Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 263

ตอนที่ 263

หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว ทั้งสามก็ช่วยกันร่างตารางเวลาขึ้นมาโดยส่วนใหญ่นั้นเน้นหนักไปที่การ ‘ผ่อนคลาย’

วาห์นจะตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน จากนั้นเขาก็จะเริ่มฝึกพื้นฐานการต่อสู้ระยะประชิดให้กับฮารุฮิเมะ เอมิรุ และมาเอมิ

ถึงฮารุฮิเมะอยากจะเน้นฝึกเวทมนตร์เพียงอย่างเดียว แต่วาห์นคิดว่าการเพิ่มค่าความว่องไวและความอดทนเอาไว้บ้างก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน

คู่แฝดที่หมายมั่นว่าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนก็ต้องฝึกเพิ่มทั้งสองค่านี้เช่นกัน โดยเฉพาะค่าความว่องไวที่เป็นจุดเด่นของเผ่าพันธุ์แมวเหมียวทั้งหลาย

ค่าความว่องไวของทั้งสองนั้นอยู่สูงกว่าค่าอื่นๆ มาก แถมร่างกายยังเป็นแบบเพรียวบางซึ่งเหมาะแก่การต่อสู้โดยใช้ความเร็วเป็นหลัก

พอจบการฝึกช่วงเช้าแล้ว วาห์นก็จะเจอกับ ‘ช่วงผ่อนคลาย’ อันแรกที่เขาสามารถทำอะไรก็ได้จนกว่าจะถึงพักเที่ยง

เฮสเทียย้ำหนักย้ำหนาว่า ‘ต้องพักจริงๆนะ’ กับ ‘ต้องบอกคนอื่นด้วยนะว่านายอยากทำอะไร’

เพราะหากปล่อยไปเฉยๆ วาห์นก็จะเออออตามคนอื่นไปเรื่อยเหมือนอย่างเคย

หลังจากทานมื้อเที่ยงแล้ว วาห์นจะ ‘ได้รับอนุญาต’ ให้ทำงานได้ แต่มันต้องไม่ใช่งานที่เคร่งเครียดหรือหนักจนเกินไปนัก

ตกเย็นจะจบลงด้วยการอาบน้ำ ทานมื้อเย็น จากนั้นก็เข้านอนตามปกติ

ตอนแรกวาห์นนึกว่าเรื่องนี้จะอยู่ในหมวด ‘ผ่อนคลาย’ ด้วย แต่เขากลับถูกห้ามไม่ให้เอาเวลาว่างไปใช้นวดคนอื่น ถ้าจะทำจริงๆ ก็ต้องเอาเวลาทำงานในช่วงบ่ายไปใช้

หากไม่ใช่การเดตหรืออะไรทำนองนั้น วาห์นควรพักในช่วงเย็นแทนที่จะเอาเวลาไปปรนเปรอคนอื่นอยู่ฝ่ายเดียว

ขณะทำตารางขึ้นมา วาห์นก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘มันจะเป็นแบบที่เขียนได้จริงๆ เหรอ?’

เขาได้หยุดช่วงสุดสัปดาห์อยู่แล้ว มันก็เลยยิ่งดูแปลกที่ ‘งานหลัก’ ในตอนนี้กลายมาเป็นการพักผ่อนแทน

เพราะรู้ว่าคนอื่นๆ กำลังพยายามฝึกอย่างหนัก การที่ตัวเองเอาเวลามานั่งๆ นอนๆ จึงเป็นความรู้สึกที่… ไม่ค่อยจะดีนัก

แต่เขาก็คงยอมตามน้ำไปก่อนนอกเสียจากว่ามีเหตุฉุกเฉินจริงๆ

หลังจากนั้น เฮสเทียก็เริ่มเขียนตารางเวลาส่งให้กับเครือข่ายขณะที่ริวและวาห์นออกไปอธิบายให้เหล่าสมาชิกทุกคนทราบ

