Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 260

ตอนที่ 260

เมื่อมาถึงด้านนอกห้องของเฮสเทีย วาห์นก็เคาะที่ประตูก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน

เขาเห็นเฮสเทียนั่งเขียนบางอย่างลงในคัมภีร์ขนาดใหญ่อยู่บนโต๊ะก่อนที่เธอจะหันกลับมายิ้มให้แบบเศร้าๆ

เมื่อนึกถึงตอนก่อนหน้านี้ วาห์นก็ยิ้มและพูดขึ้น

“ขอบคุณนะเฮสเทีย… ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าควรทำยังไงดี

เพรเซีย… เธอต่างไปจากผู้คนที่ฉันเคยเจอ”

เฮสเทียวางปากกาขนนกลงก่อนจะลุกขึ้นและลงมานั่งที่เตียงแทน

“มานั่งนี่สิวาห์น”

ท่าทางเกรี้ยวกราดของวาห์นดูอ่อนลงเล็กน้อยขณะที่เจ้าตัวถอนหายใจและเดินไปนั่งข้างๆ เฮสเทีย

เทพตัวเล็กเคลื่อนตัวเข้าไปที่กลางเตียงก่อนจะตบที่ต้นขาของตัวเอง นั่นเป็นสัญญาณบอกวาห์นว่าให้ใช้มันแทนหมอนได้เต็มที่เลย

วาห์นยังไม่แน่ใจว่าเฮสเทียพยายามจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือเรื่องแบบนี้เขาไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ยิ่งเป็นต้นขาเนียนนุ่มของเธอก็ยิ่งแล้วใหญ่

การนอนด้วยกันเป็นประจำทำให้วาห์นรู้จักพิษสงและความเย้ายวนจากการสัมผัสกับเรือนร่างของเทพธิดาองค์นี้เป็นอย่างดี

เฮสเทียลูบเส้นผมสีเข้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม

“วาห์น ตอนนี้นายอยากทำอะไรมากที่สุดเหรอ? ฉันขอให้นายพูดความจริงจะได้หรือเปล่า..?”

น้ำเสียงอ่อนโยนนั่นทำให้วาห์นรู้สึกผ่อนคลายมากจนได้แต่ตอบออกไปตามตรง

“ฉันอยากทำให้มันชดใช้… ชดใช้ในสิ่งที่ทำกับเพรเซีย”

เฮสเทียลูบใบหน้าหล่อเหลาและมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเลขณะเอ่ยถามเบาๆ

“ทำไปแล้วนายจะรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า?”

เป็นคำง่ายๆ ที่เล่นเอาวาห์นอึ้งไปครู่หนึ่ง ส่วนสายตาสีฟ้าใสราวกับทะเลสาบไร้ก้นบึ้งก็ยังคงจ้องมองมาและเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

หลังจากเงียบไปสองสามวินาที วาห์นก็ตอบเสียงแผ่ว

“ก็เปล่า…”

เฮสเทียผงกหัวเล็กน้อยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนอย่างเคย

“นายจะให้เพรเซียเป็นคนเอาคืนผู้ชายคนนั้นจนสาแก่ใจแล้วก็คอยยืนดูอยู่ข้างๆ หรือเปล่า?”

ภาพที่เพรเซียใช้แท่งเหล็กร้อนๆ ทรมานเจ้านายคนก่อนแล่นเข้าสู่สมองของวาห์นทันที

วาห์นกัดฟันแน่นขณะตอบเสียงเบา

“ไม่… ฉันคงจะห้ามเธอไว้… เธอไม่ควรมาทำ-”

ก่อนจะได้พูดต่อจนจบ เฮสเทียก็วางนิ้วลงบนริมฝีปากของเขาเพื่อหยุดมันไว้ก่อน

วาห์นปิดปากลงด้วยสีหน้าเศร้าและปล่อยให้เฮสเทียเป็นคนพูดต่อ

“มันไม่ใช่หน้าที่ที่นายต้องแบกรับทุกอย่างนะวาห์น… ไหนลองบอกชื่อคนที่นายอยากปกป้องออกมาหน่อยสิ?”

วาห์นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำออกมา

“ฮารุฮิเมะ เอน่า ทีน่า มิลาน ลิลลี่…-”

เป็นอีกครั้งที่เฮสเทียขัดจังหวะเขา

“คนเรามักจะไล่ชื่อตามความสำคัญในช่วงเวลานั้นๆ นะ… ถึงจะรู้สึกเห็นใจเพรเซียมากแต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งแรกที่นายคิดถึง

สิ่งที่นายบอกว่าอยากทำในตอนแรกเองก็อาจจะไม่ใช่ความจริง ดูไปก็เหมือนเป็นสิ่งที่นายไม่อยากให้เพรเซียทำซะมากกว่า

นายยังมีอีกหลายสิ่งที่อยากปกป้อง… และการล้างแค้นก็ไม่ได้รวมอยู่ในนั้นหรอกนะ

นายควรผ่อนคลายให้มากกว่านี้ เอาเวลาไปดูแลคนรอบข้าง ส่วนพวกเราก็จะดูแลนายให้ดีที่สุด

เพรเซียเองก็ปลอดภัยแล้ว… ปล่อยให้เธอพักฟื้นไปก่อน จากนั้นค่อยสะสางเรื่องอดีตของเธอทีหลัง

ตอนนี้แฟมิเลียของเราได้เข้าไปพัวพันกับอิชทาร์แฟมิเลียและการแก่งแย่งอำนาจภายในเขตสถานบันเทิงแล้ว

นายต้องเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังให้ดีกว่านี้นะ… ไม่ใช่ว่าจะต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องยิบย่อยทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามา…”

เป็นเวลากว่านาทีที่วาห์นปล่อยให้คำพูดของเฮสเทียซึมเข้าไปในสมอง แถมเธอยังคงลูบศีรษะของเขาต่อ ราวกับจะช่วยให้มันซึมเข้าไปได้เร็วขึ้น

เมื่อเห็นว่าวาห์นยังคงอับจนคำพูด เฮสเทียจึงโน้มตัวเข้ามากระซิบเป็นการเชื้อเชิญ

“นอนพักเถอะ… พักสักเดี๋ยวนึง… วันนี้นายเหนื่อยมามากแล้ว

พอคนอื่นๆ มากันแล้วฉันจะเป็นคนปลุกนายเอง… สำหรับตอนนี้ นอนพักเถอะ…”

วาห์นเชื่อฟังคำพูดของเฮสเทียอย่างว่าง่ายและค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ ภายใต้สัมผัสของต้นขาอ่อนนุ่มและมือที่ยังคอยช่วยปลอบประโลมความคิดที่ยังว้าวุ่นไม่หาย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนทาบทามให้ผ่อนคลายเสียบ้าง แต่คราวนี้ดูเหมือนคำพูดของเฮสเทียจะได้ผลดีเกินคาด

พอได้เทพจอมขี้เกียจมาคอยดูแลอย่างใกล้ชิดแบบนี้… จู่ๆ วาห์นก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากและสลบไสลไปในที่สุด

เฮสเทียยังคงลูบเส้นผมและใบหน้าของเขาอย่างเอ็นดูโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ

เธอจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์จากมุมสูงด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย

วาห์นในตอนนี้นั้นช่างดูไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลกซะเหลือเกิน… ไม่เหลือเค้าของวีรบุรุษหนุ่มน้อยที่มักตัดสินใจเด็ดเดี่ยวและชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เลย

เธอหวังลึกๆ ว่าพวกเขาจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ… อยู่กันแค่สองคนภายใต้ความเงียบงัน ปล่อยให้เวลาล่วงเลยต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งอื่น…

เด็กหนุ่มคนนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังแบกรับภาระเอาไว้มากมาย แล้วก็ความคาดหวังที่คนอื่นมักฝากฝังไว้เป็นประจำนั่นอีก

เฮสเทียรู้ว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ ‘ฝากฝัง’ เช่นกัน หนำซ้ำเธอยังเอาแต่คอยก่อกวนและเรียกร้องความสนใจไม่เว้นแต่ละวัน…

พอหันกลับไปดูคัมภีร์อีกครั้ง เฮสเทียก็เห็นตัวอักษรยาวหลายบรรทัดปรากฏขึ้นก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ ลอยเข้าไปในสมุดบันทึกที่อยู่ข้างกัน

นี่คือไอเท็มเวทมนตร์ที่มีชื่อว่า [บันทึกปูมหลัง] ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวคัดลอกและเก็บบันทึกการสนทนาทุกอย่างจากคัมภีร์สื่อสาร

ก่อนที่วาห์นจะมาเคาะประตู เฮสเทียนั้นได้รับสารจากเอน่าเกี่ยวกับการฆาตรรมต่อเนื่องเมื่อคืนที่ผ่านมานี้เอง…

ทางกิลด์ได้เข้าไปสอบสวนจุดเกิดเหตุตามที่ต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นบ้านพักของเหล่า ‘ผู้ที่ชื่นชอบการซื้อขายทาสอย่างผิดกฎหมาย’

สภาพของศพส่วนใหญ่นั้นเรียกได้ว่าน่าสยดสยองมากเสียจนบรรยายไม่ถูก

เพราะเอน่าเพิ่งเจอกับเพรเซียมาหมาดๆ เธอจึงตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดและพบว่าเจ้าของคนก่อนของสาวเผ่ามนุษย์แกะเองก็มีชื่ออยู่ในกลุ่ม ‘ผู้เคราะห์ร้าย’ เช่นกัน

เฮสเทียกลัวว่าวาห์นอาจรับไม่ได้ที่เป้าหมายแห่งความแค้นนั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่ให้เขาแค้นต่อเสียแล้ว

ผลก็คืออย่างที่เห็น ตอนนี้เธอได้แต่หวังว่าวาห์นจะลืมเรื่องนี้ไปเองและไม่หวนกลับไปคิดถึงมันอีก…

-หลายชั่วโมงก่อน- (A/N: ตอนนี้มีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรงนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

หลังแยกจากเด็กหนุ่มที่ช่วยเธอเอาไว้ ชีว่าก็เดินทางผ่านย่านโคมแดงก่อนจะมุ่งหน้าสู่พื้นที่ทางทิศเหนือของเมือง

ที่ดินทางทิศเหนือนั้นมีราคาแพงมากและเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าพ่อค้าและนักธุรกิจชื่อดังหลายคน

เพราะความเกรี้ยวกราดและความเกลียดชังที่มีต่อผู้เป็นนาย ไม่น่าแปลกเลยที่ชีว่าจะผ่านมือเจ้าของมาแล้วหลายต่อหลายคน

ตราสัญลักษณ์แห่งความเป็นทาสนั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะไปลองดีด้วย ทว่าดาร์คเอลฟ์สาวก็ฝืนทนมาตลอดทุกครั้ง

ส่วนรางวัลปลอบใจของเธอก็คือการได้เห็นใบหน้าหงุดหงิดของเหล่าผู้เป็นนายก่อนที่พวกมันจะส่งเธอกลับไปยังตลาดค้าทาส

ราวกับโชคชะตาเล่นตลก เพราะเจ้านายคนล่าสุดที่ส่งเธอกลับแถมทำให้เธอต้องโดนผนึกที่ลิ้นนั้นก็คืออดีตเจ้านายของเพรเซียนั่นเอง

พอนึกย้อนกลับไปในตอนแรก เพรเซียคงถูกซื้อมาหลายสัปดาห์ก่อนแล้ว… ดูได้จากบาดแผลเก่าใหม่มากมายบนร่างกายของเธอ

เจ้านายคนนี้เป็นพวกเหยียดเผ่าพันธุ์แบบสุดๆ และเชื่ออย่างสนิทใจว่าตน ‘เหนือกว่า’ เผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์อย่างเพรเซียทุกด้าน

เขาทรมานเพรเซียครั้งแล้วครั้งเล่าและทำราวกับว่าเธอเป็นเพียงสัตว์ไร้ค่าตัวหนึ่ง

เหตุผลเดียวที่ทำให้เธอรอดพ้นจากการถูกข่มขืนก็เพราะว่าเขา ‘ไม่อยากทำให้ตัวเองต้องแปดเปื้อน’ แน่นอนว่านอกจากเรื่องนั้นแล้ว เขาใช้เธอแบบ ‘คุ้มสุดๆ’

ไม่ว่าจะเป็นการทรมานต่างๆ นาๆ การฝึกให้เธอทำตัวแบบสัตว์ และแน่นอน การฝึกให้เธอสนองความต้องการทางเพศโดยละเรื่องนั้นไว้เพียงอย่างเดียว

ไม่นานเขาก็เริ่มเบื่อหน่ายกับท่าทางไม่รู้สึกรู้สาของเพรเซียและเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ชีว่าแทน

เขาเริ่มจากการดุด่า พูดจาดูถูกเหยียดหยามและประนามว่าเธอนั้น ‘ด้อยกว่า’ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นแค่เผ่ามนุษย์ ไม่ได้เป็นเทพหรือแม้แต่ลูกครึ่งเทพด้วยซ้ำ

โอกาสทองมาถึงเมื่อเจ้าอสูรต่ำช้าพยายามยัดเยียดของโสโครกของมันเข้ามาในปากของเธอ ทันใดนั้นเอง ชีว่าก็ขบมันอย่างแรงโดยหมายจะ ‘ตัดให้เหลือแต่ตอ’ แต่น่าเสียดายที่ตราสัญลักษณ์ไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้นได้ง่ายๆ

มันออกฤทธิ์ได้เร็วและรุนแรงเหมือนทุกครั้ง รอบนี้ก็เล่นเอาสมองของเธอเกือบไหม้จนใช้การไม่ได้อยู่นาน

หลังจากโดนทุบตีอย่างหนัก ชายคนนั้นก็ส่งเธอและเพรเซียคืนให้กับพ่อค้าทาสพร้อมโวยวายเป็นการใหญ่

ของชดเชยที่เขาได้กลับมาในวันนั้นก็คือทาสสาว ‘คุณภาพสูง’ คนใหม่

ชีว่าอาจจะไม่เคยเห็นทาสสาวคนนั้นมาก่อน แต่ถ้าเธอบรรยายรูปร่างลักษณะของอดีตเจ้านายให้วาห์นฟังล่ะก็ เขาคงจะร้องอ๋อทันที

ชายคนดังกล่าวนั้นที่จริงแล้วก็คือชายชราที่ฌอนทัคเดินออกมาส่งนั่นเอง (TL: ตอนที่ 249)

ภายนอกอาจดูเหมือนคุณลุงใจดีคนหนึ่ง แต่ภายในนั้นกลับเต็มไปด้วยความโหดร้ายผิดมนุษย์และความกระหายไม่รู้จบที่ต้องบรรเทาด้วยความเจ็บปวดของผู้อื่น

พอเธอกับเพรเซียกลับมาถึง พวกพนักงานก็นำยาราคาแพงออกมาให้ดื่มพร้อมกับขัดสีฉวีวรรณเพรเซียอย่างดีที่สุดและชโลมร่างของเธอด้วยยาและน้ำมันบำรุงนับไม่ถ้วน

เป้าหมายของพวกมันคงจะหนีไม่พ้นการซ่อนรอยแผลเป็นต่างๆ จนกว่าจะมีเจ้านายคนใหม่มาซื้อเธอไป

หลังจากกลับมาได้ไม่ถึงชั่วโมง พวกเธอก็ถูกบังคับให้ไปพบกับ ‘ผู้ให้ความสนใจ’ คนล่าสุด ซึ่งก็คือวาห์นนั่นเอง…

เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเด็กหนุ่มแสนใจดีคนนั้น ชีว่าก็อดรู้สึกตื้นตันขึ้นมาไม่ได้

ที่จริงแล้วความสามารถในการต่อสู้ของเธอนั้นเทียบได้กับนักผจญภัยเลเวล 3 ขั้นปลายเลยทีเดียว

ดินแดนอับแสง (บ้านเกิดของชีว่า) เป็นสถานที่อันโหดร้ายและเกิดความขัดแย้งขึ้นทุกวี่วันราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงความพ่ายแพ้ของเผ่า ตามมาด้วยการมอบชีวิตให้กับเผ่าผู้ชนะ และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีว่า

หลังจากต้องทนแบกรับความอับอาย เธอก็ถูกขายให้กับเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ก่อนจะโดนขายทอดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงโอราริโอ้ได้รับอิสระจากความโชคดีที่ได้มาเจอวาห์น

สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของชีว่าในตอนนี้ก็คือการแก้แค้น แก้แค้นพวกมันทุกคนที่ทำราวกับเธอเป็นสินค้าตามตลาด

ในฐานะอดีตนักล่าประจำเผ่า เธอจะสังหารพวกมันให้หมด แผนขั้นถัดไปก็คือเดินทางกลับไปบ้านเกิดและสังหารพวกที่หยามเกียรติและขายเธอตั้งแต่ทีแรก

หลังจากก้าวเข้าไปในบ้านของอดีตเจ้านาย ชีว่าก็ลอบเข้าไปในชั้นใต้ดินลับซึ่งเป็นที่ที่ชายชราใช้คุมขังและทรมานทาส

โรค ‘ผู้อยู่เหนือทุกเผ่าพันธุ์’ ทำให้ชายชราสะสมทาสเอาไว้มากมายหลายแบบ ซึ่งต่างอยู่ในสภาพทรุดโทรมไม่ต่างกันมากนัก

ทาสคนล่าสุดของเขาดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวผมสีน้ำเงินที่มีสีหน้าว่างเปล่า

ร่างของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลหลายแห่งในขณะที่ตัวถูกมัดอยู่กับโต๊ะทรมานแบบพิเศษ

เนื่องจากเธอเป็นเผ่ามนุษย์ ชายชราจึงไม่ได้ติดใจอะไรนักและข่มขืนเธออย่างบ้าคลั่งจนไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครบางคนย่องมาอยู่ด้านหลัง

เขารู้สึกสนุกสุดเหวี่ยงจนแทบไม่รู้สึกถึงมีดที่พุ่งทะลุแผ่นหลังไปหลายครั้ง

แผลสุดท้ายนั้นร้ายแรงที่สุด เพราะมันเจาะเข้าไปตรงกระดูกสันหลังที่คอยควบคุมร่างกายส่วนล่างทั้งหมดเอาไว้

หลังผละจากทาสสาวและล้มลงกับพื้น ชายชราก็หันมาหาชีว่าและกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

“แกกกกกกก! นังหมูโสโครก! สัตว์ชั้นต่ำกล้าทำถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ!?”

ชีว่าไม่สนใจคำพูดเหล่านั้นแม่แต่น้อย รอยยิ้มของเธอดูเฉิดฉายและน่าขนลุกเสียจนชายชราอยากจะหนีไปให้ไกลๆ

เธอควงมีดในมือและก้าวเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ…

ชายชรารู้ทันทีว่าชีวิตของตนกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาพยายามคลานหนีอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกคนคุ้มกันแหละเหล่าคนใช้

เขาคงกลัวจนลืมไปว่าตัวเองเป็นคนออกแบบและปรับปรุงคุกใต้ดินนี้หลายครั้งจนมันเก็บเสียงได้อย่างมิดชิด 100 เปอร์เซ็นต์

ตอนนี้เหล่าคนคุ้มกันคงกำลังปกป้องพื้นที่ชั้นบนกันอย่างแข็งขัน ปล่อยให้เขาเป็นที่รองรับอารมณ์ของชีว่าต่อไปเรื่อยๆ… หรืออย่างน้อยก็จนกว่าเธอจะส่งเขาไปยังโลกหน้า

หลังจากคลานมาจนมุมอยู่ตรงกำแพง ชายชราก็มองกลับไปและเห็นรอยเลือดที่ไหลออกมาเป็นทางยาว

เขารู้สึกแก่ลงอีกหลายปี ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดกับสิ่งสกปรกที่อยู่ในคุกใต้ดิน และภายใต้แสงสลัวนั่น ดวงตาเย็นยะเยือกของชีว่าก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาที่ละนิด

“ดะ-ได้โปรดอย่าทำแบบนี้เลย… ฉันจะให้แกทุกอย่าง เงิน สิ่งของ ได้หมด

สะ-สาบานได้ว่าฉันจะไม่ไปบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด ขะ-ขอแค่ให้แกกลับออกไปซะ!”

ชีว่ายกอาวุธในมือขึ้นและเชยชมเลือดที่ติดอยู่ตรงใบมีดพร้อมกับสูดดมเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วและทำจมูกฟุดฟิด

“ไอ้กลิ่นเหม็นนี่มันอะไรกันนะ… นี่แกยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่าเนี่ย?

ทำไมเลือดถึงมีกลิ่นเดียวกับพวกก็อบลินเลยล่ะ… เหหห จะว่าไปแล้ว แขนขาขี้โรคของแกก็เหมือนของก็อบลินอยู่นะ?”

ถึงจะกลัวสุดขีด แต่ชายชราก็ยังต้องทำหน้าบึ้งตึงเมื่อถูกเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่สุดบนโลก

เขาพยายามตะโกนออกมาอีกครั้ง แต่ทันทีที่ขยับปาก ลำแสงบางอย่างก็พุ่งผ่านหน้าไปพร้อมกับลิ้นและกรามล่างที่ตกลงกับพื้น

แน่นอนว่ามนุษย์เลเวล 1 ไม่มีทางตามการเคลื่อนไหวของดาร์คเอลฟ์เลเวล 3 ทันอยู่แล้ว

เขาพยายามกรีดร้องอีกครั้ง แต่เสียงที่ออกมานั้นแทบฟังไม่รู้เรื่องเลย อย่างมากที่พอทำได้ในตอนนี้ก็คือใช้มือปิดแผลเพื่อไม่ให้เลือดไหลจนช็อคไปเสียก่อน

ชีว่าจ้องมองชายชราต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะเดินไปทางชั้นวาง ‘เครื่องมือ’ ที่เขาชอบใช้เป็นประจำ

ที่ชั้นวางนั่นยังมีโพชั่นและยามากมายหลายแบบซึ่งส่วนใหญ่นั้นมีสรรพคุณในการฟื้นฟูร่างกาย และสมานแผลแบบเฉียบพลัน

ชีว่านำชุดตะขอเกี่ยว ค้อน และโพชั่นบางส่วนออกมา แต่พอหันกลับไปก็พบว่าชายชราเริ่มที่จะคลานหนีอีกครั้ง

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและป้องกันการหลบหนี เธอใช้ค้อนทุบข้อมือของเขาจนหัก ตามมาด้วยนิ้วทีละนิ้วจนพวกมันแตกละเอียด

ชายชราไม่อาจขัดขืนอะไรได้อีกขณะที่ชีว่าเทโพชั่นลงไปในหลอดอาหารของเขา และต่อให้เขาอยากปิดปากแค่ไหนก็คงทำไม่ได้เพราะกรามล่างนั้นไม่อยู่แล้ว

ชีว่าใช้มืออีกข้างประคองใบหน้าชราอย่าง ‘นุ่มนวล’ พร้อมกับยิ้มกว้าง… ก่อนจะฟาดขวดโพชั่นเปล่าๆ ใส่ช่องปากส่วนบนจนฟันหักไปหลายซี่

หลังจากที่ชายชราหมดสติไปแล้ว เธอก็นำตะขอมาเกี่ยวตรงต้นขาทั้งสองข้างก่อนจะใช้มันยกร่างของเขาขึ้นจากพื้นในสภาพห้อยหัวลง

ไม่นานชายชราก็ได้สติและพยายามกรีดร้องอีกครั้งแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเลย

เขาพบว่ามีบางอย่างถูกสอดเข้าไปในจมูกและทะลุลงไปถึงช่องทางเดินหายใจ

เพื่อป้องกันไม่ให้ชายชราหายใจติดขัด ชีว่าจึงสอดท่อเข้าไปในนั้นและใช้ผ้ารัดตรงส่วนจมูกไว้แบบหลวมๆ

ชายชราจะเป็นตายร้ายดียังไงเธอไม่สนใจอยู่แล้ว แต่สิ่งสุดท้ายที่อยากให้เขาได้ลิ้มรสก่อนจากไปก็คือประสบการณ์แบบเดียวกับที่พวกทาสเคยเจอ

เธอใช้เวลาครึ่งชั่วโมงไปกับการสลักคำต่างๆ ลงบนเนื้อหนังเหี่ยวย่นโดยใช้ทั้งมีดและแท่งเหล็กร้อนๆ

ก่อนจะไปต่อ เธอก็นำโพชั่นมาราดตามที่ต่างๆ และยกกระจกออกมาส่องให้เขาดูด้วย

การทรมานยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนร่างกายของเขาถูกถอดออกทีละส่วนจนเหลือเพียงแค่ศีรษะและลำตัวที่ห้องโตงเตงไปมา

ชายชราได้แต่จ้องมองแขนขาของตัวเองที่ถูกวางไว้ตรงหน้าด้วยสายตาแสนสลด

ชีว่ายิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ขณะใช้มือลูบเส้นผมมันเยิ้มและพูดอย่างนุ่มนวล

“อย่างห่วงเลย อีกเดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ… รับรองว่าแกต้องชอบขั้นตอนต่อไปแน่นอน… คงจะน่าเสียดายมากถ้าไม่ได้ลิ้มลองสิ่งนี้ด้วยตัวแกเอง”

ชีว่าราดโพชั่นที่เหลือลงไปบนร่างกายของชายชราก่อนจะก้มลงและตัด ‘ของโสโครกนั่น’ ออกมา

ก่อนหน้านี้เธอได้ให้เขาดื่มยาชูกำลังเข้าไปด้วย ดังนั้นต่อให้โดนทรมานแสนสาหัสแค่ไหน ของโสโครกนั่นก็ยังแข็งกร้าวอยู่ตลอด

เธอนำผ้ามาผูกตรงที่ๆ มันเคยอยู่เพื่อทำการห้ามเลือดและนำท่อหายใจออกจากจมูกและลำคอของเขา

ของขวัญอำลาที่เธอมอบให้กับชายชราก่อนจะทำการปลดปล่อยทาสคนอื่นๆ… ก็คือการยัดท่อนเนื้อนั่นลงไปในลำคอของเขาเป็นการปิดท้าย…

(TL: จริงๆ แล้วชื่อตอนคือ ‘Desserts’ หรือก็คือ ‘ของหวาน’ ตามคำคมที่มีชื่อว่า ‘Just Deserts’ หรือก็คือ ‘ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว’ นั่นแหละ แต่จะแปลยังไงล่ะ -*- ตอนแรกจะแปลชื่อตอนว่า ‘ของหวานคล่องคอ’ อยู่แล้วเชียว แต่ก็แบบ…

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท