Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 267

ตอนที่ 267

หลังจากเข้ามาข้างในกันแล้ว วาห์นก็ใช้พลังสำรวจทั่วตัวคฤหาสน์และเห็นว่าเฮสเทียยังนอนอยู่ชั้นบน

จากถุงใต้ตาที่เห็นตอนล่าสุด เขาเดาว่าเมื่อคืนเธอคงตื่นเต้นหนักจนแทบไม่ได้นอนเลย

วาห์นพยายามคิดหาทางออกที่ดีที่สุดก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นถัดจากห้องอาหารและนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่ง

มิลานลงมานั่งข้างๆ ขณะที่เขาพยายามปลอบทีน่าซึ่งกำลังสะอื้นอยู่ตรงซอกคอ

หญิงสาวพิงไหล่ของวาห์นขณะใช้มือลูบหลังผู้เป็นลูกอย่างเอ็นดู

มิลานนั้นเข้าใจหัวอกของทีน่าดี เพราะแม้แต่เธอเองยังรู้สึกถึงบางอย่างหลังจากที่เห็นวาห์นในร่างมนุษย์แมว

จุดที่เธอเห็นว่าวาห์นมีส่วนใกล้เคียงกับอดีตสามีที่สุดก็คือผมสีเกาลัด ส่วนสูง และรูปร่างที่มีขนาดพอๆ กัน ถ้าจะให้แถมอีกจุดก็คือการที่เขาดูแลเอาใจใส่ทั้งสองเป็นอย่างดีนี่แหละ

หากไม่ใช่เพราะมีหน้าตาและท่าทางคนละแบบ เธอก็คงเข้าใจผิดไปด้วยอีกคน

ทีน่านั้นเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งที่เธอพอจะจำได้ก็มีแค่สีผมกับรูปร่างลางๆ เท่านั้น

ต่อให้รู้ว่าคนๆ นี้คือวาห์น แต่ความทรงจำบวกกับช่วงเวลาที่อยู่กับเขาทำให้เธอระลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและจะไม่มีวันได้เจอกันอีก

ผ่านไป 2-3 นาที ทีน่าก็พยายามพูดบางอย่างออกมา

“นายไม่ใช่ป่ะป๊า…”

อาจฟังเหมือนคำพูดตัดพ้อ แต่ทีน่ากลับกอดวาห์นแน่นยิ่งกว่าเดิมก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้ง

“นายไม่ใช่ป่ะป๊า…”

วาห์นใช้มือลูบแผ่นหลังเล็กๆ ด้วยอีกคนขณะสบตากับมิลานที่มีสีหน้าอ่อนล้า

หญิงสาวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเช่นกัน เพราะสิ่งที่ทีน่าพูดนั้นคือความจริง

หากดูความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามในตอนนี้ จะให้ตีว่าวาห์นเปรียบเสมือนพ่อเลี้ยงของทีน่าก็ไม่ถูกอีก

—————
ผลงาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP

—————

วาห์นฮัมเพลงเบาๆ ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยขณะมองดูใบหน้าของเด็กสาวจากด้านข้าง

ทีน่าหันหน้าหนีทันที ราวกับว่าเธอพยายามจะไม่มองวาห์นที่ยังอยู่ในร่างนี้

พอเขาจะพูดบ้าง เธอก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ฉันไม่ชอบแบบนี้… ไม่ชอบที่นายทำเหมือนฉันเป็นเด็ก…”

แต่ไม่ว่าจะพูดค้านยังไง มือของเด็กสาวก็ยังกอดติดลำคอของเขาแน่น

ทีน่าในตอนนี้ดูลำบากใจมาก วาห์นจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรและพยายามปลอบเธอต่อ

เขาอยากพูดออกไปว่าไม่ได้เห็นเธอเป็นแค่เด็ก ว่าเธอดูเป็นคนมีเหตุผลกว่าตัวเองด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างกลับไปกระจุกอยู่ตรงลำคอ