ริวผู้รับหน้าที่เป็นรองกัปตันจะต้องคอยกำกับและดูแลทุกคนอยู่เกือบตลอดเวลา นั่นรวมถึงเรื่องการฝึกด้วย

เอลฟ์สาวอยากให้วาห์นใช้เวลาไปกับการพัฒนาสกิลของตัวเองโดยไม่ต้องมานั่งห่วงเรื่องการฝึกของคนอื่น แค่มาให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เป็นบางครั้งก็น่าจะพอแล้ว (TL: เรียกขวัญกำลังใจล้วนๆ)

ว่ากันตามตรง การจะให้พวกสาวๆ มาเลียนแบบวิธีสู้ของเขานั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นสไตล์ใช้ความเร็วของริวล่ะก็ อันนี้ยังพอเป็นไปหน่อย

ริวยังมีความสามารถทางด้านเวทมนตร์และสกิล [ร่ายเวทต่อเนื่อง] ที่ใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ เธอจึงเหมาะกับตำแหน่งครูฝึกที่สุดแล้ว

สุดท้ายวาห์นก็เป็นได้แค่ผู้สังเกตการณ์หรือไม่ก็คู่ฝึก (เป็นบางครั้ง) โดยเอาเวลาที่เหลือไปพัฒนาสกิลของตัวเองแทน

มิโคโตะที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ห้องเดียวกับฮารุฮิเมะเองก็ต้องฝึกแบบตัวคนเดียวเช่นกัน เพราะเพลงดาบของเธอนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์มาก ส่วนเวทที่ถนัดก็เป็นพวกเวทมนตร์ตรวจจับ

วาห์นรู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้ว่าสกิล [ยาตาโนะชิโรการาสึ] ของเธอสามารถตรวจจับศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ได้ แถมยังระบุตำแหน่งของสมาชิกในแฟมิเลียเดียวกันได้ด้วย

อาจจะยังห่างชั้นเมื่อเทียบกับสกิลตรวจจับของเขาเอง แต่มันก็เป็นวิชาที่น่าประทับใจและเหมาะกับหน่วยลาดตระเวนหรือไม่ก็คนที่ประจำอยู่แนวหน้าเป็นอย่างมาก

พอถึงตอนบ่าย ในที่สุดเพรเซียก็ตื่นขึ้นและทำให้เฟนเรียร์รู้สึกตื่นเต้นมากจนวาห์นเองยังรู้สึกได้

วาห์นตระหนักว่าเด็กสาวนั้นไม่ได้ติดใจเรื่องที่เขาสามารถสื่อถึงเธอได้ตลอด แถมเธอยังใช้มันแทนเครื่องมือสื่อสารเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกต่างหาก

ไม่นานหลังจากนั้น วาห์นก็เรียกรวมทุกคนให้มาที่ห้องทานอาหารในขณะที่คู่แฝดช่วยพยุงเพรเซียออกมาจากห้อง

ท่าทางของเธอดูอ่อนล้ามาก แต่วาห์นก็โล่งใจที่เห็นดวงตาสีเทากลับมามีประกายแสงอีกครั้ง

หลังจากมากันครบแล้ว วาห์นจึงนั่งฝั่งตรงข้ามกับเพรเซียโดยมีเฮสเทียและฮารุฮิเมะคอยขนาบข้าง

บรรยากาศในห้องดูสบายๆ โดยที่ทุกคนคุยเล่นกันบ้าง หยอกกันบ้าง บางทีก็หันไปจ้องมองพรีเซียด้วยความรู้สึกเป็นห่วง

วาห์นรู้สึกว่านี่เป็นบรรยากาศที่ดีมากและอยากให้มันเป็นแบบนี้บ่อยๆ

นี่คือภาพที่เขาอยากเห็นนับตั้งแต่ตอนได้ใกล้ชิดกับโลกิแฟมิเลียภายในดันเจี้ยน

ถ้าสมาชิกทุกคนคอยช่วยเหลือกันแบบนี้ตลอด ภาระของเขาก็จะเบาลงไปเยอะเลย

เพรเซียเองก็คงสัมผัสถึงบรรยากาศนี้ได้เช่นเดียวกัน ตอนนี้หญิงสาวกำลังแสดงสีหน้าซาบซึ้งแต่ก็ไม่ถึงกับร้องไห้ออกมาอีกรอบ

เธอดูกล้าๆ กลัวๆ และติดขี้อายมากแต่ก็ยังดีกว่าท่าทางในตอนแรกเป็นไหนๆ

เพรเซียก้มหัวลงต่ำและพูดขึ้นเบาๆ

“ขอบคุณ… ที่รักษาให้นะคะ…”

วาห์นยิ้มอ่อนและพูดเสียงเบาเช่นกันเพื่อไม่ให้เธอตกใจ

“ไม่เป็นไรหรอกเพรเซีย ฉันดีใจที่เห็นเธออาการดีขึ้นมาบ้างแล้ว… เธออยู่ที่คฤหาสน์นี้ได้นานตราบเท่าที่ต้องการเลยนะ

ไม่ต้องห่วงเรื่องอะไรทั้งนั้น เราจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป… ทุกคนที่นี่จะช่วยดูแลเธอเอง”

จนกว่าอาการของเพรเซียจะดีกว่านี้หรืออยู่ในขั้นที่สามารถตัดสินใจอะไรเองได้ วาห์นจะไม่ถามหรือกดดันอะไรทั้งสิ้น

เขาอยากให้เธออยู่ที่นี่กับฮารุฮิเมะและเฟนเรียร์เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจไปก่อน หรืออย่างน้อยก็จนกว่าจะจบเรื่องกับอิชทาร์แฟมิเลีย

มิลานกับทีน่าเองก็อยู่ด้วย ทั้งสองคงจะช่วยเธอได้มากเพราะต่างผ่านอะไรที่คล้ายๆ กันมาแล้ว

พอได้ฟังคำพูดนั่นและมองไปรอบๆ เพรเซียก็สังเกตเห็นว่านอกจากวาห์นแล้วทุกคนที่อยู่ในห้องล้วนเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น

ทุกคนมีท่าทางสบายๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วง เธอจึงเริ่มคิดว่านี่อาจเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจริงๆ

นึกย้อนกลับไปตอนที่วาห์นซื้อเธอมาใหม่ๆ เพรเซียคิดว่าเขาคงกำลังวางแผนล่อลวงจากนั้นก็เข้าจู่โจมในจังหวะที่เธอเผลอตัว

ความกลัวที่สุดในใจก็คือการถูกเจ้านายคนล่าสุดดึงกลับเข้าไปในขุมนรกหลังจากที่เชื่อใจเขาไปแล้วนี่แหละ

แต่จนถึงบัดนี้ เขาก็ยังปฏิบัติกับเธอเป็นอย่างดีแถมยังรักษาแผลเป็นให้ด้วย

หลังมองไปรอบห้องอีกพักหนึ่ง เพรเซียก็หันกลับมาหาวาห์นก่อนจะก้มหัวให้อีกครั้ง

“ขอบคุณค่ะ…”

จากนั้นวาห์นก็เริ่มอธิบายเรื่องตารางเวลาให้ทุกคนฟังโดยมีเฮสเทียคอยเสริม

นอกจากนั้นแล้วเขายังพูดเรื่องกฎข้อบังคับต่างๆ เป้าหมายของแฟมิเลีย รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างแฟมิเลียกับกลุ่มพันธมิตรด้วย

เฮสเทียหยิบยกเรื่องอิชทาร์แฟมิเลียขึ้นมาพูดต่อและเตือนว่าถ้าจะไปไหนมาไหนนอกคฤหาสน์ก็ให้พาวาห์น ริว หรือคนอื่นๆ ที่พอเชื่อใจได้ไปด้วย

บรรยากาศดูเงียบเหงาลงไปบ้าง แต่มันก็ดีขึ้นทันทีที่อาหารเย็นถูกยกออกมาจากครัว

วันนี้มิลานมาอยู่ค้างด้วย เธอจึงตระเตรียมอาหารไว้หลายอย่างเพื่อฉลองให้กับเหล่าสมาชิกใหม่ของเฮสเทียแฟมิเลีย

คู่แฝดเองก็ช่วยเธอด้วยโดยเตรียมเมนูเบาๆ อย่างสลัดและข้าวโอ๊ตต้มเอาไว้ด้านข้าง

กระเพาะของเพรเซียยังไม่ค่อยปกติดีนัก ข้าวโอ๊ตต้มจึงเป็นเมนูที่เหมาะกับเธอมาก

หลังจากได้พูดคุยกับวาห์นในช่วงแรก เพรเซียก็กลับไปใช้วิธีพยักหน้าหรือตอบรับเบาๆ ทุกครั้งที่เฟนเรียร์คุยด้วยแทน

เฟนเรียร์เป็นคนคอยดูแลเธอตั้งแต่ที่มาถึง อีกทั้งยังอยู่ด้วยกันเกือบตลอด เพรเซียจึงรู้สึกสนิทและไว้ใจเด็กสาวกินจุคนนี้มากกว่าใคร

หลังจบช่วงมื้อเย็น ทุกคนก็ชวนกันไปอาบน้ำโดยที่วาห์นปลีกตัวไปแช่น้ำในฝั่งผู้ชายอย่างสบายอารมณ์

ตอนแรกเขานึกว่าเฮสเทียและริวอาจจะออกปากขอมาด้วยแต่กลับผิดคาดไปเลย

กำกั้นห้องน้ำนั้นไม่ได้เป็นแบบเก็บเสียง วาห์นจึงได้ยินเสียงหัวเราะหยอกเย้าดังลอดออกมาบ่อยๆ

มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากเพราะรู้ว่าพวกเธอคงกำลังสนุกกันอยู่…

ที่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพง พวกสาวๆ กำลังแช่น้ำในบ่อใหญ่พร้อมกับสนทนากันอย่างออกรส ส่วนหัวข้อหลักก็คือร่างกายของกันและกันนี่แหละ

ทุกอย่างเริ่มจากสิ่งที่เฟนเรียร์พูดกับเพรเซีย จากนั้นฮารุฮิเมะก็เริ่มถามเกี่ยวกับรสนิยมของวาห์น

ตอนแรกคนอื่นๆ ทำเป็นเฉยๆ จากนั้นก็เริ่มหูผึ่งกัน สุดท้ายก็กลายมาเป็นอย่างที่เห็น

เฮสเทียผู้เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้หญิงตัวเล็กหุ่นสะบึมพยายามเชิดหน้าอกอันไร้ที่ติให้ทุกคนได้ประจักษ์

“ถึงวาห์นจะไม่สนใจเรื่องขนาด แต่ฉันรู้ดีว่าเขาคิดว่าของฉันน่ะนิ่มที่สุด~!” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง

พอได้ฟังแล้วทุกคนถึงกับต้องมองของตัวเองสลับกับเฮสเทียเพื่อเปรียบเทียบเป็นการใหญ่

หากไม่นับมิโคโตะกับมิลาน ของคนอื่นๆ นั้นจัดอยู่ในระดับไม่เล็กไม่ใหญ่หรือไม่ก็อยู่ในช่วงกำลังโต

ราวกับต้องการพิสูจน์คำพูดของเฮสเทีย ริวค่อยๆ ย่องไปด้านหลังเทพตัวเล็กก่อนจะคว้าหมับเข้าให้จนเจ้าตัวต้องร้องเสียงหลงและรีบขยับออกห่าง

“ห้ามจับนะ ฉันให้วาห์นจับได้แค่คนเดียว…” เฮสเทียพึมพำเบาๆ

ริวจ้องมองเธอพร้อมเอ่ยตอบ

“นุ่มจริงๆ ซะด้วยสิ”

พอลองจับของตัวเองดูบ้าง เอลฟ์สาวก็พบว่ามันดูแข็งไปเลย

เธอพยายามตรวจรอบร่างกายเพรียวบางแต่แฝงไปด้วยกล้ามเนื้อของตัวเองอย่างถี่ถ้วน ยิ่งลูบคลำ ใบหน้านิ่งๆ ก็ยิ่งดูกังวลมากขึ้นทุกขณะ

เอมิรุกับมาเอมิไม่ได้พูดอะไรในตอนแรก ไปๆ มาๆ ทั้งสองก็เริ่มทำแบบเดียวกับริว แถมตอนหลังยังเปลี่ยนเป็นลูบๆ คลำๆ ร่างกายของกันและกันแทนด้วย

ร่างกายของคู่แฝดนั้นแทบจะไม่ต่างกันเลย การตรวจสอบแบบนี้ก็เหมือนตรวจสอบของตัวเองนั่นแหละ

ทั้งคู่มีหน้าอกขนาดปานกลางและร่างกายเพรียวบางซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเผ่าเสือดาวหิมะ

ท่ามกลางการกระทำแปลกประหลาดของหลายๆ คน เฟนเรียร์ก็พูดขึ้นบ้าง

“วาห์นชอบลูบๆ

วาห์นไม่สนเรื่องอื่นหรอก

เป็นเด็กดีแล้ววาห์นก็จะมาลูบๆ เอง~!”

คู่แฝดเอียงหัวหร้อมกันด้วยความสงสัย

“ลูบๆ เหรอ?” x2

ทุกคนนอกจากคู่แฝด มิโคโตะ และเพรเซียต่างทำหน้า ‘ระลึกถึงความหลัง’ พร้อมกันทันที

พวกเธอต่างเคยโดน ‘ลูบๆ’ กันมาแล้วโดยมีทั้งแบบสมยอมและแบบกึ่งๆ สมยอม (เป็นเหยื่อทดลอง)

แม้แต่ฮารุฮิเมะที่ถูกวาห์นลูบในระหว่างพบกันครั้งแรกก็ได้แต่ยิ้มและหลับตาพริ้มจนมิโคโตะอดถามขึ้นมาไม่ได้

“วาห์นเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ?

แต่เขาดูจริงจังและสุภาพมากเลยนะ…”

ฮารุฮิเมะยิ้มสดใสกว่าเดิมและเริ่มสาธยายความดีของวาห์นแบบไม่ได้ติดเบรก

เธอเป็นนักพูดที่เก่งกาจพอตัวเลย แถมครั้งนี้กลุ่มที่เคยถูก ‘ลูบๆ’ ยังออกมาช่วยเสริมอีก แม้แต่ริวที่มักเงียบขรึมก็เอากับเค้าด้วย

พอถึงช่วงท้ายๆ คำว่า ‘หัตถ์เทวะ’ เลยกลายมาเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้เรียกวิชาพิสดารพันลึกของวาห์น

ผู้ที่ได้ลิ้มลองมันมาแล้วนั้นเอาแต่ทำหน้าพึงพอใจ เล่นเอาผู้ที่ยังไม่เคยรู้สึกสงสัยปนคาดหวังมากยิ่งกว่าเดิม

มีเพียงเฟนเรียร์และเพรเซียเท่านั้นที่นั่งดูจากด้านข้างด้วยสีหน้าเฉยๆ

เฟนเรียร์พูดเสริมออกไปสองสามรอบ แต่เพรเซียก็แค่รับฟังเพียงอย่างเดียว

หลังจากทุกคนสงบลงแล้ว เธอจึงกระซิบถามเฟนเรียร์เป็นการส่วนตัว

“มันดี… ขนาดนั้นเลยเหรอ”

ดวงตาของเฟนเรียร์สว่างขึ้นเล็กน้อย ตามมาด้วยคำตอบที่เจ้าตัวแทบไม่ต้องคิดเลย

“วาห์นดีที่สุดเลย ที่สุดของสุดยอด!”

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท