เมื่อมาถึงด้านนอกห้องของเฮสเทีย วาห์นก็เคาะที่ประตูก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน
เขาเห็นเฮสเทียนั่งเขียนบางอย่างลงในคัมภีร์ขนาดใหญ่อยู่บนโต๊ะก่อนที่เธอจะหันกลับมายิ้มให้แบบเศร้าๆ
เมื่อนึกถึงตอนก่อนหน้านี้ วาห์นก็ยิ้มและพูดขึ้น
“ขอบคุณนะเฮสเทีย… ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าควรทำยังไงดี
เพรเซีย… เธอต่างไปจากผู้คนที่ฉันเคยเจอ”
เฮสเทียวางปากกาขนนกลงก่อนจะลุกขึ้นและลงมานั่งที่เตียงแทน
“มานั่งนี่สิวาห์น”
ท่าทางเกรี้ยวกราดของวาห์นดูอ่อนลงเล็กน้อยขณะที่เจ้าตัวถอนหายใจและเดินไปนั่งข้างๆ เฮสเทีย
เทพตัวเล็กเคลื่อนตัวเข้าไปที่กลางเตียงก่อนจะตบที่ต้นขาของตัวเอง นั่นเป็นสัญญาณบอกวาห์นว่าให้ใช้มันแทนหมอนได้เต็มที่เลย
วาห์นยังไม่แน่ใจว่าเฮสเทียพยายามจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือเรื่องแบบนี้เขาไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ยิ่งเป็นต้นขาเนียนนุ่มของเธอก็ยิ่งแล้วใหญ่
การนอนด้วยกันเป็นประจำทำให้วาห์นรู้จักพิษสงและความเย้ายวนจากการสัมผัสกับเรือนร่างของเทพธิดาองค์นี้เป็นอย่างดี
เฮสเทียลูบเส้นผมสีเข้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
“วาห์น ตอนนี้นายอยากทำอะไรมากที่สุดเหรอ? ฉันขอให้นายพูดความจริงจะได้หรือเปล่า..?”
น้ำเสียงอ่อนโยนนั่นทำให้วาห์นรู้สึกผ่อนคลายมากจนได้แต่ตอบออกไปตามตรง
“ฉันอยากทำให้มันชดใช้… ชดใช้ในสิ่งที่ทำกับเพรเซีย”
เฮสเทียลูบใบหน้าหล่อเหลาและมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเลขณะเอ่ยถามเบาๆ
“ทำไปแล้วนายจะรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า?”
เป็นคำง่ายๆ ที่เล่นเอาวาห์นอึ้งไปครู่หนึ่ง ส่วนสายตาสีฟ้าใสราวกับทะเลสาบไร้ก้นบึ้งก็ยังคงจ้องมองมาและเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
หลังจากเงียบไปสองสามวินาที วาห์นก็ตอบเสียงแผ่ว
“ก็เปล่า…”
เฮสเทียผงกหัวเล็กน้อยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนอย่างเคย
“นายจะให้เพรเซียเป็นคนเอาคืนผู้ชายคนนั้นจนสาแก่ใจแล้วก็คอยยืนดูอยู่ข้างๆ หรือเปล่า?”
ภาพที่เพรเซียใช้แท่งเหล็กร้อนๆ ทรมานเจ้านายคนก่อนแล่นเข้าสู่สมองของวาห์นทันที
วาห์นกัดฟันแน่นขณะตอบเสียงเบา
“ไม่… ฉันคงจะห้ามเธอไว้… เธอไม่ควรมาทำ-”
ก่อนจะได้พูดต่อจนจบ เฮสเทียก็วางนิ้วลงบนริมฝีปากของเขาเพื่อหยุดมันไว้ก่อน
วาห์นปิดปากลงด้วยสีหน้าเศร้าและปล่อยให้เฮสเทียเป็นคนพูดต่อ
“มันไม่ใช่หน้าที่ที่นายต้องแบกรับทุกอย่างนะวาห์น… ไหนลองบอกชื่อคนที่นายอยากปกป้องออกมาหน่อยสิ?”
วาห์นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำออกมา
“ฮารุฮิเมะ เอน่า ทีน่า มิลาน ลิลลี่…-”
เป็นอีกครั้งที่เฮสเทียขัดจังหวะเขา
“คนเรามักจะไล่ชื่อตามความสำคัญในช่วงเวลานั้นๆ นะ… ถึงจะรู้สึกเห็นใจเพรเซียมากแต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งแรกที่นายคิดถึง
สิ่งที่นายบอกว่าอยากทำในตอนแรกเองก็อาจจะไม่ใช่ความจริง ดูไปก็เหมือนเป็นสิ่งที่นายไม่อยากให้เพรเซียทำซะมากกว่า
นายยังมีอีกหลายสิ่งที่อยากปกป้อง… และการล้างแค้นก็ไม่ได้รวมอยู่ในนั้นหรอกนะ
นายควรผ่อนคลายให้มากกว่านี้ เอาเวลาไปดูแลคนรอบข้าง ส่วนพวกเราก็จะดูแลนายให้ดีที่สุด
เพรเซียเองก็ปลอดภัยแล้ว… ปล่อยให้เธอพักฟื้นไปก่อน จากนั้นค่อยสะสางเรื่องอดีตของเธอทีหลัง
ตอนนี้แฟมิเลียของเราได้เข้าไปพัวพันกับอิชทาร์แฟมิเลียและการแก่งแย่งอำนาจภายในเขตสถานบันเทิงแล้ว
นายต้องเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังให้ดีกว่านี้นะ… ไม่ใช่ว่าจะต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องยิบย่อยทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามา…”
เป็นเวลากว่านาทีที่วาห์นปล่อยให้คำพูดของเฮสเทียซึมเข้าไปในสมอง แถมเธอยังคงลูบศีรษะของเขาต่อ ราวกับจะช่วยให้มันซึมเข้าไปได้เร็วขึ้น
เมื่อเห็นว่าวาห์นยังคงอับจนคำพูด เฮสเทียจึงโน้มตัวเข้ามากระซิบเป็นการเชื้อเชิญ
“นอนพักเถอะ… พักสักเดี๋ยวนึง… วันนี้นายเหนื่อยมามากแล้ว
พอคนอื่นๆ มากันแล้วฉันจะเป็นคนปลุกนายเอง… สำหรับตอนนี้ นอนพักเถอะ…”
วาห์นเชื่อฟังคำพูดของเฮสเทียอย่างว่าง่ายและค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ ภายใต้สัมผัสของต้นขาอ่อนนุ่มและมือที่ยังคอยช่วยปลอบประโลมความคิดที่ยังว้าวุ่นไม่หาย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนทาบทามให้ผ่อนคลายเสียบ้าง แต่คราวนี้ดูเหมือนคำพูดของเฮสเทียจะได้ผลดีเกินคาด
พอได้เทพจอมขี้เกียจมาคอยดูแลอย่างใกล้ชิดแบบนี้… จู่ๆ วาห์นก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากและสลบไสลไปในที่สุด
เฮสเทียยังคงลูบเส้นผมและใบหน้าของเขาอย่างเอ็นดูโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ
เธอจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์จากมุมสูงด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย
วาห์นในตอนนี้นั้นช่างดูไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลกซะเหลือเกิน… ไม่เหลือเค้าของวีรบุรุษหนุ่มน้อยที่มักตัดสินใจเด็ดเดี่ยวและชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เลย
เธอหวังลึกๆ ว่าพวกเขาจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ… อยู่กันแค่สองคนภายใต้ความเงียบงัน ปล่อยให้เวลาล่วงเลยต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งอื่น…
เด็กหนุ่มคนนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังแบกรับภาระเอาไว้มากมาย แล้วก็ความคาดหวังที่คนอื่นมักฝากฝังไว้เป็นประจำนั่นอีก
เฮสเทียรู้ว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ ‘ฝากฝัง’ เช่นกัน หนำซ้ำเธอยังเอาแต่คอยก่อกวนและเรียกร้องความสนใจไม่เว้นแต่ละวัน…
พอหันกลับไปดูคัมภีร์อีกครั้ง เฮสเทียก็เห็นตัวอักษรยาวหลายบรรทัดปรากฏขึ้นก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ ลอยเข้าไปในสมุดบันทึกที่อยู่ข้างกัน
นี่คือไอเท็มเวทมนตร์ที่มีชื่อว่า [บันทึกปูมหลัง] ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวคัดลอกและเก็บบันทึกการสนทนาทุกอย่างจากคัมภีร์สื่อสาร
ก่อนที่วาห์นจะมาเคาะประตู เฮสเทียนั้นได้รับสารจากเอน่าเกี่ยวกับการฆาตรรมต่อเนื่องเมื่อคืนที่ผ่านมานี้เอง…
ทางกิลด์ได้เข้าไปสอบสวนจุดเกิดเหตุตามที่ต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นบ้านพักของเหล่า ‘ผู้ที่ชื่นชอบการซื้อขายทาสอย่างผิดกฎหมาย’
สภาพของศพส่วนใหญ่นั้นเรียกได้ว่าน่าสยดสยองมากเสียจนบรรยายไม่ถูก
เพราะเอน่าเพิ่งเจอกับเพรเซียมาหมาดๆ เธอจึงตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดและพบว่าเจ้าของคนก่อนของสาวเผ่ามนุษย์แกะเองก็มีชื่ออยู่ในกลุ่ม ‘ผู้เคราะห์ร้าย’ เช่นกัน
เฮสเทียกลัวว่าวาห์นอาจรับไม่ได้ที่เป้าหมายแห่งความแค้นนั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่ให้เขาแค้นต่อเสียแล้ว
ผลก็คืออย่างที่เห็น ตอนนี้เธอได้แต่หวังว่าวาห์นจะลืมเรื่องนี้ไปเองและไม่หวนกลับไปคิดถึงมันอีก…
-หลายชั่วโมงก่อน- (A/N: ตอนนี้มีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรงนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
หลังแยกจากเด็กหนุ่มที่ช่วยเธอเอาไว้ ชีว่าก็เดินทางผ่านย่านโคมแดงก่อนจะมุ่งหน้าสู่พื้นที่ทางทิศเหนือของเมือง
ที่ดินทางทิศเหนือนั้นมีราคาแพงมากและเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าพ่อค้าและนักธุรกิจชื่อดังหลายคน
เพราะความเกรี้ยวกราดและความเกลียดชังที่มีต่อผู้เป็นนาย ไม่น่าแปลกเลยที่ชีว่าจะผ่านมือเจ้าของมาแล้วหลายต่อหลายคน
ตราสัญลักษณ์แห่งความเป็นทาสนั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะไปลองดีด้วย ทว่าดาร์คเอลฟ์สาวก็ฝืนทนมาตลอดทุกครั้ง
ส่วนรางวัลปลอบใจของเธอก็คือการได้เห็นใบหน้าหงุดหงิดของเหล่าผู้เป็นนายก่อนที่พวกมันจะส่งเธอกลับไปยังตลาดค้าทาส
ราวกับโชคชะตาเล่นตลก เพราะเจ้านายคนล่าสุดที่ส่งเธอกลับแถมทำให้เธอต้องโดนผนึกที่ลิ้นนั้นก็คืออดีตเจ้านายของเพรเซียนั่นเอง
พอนึกย้อนกลับไปในตอนแรก เพรเซียคงถูกซื้อมาหลายสัปดาห์ก่อนแล้ว… ดูได้จากบาดแผลเก่าใหม่มากมายบนร่างกายของเธอ
เจ้านายคนนี้เป็นพวกเหยียดเผ่าพันธุ์แบบสุดๆ และเชื่ออย่างสนิทใจว่าตน ‘เหนือกว่า’ เผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์อย่างเพรเซียทุกด้าน
เขาทรมานเพรเซียครั้งแล้วครั้งเล่าและทำราวกับว่าเธอเป็นเพียงสัตว์ไร้ค่าตัวหนึ่ง
เหตุผลเดียวที่ทำให้เธอรอดพ้นจากการถูกข่มขืนก็เพราะว่าเขา ‘ไม่อยากทำให้ตัวเองต้องแปดเปื้อน’ แน่นอนว่านอกจากเรื่องนั้นแล้ว เขาใช้เธอแบบ ‘คุ้มสุดๆ’
ไม่ว่าจะเป็นการทรมานต่างๆ นาๆ การฝึกให้เธอทำตัวแบบสัตว์ และแน่นอน การฝึกให้เธอสนองความต้องการทางเพศโดยละเรื่องนั้นไว้เพียงอย่างเดียว
ไม่นานเขาก็เริ่มเบื่อหน่ายกับท่าทางไม่รู้สึกรู้สาของเพรเซียและเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ชีว่าแทน
เขาเริ่มจากการดุด่า พูดจาดูถูกเหยียดหยามและประนามว่าเธอนั้น ‘ด้อยกว่า’ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นแค่เผ่ามนุษย์ ไม่ได้เป็นเทพหรือแม้แต่ลูกครึ่งเทพด้วยซ้ำ
โอกาสทองมาถึงเมื่อเจ้าอสูรต่ำช้าพยายามยัดเยียดของโสโครกของมันเข้ามาในปากของเธอ ทันใดนั้นเอง ชีว่าก็ขบมันอย่างแรงโดยหมายจะ ‘ตัดให้เหลือแต่ตอ’ แต่น่าเสียดายที่ตราสัญลักษณ์ไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้นได้ง่ายๆ
มันออกฤทธิ์ได้เร็วและรุนแรงเหมือนทุกครั้ง รอบนี้ก็เล่นเอาสมองของเธอเกือบไหม้จนใช้การไม่ได้อยู่นาน
หลังจากโดนทุบตีอย่างหนัก ชายคนนั้นก็ส่งเธอและเพรเซียคืนให้กับพ่อค้าทาสพร้อมโวยวายเป็นการใหญ่
ของชดเชยที่เขาได้กลับมาในวันนั้นก็คือทาสสาว ‘คุณภาพสูง’ คนใหม่
ชีว่าอาจจะไม่เคยเห็นทาสสาวคนนั้นมาก่อน แต่ถ้าเธอบรรยายรูปร่างลักษณะของอดีตเจ้านายให้วาห์นฟังล่ะก็ เขาคงจะร้องอ๋อทันที
ชายคนดังกล่าวนั้นที่จริงแล้วก็คือชายชราที่ฌอนทัคเดินออกมาส่งนั่นเอง (TL: ตอนที่ 249)
ภายนอกอาจดูเหมือนคุณลุงใจดีคนหนึ่ง แต่ภายในนั้นกลับเต็มไปด้วยความโหดร้ายผิดมนุษย์และความกระหายไม่รู้จบที่ต้องบรรเทาด้วยความเจ็บปวดของผู้อื่น
พอเธอกับเพรเซียกลับมาถึง พวกพนักงานก็นำยาราคาแพงออกมาให้ดื่มพร้อมกับขัดสีฉวีวรรณเพรเซียอย่างดีที่สุดและชโลมร่างของเธอด้วยยาและน้ำมันบำรุงนับไม่ถ้วน
เป้าหมายของพวกมันคงจะหนีไม่พ้นการซ่อนรอยแผลเป็นต่างๆ จนกว่าจะมีเจ้านายคนใหม่มาซื้อเธอไป
หลังจากกลับมาได้ไม่ถึงชั่วโมง พวกเธอก็ถูกบังคับให้ไปพบกับ ‘ผู้ให้ความสนใจ’ คนล่าสุด ซึ่งก็คือวาห์นนั่นเอง…
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเด็กหนุ่มแสนใจดีคนนั้น ชีว่าก็อดรู้สึกตื้นตันขึ้นมาไม่ได้
ที่จริงแล้วความสามารถในการต่อสู้ของเธอนั้นเทียบได้กับนักผจญภัยเลเวล 3 ขั้นปลายเลยทีเดียว
ดินแดนอับแสง (บ้านเกิดของชีว่า) เป็นสถานที่อันโหดร้ายและเกิดความขัดแย้งขึ้นทุกวี่วันราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงความพ่ายแพ้ของเผ่า ตามมาด้วยการมอบชีวิตให้กับเผ่าผู้ชนะ และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีว่า
หลังจากต้องทนแบกรับความอับอาย เธอก็ถูกขายให้กับเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ก่อนจะโดนขายทอดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงโอราริโอ้ได้รับอิสระจากความโชคดีที่ได้มาเจอวาห์น
สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของชีว่าในตอนนี้ก็คือการแก้แค้น แก้แค้นพวกมันทุกคนที่ทำราวกับเธอเป็นสินค้าตามตลาด
ในฐานะอดีตนักล่าประจำเผ่า เธอจะสังหารพวกมันให้หมด แผนขั้นถัดไปก็คือเดินทางกลับไปบ้านเกิดและสังหารพวกที่หยามเกียรติและขายเธอตั้งแต่ทีแรก
หลังจากก้าวเข้าไปในบ้านของอดีตเจ้านาย ชีว่าก็ลอบเข้าไปในชั้นใต้ดินลับซึ่งเป็นที่ที่ชายชราใช้คุมขังและทรมานทาส
โรค ‘ผู้อยู่เหนือทุกเผ่าพันธุ์’ ทำให้ชายชราสะสมทาสเอาไว้มากมายหลายแบบ ซึ่งต่างอยู่ในสภาพทรุดโทรมไม่ต่างกันมากนัก
ทาสคนล่าสุดของเขาดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวผมสีน้ำเงินที่มีสีหน้าว่างเปล่า
ร่างของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลหลายแห่งในขณะที่ตัวถูกมัดอยู่กับโต๊ะทรมานแบบพิเศษ
เนื่องจากเธอเป็นเผ่ามนุษย์ ชายชราจึงไม่ได้ติดใจอะไรนักและข่มขืนเธออย่างบ้าคลั่งจนไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครบางคนย่องมาอยู่ด้านหลัง
เขารู้สึกสนุกสุดเหวี่ยงจนแทบไม่รู้สึกถึงมีดที่พุ่งทะลุแผ่นหลังไปหลายครั้ง
แผลสุดท้ายนั้นร้ายแรงที่สุด เพราะมันเจาะเข้าไปตรงกระดูกสันหลังที่คอยควบคุมร่างกายส่วนล่างทั้งหมดเอาไว้
หลังผละจากทาสสาวและล้มลงกับพื้น ชายชราก็หันมาหาชีว่าและกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“แกกกกกกก! นังหมูโสโครก! สัตว์ชั้นต่ำกล้าทำถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ!?”
ชีว่าไม่สนใจคำพูดเหล่านั้นแม่แต่น้อย รอยยิ้มของเธอดูเฉิดฉายและน่าขนลุกเสียจนชายชราอยากจะหนีไปให้ไกลๆ
เธอควงมีดในมือและก้าวเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ…
ชายชรารู้ทันทีว่าชีวิตของตนกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาพยายามคลานหนีอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกคนคุ้มกันแหละเหล่าคนใช้
เขาคงกลัวจนลืมไปว่าตัวเองเป็นคนออกแบบและปรับปรุงคุกใต้ดินนี้หลายครั้งจนมันเก็บเสียงได้อย่างมิดชิด 100 เปอร์เซ็นต์
ตอนนี้เหล่าคนคุ้มกันคงกำลังปกป้องพื้นที่ชั้นบนกันอย่างแข็งขัน ปล่อยให้เขาเป็นที่รองรับอารมณ์ของชีว่าต่อไปเรื่อยๆ… หรืออย่างน้อยก็จนกว่าเธอจะส่งเขาไปยังโลกหน้า
หลังจากคลานมาจนมุมอยู่ตรงกำแพง ชายชราก็มองกลับไปและเห็นรอยเลือดที่ไหลออกมาเป็นทางยาว
เขารู้สึกแก่ลงอีกหลายปี ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดกับสิ่งสกปรกที่อยู่ในคุกใต้ดิน และภายใต้แสงสลัวนั่น ดวงตาเย็นยะเยือกของชีว่าก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาที่ละนิด
“ดะ-ได้โปรดอย่าทำแบบนี้เลย… ฉันจะให้แกทุกอย่าง เงิน สิ่งของ ได้หมด
สะ-สาบานได้ว่าฉันจะไม่ไปบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด ขะ-ขอแค่ให้แกกลับออกไปซะ!”
ชีว่ายกอาวุธในมือขึ้นและเชยชมเลือดที่ติดอยู่ตรงใบมีดพร้อมกับสูดดมเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วและทำจมูกฟุดฟิด
“ไอ้กลิ่นเหม็นนี่มันอะไรกันนะ… นี่แกยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่าเนี่ย?
ทำไมเลือดถึงมีกลิ่นเดียวกับพวกก็อบลินเลยล่ะ… เหหห จะว่าไปแล้ว แขนขาขี้โรคของแกก็เหมือนของก็อบลินอยู่นะ?”
ถึงจะกลัวสุดขีด แต่ชายชราก็ยังต้องทำหน้าบึ้งตึงเมื่อถูกเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่สุดบนโลก
เขาพยายามตะโกนออกมาอีกครั้ง แต่ทันทีที่ขยับปาก ลำแสงบางอย่างก็พุ่งผ่านหน้าไปพร้อมกับลิ้นและกรามล่างที่ตกลงกับพื้น
แน่นอนว่ามนุษย์เลเวล 1 ไม่มีทางตามการเคลื่อนไหวของดาร์คเอลฟ์เลเวล 3 ทันอยู่แล้ว
เขาพยายามกรีดร้องอีกครั้ง แต่เสียงที่ออกมานั้นแทบฟังไม่รู้เรื่องเลย อย่างมากที่พอทำได้ในตอนนี้ก็คือใช้มือปิดแผลเพื่อไม่ให้เลือดไหลจนช็อคไปเสียก่อน
ชีว่าจ้องมองชายชราต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะเดินไปทางชั้นวาง ‘เครื่องมือ’ ที่เขาชอบใช้เป็นประจำ
ที่ชั้นวางนั่นยังมีโพชั่นและยามากมายหลายแบบซึ่งส่วนใหญ่นั้นมีสรรพคุณในการฟื้นฟูร่างกาย และสมานแผลแบบเฉียบพลัน
ชีว่านำชุดตะขอเกี่ยว ค้อน และโพชั่นบางส่วนออกมา แต่พอหันกลับไปก็พบว่าชายชราเริ่มที่จะคลานหนีอีกครั้ง
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและป้องกันการหลบหนี เธอใช้ค้อนทุบข้อมือของเขาจนหัก ตามมาด้วยนิ้วทีละนิ้วจนพวกมันแตกละเอียด
ชายชราไม่อาจขัดขืนอะไรได้อีกขณะที่ชีว่าเทโพชั่นลงไปในหลอดอาหารของเขา และต่อให้เขาอยากปิดปากแค่ไหนก็คงทำไม่ได้เพราะกรามล่างนั้นไม่อยู่แล้ว
ชีว่าใช้มืออีกข้างประคองใบหน้าชราอย่าง ‘นุ่มนวล’ พร้อมกับยิ้มกว้าง… ก่อนจะฟาดขวดโพชั่นเปล่าๆ ใส่ช่องปากส่วนบนจนฟันหักไปหลายซี่
หลังจากที่ชายชราหมดสติไปแล้ว เธอก็นำตะขอมาเกี่ยวตรงต้นขาทั้งสองข้างก่อนจะใช้มันยกร่างของเขาขึ้นจากพื้นในสภาพห้อยหัวลง
ไม่นานชายชราก็ได้สติและพยายามกรีดร้องอีกครั้งแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเลย
เขาพบว่ามีบางอย่างถูกสอดเข้าไปในจมูกและทะลุลงไปถึงช่องทางเดินหายใจ
เพื่อป้องกันไม่ให้ชายชราหายใจติดขัด ชีว่าจึงสอดท่อเข้าไปในนั้นและใช้ผ้ารัดตรงส่วนจมูกไว้แบบหลวมๆ
ชายชราจะเป็นตายร้ายดียังไงเธอไม่สนใจอยู่แล้ว แต่สิ่งสุดท้ายที่อยากให้เขาได้ลิ้มรสก่อนจากไปก็คือประสบการณ์แบบเดียวกับที่พวกทาสเคยเจอ
เธอใช้เวลาครึ่งชั่วโมงไปกับการสลักคำต่างๆ ลงบนเนื้อหนังเหี่ยวย่นโดยใช้ทั้งมีดและแท่งเหล็กร้อนๆ
ก่อนจะไปต่อ เธอก็นำโพชั่นมาราดตามที่ต่างๆ และยกกระจกออกมาส่องให้เขาดูด้วย
การทรมานยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนร่างกายของเขาถูกถอดออกทีละส่วนจนเหลือเพียงแค่ศีรษะและลำตัวที่ห้องโตงเตงไปมา
ชายชราได้แต่จ้องมองแขนขาของตัวเองที่ถูกวางไว้ตรงหน้าด้วยสายตาแสนสลด
ชีว่ายิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ขณะใช้มือลูบเส้นผมมันเยิ้มและพูดอย่างนุ่มนวล
“อย่างห่วงเลย อีกเดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ… รับรองว่าแกต้องชอบขั้นตอนต่อไปแน่นอน… คงจะน่าเสียดายมากถ้าไม่ได้ลิ้มลองสิ่งนี้ด้วยตัวแกเอง”
ชีว่าราดโพชั่นที่เหลือลงไปบนร่างกายของชายชราก่อนจะก้มลงและตัด ‘ของโสโครกนั่น’ ออกมา
ก่อนหน้านี้เธอได้ให้เขาดื่มยาชูกำลังเข้าไปด้วย ดังนั้นต่อให้โดนทรมานแสนสาหัสแค่ไหน ของโสโครกนั่นก็ยังแข็งกร้าวอยู่ตลอด
เธอนำผ้ามาผูกตรงที่ๆ มันเคยอยู่เพื่อทำการห้ามเลือดและนำท่อหายใจออกจากจมูกและลำคอของเขา
ของขวัญอำลาที่เธอมอบให้กับชายชราก่อนจะทำการปลดปล่อยทาสคนอื่นๆ… ก็คือการยัดท่อนเนื้อนั่นลงไปในลำคอของเขาเป็นการปิดท้าย…
(TL: จริงๆ แล้วชื่อตอนคือ ‘Desserts’ หรือก็คือ ‘ของหวาน’ ตามคำคมที่มีชื่อว่า ‘Just Deserts’ หรือก็คือ ‘ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว’ นั่นแหละ แต่จะแปลยังไงล่ะ -*- ตอนแรกจะแปลชื่อตอนว่า ‘ของหวานคล่องคอ’ อยู่แล้วเชียว แต่ก็แบบ…