ราวกับรู้ว่าวาห์นยังคิดอะไรไม่ออก ทีน่าจึงเริ่มพูดต่อไปอีก

“ฉันจะพยายามไปเรื่อยๆ… พยายามเข้มแข็งกว่านี้… แต่ตอนนี้… ปลอบฉันต่ออีกหน่อยนะ ขอร้องล่ะ”

วาห์นนั่งข้างมิลานขณะปลอบเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมแขนจนกระทั่งหมดช่วงเวลาฝึกซ้อม

ทั้งสามอยู่กันแบบเงียบๆ และเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศอบอุ่นจนกระทั่งหูของทีน่ากระดิกเพราะได้ยินเสียงคนอื่นเดินเข้ามาจากทางประตูด้านหลัง

หลังจากสูดหายใจลึก 2-3 ครั้ง ทีน่าก็ขึ้นมาสบกับดวงตาสีน้ำทะเลด้วยสีหน้าเศร้าๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความหวัง

วาห์นยิ้มให้พลางยกมือขึ้นโดยหมายจะลูบหัว แต่เด็กสาวกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้และมอบจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากก่อนจะโดดลงจากตักไป

มิลานมองดูลูกสาวเดินจากไปโดยที่เธอไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม

ร่างเล็กๆ พุ่งผ่านประตูไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเธอกำลังพยายามไปให้ถึงห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนคนอื่น

วาห์นคาดว่าเธอคงอยากโดดลงอ่างน้ำเพื่อปกปิดหลักฐานที่เคยร้องไห้และพยายามสงบจิตใจของตัวเองให้เร็วที่สุด

จากด้านข้างของเขา ในที่สุดมิลานก็ยอมพูดออกมา

“วาห์น… เป็นแบบนี้มันดีแล้วเหรอ?”

ตอนนี้หญิงสาวยังคงนั่งซบไหล่ของเขาเหมือนเดิม ความอบอุ่นจากร่างกายของเธอเป็นเครื่องยืนยันเรื่องนี้ได้ดีที่สุด

เขาสัมผัสได้ถึงความลังเลแบบเดียวกับตอนที่ขอให้เธอกับลูกสาวย้ายมาอยู่ด้วยในตอนแรก

วาห์นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบกลับไป

“ฉันแค่อยากให้พวกเธอมีความสุข พูดแบบนี้อาจฟังดูแปลก ที่จริงอาจจะหยาบคายเลยด้วย แต่ตอนนี้ฉันยังไม่ได้คิดกับเธอและทีน่าแบบนั้น

เธอเป็นคนที่ดีและเป็นแม่ที่ดีมากเลยนะ สักวันฉันคงจะก้าวข้ามเส้นนั่นไป แต่ตอนนี้เราทั้งคู่ยังไม่พร้อม…

ทีน่าเองก็เหมือนกัน แถมตอนนี้เธอยังเด็กมาก…

ฉันพอมองออกว่าความรู้สึกที่ทีน่ามีให้มันผิดปกติหน่อยๆ

เรื่องนี้เราคงต้องคอยดูเธอเติบโตไปพร้อมกับคนอื่นและไม่ปล่อยไว้เฉยๆ…”

แม้จะได้ยินวาห์นพูดอย่างชัดเจนแล้ว แต่มิลานก็ไม่ได้ลุกหนีไปไหน

เธอเองก็ยังไม่ได้คิดกับวาห์นแบบนั้นเช่นกัน ความพยายามส่วนใหญ่นั้นจริงๆ หมดไปกับการคอยช่วยลูกสาวมากกว่า

มิลานยอมรับว่าวาห์นเป็นคนดีและทำให้เธอรู้สึก ‘อุ่นใจ’ มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่สิ่งที่มากั้นทุกอย่างเอาไว้ก็คือความรู้สึกของผู้เป็นลูก…

ที่จริงเธอก็อยากใช้เวลากับวาห์นเช่นกัน ‘ความต้องการ’ ของภรรยาหม้ายนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ควรมองข้ามหรือเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆ

มิลานรู้แล้วว่าตอนนี้วาห์นจะคอยดูแลและปกป้องเธออย่างถึงที่สุด… ไม่ว่าเธอจะแสดงความเห็นแก่ตัวออกมามากแค่ไหนก็ตาม

สิ่งๆ เดียวที่มายั้งเธอไว้ก็คือทีน่า ลูกสาวที่เธอรักและหวงแหนยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง

วาห์นถอนหายใจข้างในเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังทำตัวเหมือนเดิม

“เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกมาก… ไม่จำเป็นที่จะต้องมาคิดตัดสินใจอะไรในตอนนี้หรอก

แล้วก็ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ เธอจะมาฝึกกับทีน่าและคนอื่นๆ ด้วยก็ได้นะ

แต่ต่อให้ไม่อยากเข้าไปในดันเจี้ยนอีกเลย สถานที่แห่งนี้ก็จะเป็นบ้านให้กับพวกเธอไปตลอดอยู่ดี…”

มิลานพยักหน้าช้าๆ และทำให้วาห์นรู้สึกจั๊กจี้เพราะใบหูที่มาเกลี่ยอยู่ตรงลำคอ

“ขอบใจนะวาห์น… สำหรับทุกอย่างที่นายทำให้…”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและเผยรอยยิ้มจริงใจที่หาดูได้ยาก… โดยเฉพาะตั้งแต่หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น

เธอโน้มตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะทำแบบเดียวกับลูกสาว

นับเป็นจูบที่สั้น เรียบง่าย แต่ก็แฝงไปด้วยความจริงใจ

มิลานกระซิบเบาๆ หลังจากที่ถอยออกไปแล้ว

“ขอบคุณสำหรับเรื่องที่นายคิดเผื่อในอนาคตด้วยนะ… แล้วก็ขอบคุณที่มาช่วยชีวิตพวกเราไว้… ขอบคุณจริงๆ…”

พอพูดเสร็จแล้วเธอก็ยิ้มให้ ก่อนจะใช้นิ้วดีดเข้าที่หูแมวจนพวกมันกระตุกให้เห็น

ในระหว่างที่เดินออกไปเพื่อเตรียมอาหารเช้า มิลานก็หันกลับมาพูดทิ้งท้าย

“หูแมวก็ดูน่ารักดีนะ แต่ฉันชอบนายแบบร่างปกติมากกว่าล่ะ~เมี๊ยว”

ราวกับโดนกล่าวเตือนเบาๆ วาห์นเริ่มเปลี่ยนกลับไปอยู่ร่างมนุษย์ขณะจ้องมองอีกฝ่ายเดินออกจากประตู

ภายในห้องที่เต็มไปด้วยความเงียบ วาห์นนอนลงกับโซฟาและถอนหายยาวๆ ราวกับเก็บกดมันไว้นานแล้ว

เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าต่อให้ร่างกายผ่อนคลายแค่ไหน ตอนนี้จิตใจกลับรู้สึกว้าวุ่นไปหมด

วาห์นคิดว่าตัวเองควรจะเด็ดเดี่ยวกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ หรืออย่างน้อยก็ต้องหมั่นสอดส่องสภาพจิตใจของคนอื่นก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป

เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เช่นกัน แค่ทดลองอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ดันเกิดเรื่องขึ้นซะแล้ว…

หากไม่คิดจะ ‘ลงหนัก’ เขาก็ควรลดความสนใจเรื่องชีวิตของคนอื่นซะบ้าง ตัวเลือกมีอยู่แค่สองอย่างนี้เท่านั้น

ตอนนี้เกือบทุกคนกำลังอาบน้ำกันอยู่ นอกเหนือจากนั้นก็มีเฮสเทียที่เพิ่งตื่นนอน มิลานที่กำลังเตรียมอาหารในห้องครัว และออร่าสีอ่อนดวงสุดท้ายนี่น่าจะเป็นพรีเซีย

เขาสัมผัสได้ว่าสาวมนุษย์แกะกำลังเดินเรื่อยเปื่อยไปตามทางเดินราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่

เนื่องจากไม่ได้มาร่วมฝึกด้วย เธอจึงไม่ได้ไปอาบน้ำและไม่ได้ไปห้องอาหารที่ซึ่งทุกคนมักจะไปรวมตัวกัน

วาห์นค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งที่เธอกำลังมองหาอยู่ก็คือเขานั่นเอง… นี่ต่อให้เขาไม่ได้ไปมองหาใคร เดี๋ยวก็จะมีคนออกหาเขาเองสินะ…

ไม่ใช่ว่าวาห์นไม่อยากเจอหน้าพรีเซีย แต่เขารู้ว่าจิตใจของเธอยังไม่ปกติดีนัก โดยเฉพาะหลังจากที่เพิ่งจะรักษาแผลเป็นกันไปหยกๆ

การปล่อยให้เธอหันมาพึ่งพาเขาจนเกินเหตุคือสิ่งที่วาห์นพยายามจะเลี่ยงหากสามารถทำได้

หากปล่อยให้เธอมาอยู่กับเขาแบบสองต่อสองนี่ก็… เหมือนเหยียบกับระเบิด (อันที่ล้านของวัน) ดีๆ นี่เอง

วาห์นค่อยๆ ลุกขึ้นจากโซฟาและเดินที่ทางหน้าต่างบานหนึ่งของห้องแทน…

พอออกด้านนอก เขาก็ปีนขึ้นไปข้างบนเพื่อหาฐานยืนที่พอจะใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] ได้ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังจุดที่สูงที่สุดทางฝั่งปีกตะวันออก

วาห์นรู้สึกละอายใจอยู่บ้างที่ต้อง ‘หลบหนี’ ออกจากคฤหาสน์ของตัวเอง แต่เขาเชื่อว่านี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวพรีเซียเอง

การลงมานอนบนพื้นหลังคาเย็นยะเยือกนั้นเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่สร้างความเพลิดเพลินให้กับวาห์นอย่างน่าประหลาด

ตามปกติแล้ว [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] จะต้านทานอากาศหนาวได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ครั้งนี้วาห์นจำกัดพลังของมันไว้และปล่อยให้ความเย็นพุ่งผ่านร่างกายตามปกติ

เขานอนอยู่แบบนั้นเกือบชั่วโมง จนกระทั่งสัมผัสได้ว่ามีพลังงานแปลกปลอมพุ่งใส่เบาๆ

สัญชาตญาณทำงานอย่างรวดเร็วและสรุปออกมาได้ว่าเขากำลังโดน ‘ตรวจจับ’ หรือถ้าเป็นในกรณีที่คิดไว้ก็คือผลจากสกิลตามหาของมิโคโตะนั่นเอง

หลังจากเดินพลังเพื่ออบอุ่นร่างกายเหมือนเดิม วาห์นก็ใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] กลับลงมาชั้นล่าง

ที่จริงจะกระโดดลงมาทั้งแบบนั้นเลยก็ได้ แต่เขาขี้เกียจมานั่งซ่อมรอยร้าวบนพื้นในภายหลัง

เขาเดินเข้าประตูด้านหน้าและพุ่งตรงไปยังห้องอาหารที่ซึ่งทุกคนมารออยู่ก่อนแล้ว

ความหนาวเย็นทำให้วาห์นรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย ไม่นานเขาก็ได้พบกับใบหน้าของเหล่ามิตรสหาย สมาชิกแฟมิเลีย และเหล่าคนรัก

หลังกล่าวทักทายทุกคนเรียบร้อย วาห์นก็มานั่งที่โต๊ะโดยมีริวกับเฮสเทียนั่งขนาบข้างก่อนจะมองไปรอบๆ และเห็นว่าฮารุฮิเมะกับมิโคโตะยังคงใส่กิโมโนแบบเดิม

ข้อสงสัยเรื่องชุดชั้นในของฮารุฮิเมะยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ เขาจึงต้องแก้ไขเรื่องนี้ทันที

“ในช่วงบ่าย ฉันจะให้ริวพาพวกเธอบางคนออกไปซื้อเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นต่างๆ ในตัวเมืองนะ

จำนวนสมาชิกของเราเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวภายในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และฉันรู้ว่าบางคนยังไม่มีเสื้อผ้าส่วนตัวใส่เลยแม้แต่ชุดเดียว”

เพราะรู้ว่าเกือบทุกคนต้องอยากออกไปข้างนอกด้วยกันกับเขาแน่ๆ วาห์นเลยใช้ชื่อของริวโดยที่ไม่ได้ขอเธอก่อน

เอลฟ์สาวดูไม่ติดใจอะไรนักและพยักหน้าเป็นการตอบรับแทน

ฮารุฮิเมะแสดงท่าทางดีใจที่จะได้ออกไปช้อปปิ้งข้างนอก นั่นทำให้วาห์นรู้สึกผิดหนักยิ่งกว่าเดิม

“ขอโทษด้วยนะฮารุฮิเมะ

ฉันคงให้เธอออกไปนอกคฤหาสน์ไม่ได้จนกว่าจะจบเรื่องกับทางอิชทาร์แฟมิเลีย

เรายังมีเวลาอีกมากในอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นแล้วฉันจะเป็นคนพาเธอไปเองนะ”

สีหน้ามุ่ยๆ ในตอนแรกเลือนหายไปทันทีที่ได้ยินวาห์นพูดประโยคหลัง

“ฉันจะรอนะคะ~! แต่พอถึงตอนนั้นแล้วขอไปกันแค่สองคนจะได้หรือเปล่านะ~?” ฮารุฮิเมะเอ่ยถามพลางกัดปลายนิ้วของตัวเองเบาๆ

เนื่องจากไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพาผู้หญิงออกไป ‘เดตส่วนตัว’ วาห์นจึงพยักหน้าให้กับคำขอของเธอ

คำตอบของวาห์นทำให้เรนาร์ดสาวดีใจจนออกนอกหน้าและเริ่มใช้ตะเกียบคีบอาหารทานอย่างสบายอารมณ์

ทุกคนเริ่มคุยเล่นกันเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ ส่วนหัวข้อหลักๆ ก็คือของที่พวกเธออยากได้

วาห์นเคยขายของให้กับทางกิลด์หลายอย่างในอดีต ตอนนี้เรื่องเงินจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา

หลายๆ คนโดยเฉพาะเหล่าสมาชิกหน้าใหม่นั้นต้องตกเป็นทาส สมบัติอะไรก็ไม่มีสักชิ้น วาห์นจึงอยากสนับสนุนพวกเธอให้เต็มที่

หากมันสามารถคืนความสุขให้กับทุกคนได้ เขาก็ยินดีทุ่มเงินทั้งหมดที่มีในตอนนี้แบบไม่คิดเสียดายเลย

ในฐานะที่เป็น [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] เขาสามารถทำอุปกรณ์ออกมาขายในราคาหลายสิบล้านวาลิสได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ถึงจะอยากตอบแทนบุญคุณสิ่งที่เฮเฟสตัสเคยทำให้ แต่เขาคิดว่าสุดท้ายแล้วเธอก็คงไม่รับมันอยู่ดี

หลังจบช่วงอาหารเช้า ริว เฟนเรียร์ เอมิรุ มาเอมิ มิโคโตะ มิลาน และทีน่าก็พากันออกไปข้างนอก

ช่วงนี้เฮสเทียเริ่มเปลี่ยนไปใส่ชุดที่เคยซื้อมาบ้างแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ยังเลือกใส่อาภรณ์เทพสีขาวเสียเป็นส่วนใหญ่

ส่วนเรื่องชุดกับของใช้ของฮารุฮิเมะกับพรีเซียนั้น มิโคโตะกับมิลานจะเป็นธุระให้เองตามลำดับ

สภาพจิตใจของพรีเซียยังไม่กลับมาเป็นปกติดีนัก การปล่อยให้เธอออกไปเจอคนจำนวนมากๆ จึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย

หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว เฮสเทียก็หันมาพูดกับวาห์น

“แบบนี้นายก็ว่างจนถึงตอนบ่ายเลยสิ ได้วางแผนอะไรไว้หรือยัง?”

ตั้งแต่ที่แยกกันตอนเช้ามืด วาห์นสังเกตเห็นว่าเฮสเทียสั้นดูสงบเสงี่ยมกว่าแต่ก่อนมาก

เธอมีรอยยิ้มกับออร่าที่ดูมั่นคงสุดๆ ส่วนดวงตาสีฟ้าก็มีประกายระยิบระยับตลอดเวลา

หลังจากคิดเสร็จ วาห์นก็ตอบกลับไป

“ฉันคงไปอยู่ห้องสมุดตรงปีกตะวันตกน่ะ วันนี้อยากลองอ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยดูหน่อย”

วาห์นสามารถซื้อหนังสือถูกๆ ออกมาจากระบบได้ เขาก็เลยเปลี่ยนที่ว่างๆ ตรงปีกตะวันตกให้กลายเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่แทน

เฮสเทียพยักหน้ารับก่อนจะดึงมือของฮารุฮิเมะ (ที่ดูตื่นเต้น) กับพรีเซีย (ที่ดูเฉยเมย) ให้ไปด้วยกัน

เรนาร์ดสาวเริ่มแย้งเสียงอ่อยทันที

“ท่านเฮสเทีย ฉันเองก็อยากไปอ่านหนังสือเหมือนกันนะคะ…”

เทพตัวเล็กตอบกลับเรียบๆ

“หนังสือในห้องเธอก็มีตั้งเยอะแยะ อีกอย่าง วาห์นเองก็ต้องการเวลาส่วนตัวเหมือนกันนะ

เขาจะพักได้ยังไงถ้ามีคนคอยกวนตลอด แล้วเราก็มีเรื่องต้องคุยกันด้วย… ได้ยินว่าเมื่อกี้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเฟนเรียร์ใช่ไหม…?”

น้ำเสียงและสายตาตำหนิของเทพตัวเล็กทำให้ฮารุฮิเมะรู้สึกอยากขอโทษขึ้นมาทันที

พอจำได้ว่าวาห์นเองก็มีอาการคล้ายกัน เธอจึงเริ่มเอะใจว่าตัวเองอาจทำบางอย่างผิดไปโดยที่ไม่รู้ตัว

พอจะเอ่ยถามหลังเดินออกห่างจากวาห์นมาแล้ว เฮสเทียก็หันมากระซิบเบาๆ

“ฉันมี… คำถามอย่างอื่นด้วย เป็นคำถามที่ไม่อยากให้วาห์นได้ยินน่ะ”

ฮารุฮิเมะงงไปพักหนึ่ง แต่แล้วเธอก็นึกออกว่าเฮสเทียอยากจะถามอะไรพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจ

“แน่นอนค่ะ~! ฉันยินดีที่ได้ช่วยท่านเฮสเทียนะคะ แต่จะดีมากเลยถ้าท่านเฮสเทียเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน…”

ดวงตาสีฟ้าและสีเขียวฉายแววอย่างรู้เท่าทันกันแวบหนึ่ง เป็นภาพที่วาห์นไม่มีทางได้เห็นต่อหน้าแน่นอน

ตอนแรกพรีเซียนั้นหันไปจ้องทางที่วาห์นเดินจากไป แต่พอได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง หูของเธอก็เริ่มผึ่งมาอีกทางทันที

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท