้วจึงลุกขึ้นยืนจัดๆ เสื้อผ้า “โอเค ฉันจะลงไปรอเธอข้างล่าง”
วินาทีที่ประตูปิดลง อี้เป่ยซีจึงถอนหายใจโล่งอก จริงๆ เล้ย เธอเลือกเสื้อผ้าที่คิดว่าเหมาะกับงานรื่นเริง ล้างหน้าล้างตาอย่างรวดเร็วแล้วลงไปข้างล่าง
อย่างน้อยลั่วจื่อหานพูดถูกอย่างหนึ่ง เธอรู้สึกไม่ดีจริงๆ ที่ปล่อยให้ทั้งบ้านรอเธอคนเดียวแบบนี้
“อาซ้อ สวัสดีปีใหม่ ขอให้ร่ำรวย” ลั่วจื่อจี้ก้าวเข้าไปหาเธอ ยิ้มหวานเหมือนกับเด็กน้อยที่อ้อนขอลูกอม
ดวงตาอี้เป่ยซีกระตุก “ไปหาพี่ชายนายเถอะ ฉันไม่มีเงิน”
————