Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 279

ตอนที่ 279

วาห์นยังคงอยู่ในท่าทำสมาธิ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้พลังเพื่อสอดส่องรอบๆ ไปด้วย

ตอนแรกเขานึกว่ามิโคโตะจะเข้ามาถามต่อ แต่เธอกลับเดินออกไปฝึกที่ตำแหน่งเดิมและกำลังเหวี่ยงดาบแบบมือเดียวโดยออกท่าคล้ายกับการเหวี่ยงแส้แทน

ดูเหมือนว่าเธอพยายามที่จะแกะเคล็ดวิชานี้ด้วยตัวเองแทนการถามตรงๆ

ขณะที่ยังหลับตาอยู่ วาห์นก็เริ่มใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] เพื่อสอดส่องคนอื่นๆ อย่างละเอียด

ทุกคนดูมีศักยภาพพอประมาณ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยฝึกหนักกันมาก่อน การเคลื่อนไหวถึงยังดูขัดๆ อยู่บ้าง

นอกเหนือจากเฟนเรียร์แล้ว ฮารุฮิเมะก็เป็นอีกคนที่เรียนรู้ได้เร็วมาก

หากตั้งใจฝึกไปเรื่อยๆ เธออาจจะสำเร็จวิชา ‘การเคลื่อนที่แบบลื่นไหล’ ได้เร็วกว่ามิโคโตะเสียอีก

‘การเคลื่อนที่แบบลื่นไหล’ นั้นจริงๆ แล้วก็คือวิชาสำหรับนักสู้ที่ไม่ได้เน้นเรื่องพละกำลังเป็นหลัก

ทั้งริวหรือแม้แต่สึบากิเองก็ใช้วิชานี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

แน่นอนว่าทุกอย่างมักจะมีข้อยกเว้น ซึ่งในกรณีนี้ก็คือทีโอน่าที่มีทั้งฝีเท้าว่องไวและพละกำลังมหาศาล

หลังจากฝึกกันเสร็จ พวกสาวๆ ก็พากันไปอาบน้ำในขณะที่วาห์นเข้าครัวเพื่อช่วยมิลานเตรียมอาหารเช้า

แม้จะมีเพรเซียมาคอยนั่ง ‘จ้องงง’ ไปด้วย แต่บรรยากาศในช่วงที่วาห์นได้เตรียมอาหารคู่กันกับมิลานนั้นทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมาก

ไม่นานพวกคู่แฝดและทีน่าก็ตามเข้ามาช่วยก่อนที่ทุกคนจะลงไปนั่งกับโต๊ะและทานมื้อเช้ากันอย่างพร้อมเพรียง

เฮสเทียนั้นยังไม่ตื่นลงมาเลย ที่นั่งข้างๆ วาห์นจึงถูกเปลี่ยนเป็นริวกับฮารุฮิเมะแทน

ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่มิลานและทีน่าก็เดินกลับไปแล้วโดยมีริวและฟาฟเนียร์ติดสอยห้อยตามไปด้วย

หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกเธอก็จะมาเยือนอีกครั้งในวันหยุดสุดสัปดาห์รอบหน้า

อันที่จริงพวกเธอจะแวะมาเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะการเดินมาที่นี่จะกินเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้นเอง

ถ้าใช้เวทมนตร์ช่วยเสริม ริวสามารถเดินทางมาที่นี่โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที

ส่วนฟาฟเนียร์นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย แค่ 30 วินาทีก็บินมาถึงแล้ว

ถึงฟาฟเนียร์จะไม่ได้ใช้ความสามารถนี้เท่าไหร่ แต่มันสามารถบินได้เร็วถึง 4100 กม./ชม. เลยทีเดียว

เรียกได้ว่าเป็นกระสุนปืนดีๆ นี่เอง

เพราะไม่มีเฮสเทียมาคอยแง่งใส่ ฮารุฮิเมะกับพรีเซียเลยเดินตามวาห์นมาที่ห้องสมุดและจบลงด้วยการอ่านหนังสือกันแบบเงียบๆ

ฮารุฮิเมะนั้นลงมานั่งโซฟาตัวเดียวกับเขา แต่เธอก็ไม่ได้เข้ามารบกวนแต่อย่างใด

พรีเซียพยายามนั่งห่างออกไปและคอย(แอบ)มองทั้งสองผ่านหนังสือที่ถือไว้ในมือ

แน่นอนว่ามันดูโจ่งแจ้งมากเสียจนวาห์นไม่ต้องเสียเวลาถามเลยว่าเธออ่านอะไรอยู่… ถามไปก็ตอบไม่ได้หรอก

แม้จะอยากทดสอบ ‘ความปุกปุย’ ของเธอ แต่วาห์นก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรทำแบบนั้น

ฮารุฮิเมะเองก็เช่นกัน… ถึงหางนั่นจะดูนุ่มมากก็เถอะ

เรนาร์ดสาวมีความสูงประมาณ 150 ซม. ส่วนหางของเธอนั้นยาวเกือบ 80 ซม. เลยทีเดียว

และตอนนี้เจ้าหางที่ว่านั่นก็กำลังส่ายไปมาอยู่บนโซฟานี่เอง ราวกับว่าเจ้าของหางกำลังใช้มันยั่วเขาอย่างสุดความสามารถ

โลกิพูดไว้ไม่ผิดเลยว่าเขามักจะชอบและสนใจอะไรที่ดูแปลกใหม่อยู่เสมอ ราวกับว่ามันคือแอ่งน้ำในทะเลทรายที่ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอ

ดูๆ แล้วสองคนนี้คงไม่ปฏิเสธเขาแน่นอน ดังนั้นถ้าวาห์นไม่หักห้ามใจตัวเองแล้วใครจะเป็นคนห้ามเขาไว้ล่ะ…?

สุดท้ายวาห์นก็เอาชนะใจตัวเองได้สำเร็จและอยู่รอดมาถึงช่วงพักเที่ยงก่อนจะได้พบกับเฮสเทียที่มีสีหน้ายิ้มแย้มเกินจะบรรยาย

เทพตัวเล็กเข้ามากอดเอวของวาห์นไว้แน่น ตามมาด้วยการเขย่งขึ้นมาจูบที่ริมฝีปากโดยไม่สนใจสายตายของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย

วาห์นค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง แต่เขาก็จูบตอบเบาๆ ก่อนที่ทุกคนจะลงไปนั่งกับโต๊ะ

พวกสาวๆ เริ่มกลับมามองเขาแบบแปลกๆ อีกครั้ง มีเพียงเฟนเรียร์เท่านั้นที่หันมาคุยตามปกติและได้รับจูบที่หน้าผากเป็นของแถม

ในระหว่างที่ทานอาหาร เฮสเทียจะคอยเข้ามาป้อนให้วาห์นบ้างล่ะ เป่าของร้อนๆ ให้บ้างล่ะ เรียกได้ว่าจัดเต็มทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังส่งสายตา ‘คาดหวัง’ มาที่เขาด้วย

เพราะไหนๆ ก็บอกอะไรหลายอย่าง และทำอะไรหลายอย่างร่วมกันไปแล้ว วาห์นจึงไม่ติดใจที่จะ ‘ดูแล’ เธอบ้างขณะปล่อยให้ฮารุฮิเมะเข้ามาช่วยเฟนเรียร์แทน

ต่อให้ไม่มีใครถามอะไร ทุกคนก็รู้อยู่ดีแล้วว่าเมื่อคืนต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน

ฮารุฮิเมะรู้ว่าเฮสเทียต้องการทำให้มันดู ‘ชัดเจน’ โดยไม่ต้องกล่าวมันออกมาเป็นคำพูด

หลักๆ ที่เธอต้องการจะสื่อนั้นก็คือ ‘ถ้าอยากใกล้ชิดวาห์น ก็ขอให้มาตรงๆ อย่าใช้วิธีอ้อมค้อม’

หลังจากจบช่วงมื้อเที่ยง เฮสเทียกับวาห์นก็จูบกันอีกครั้งก่อนที่เธอจะปล่อยเขาไปทำงาน

ส่วนตัวเธอเองนั้นมีแผนว่าจะไปนั่งดูพวกสาวๆ เรียนหนังสือที่ห้องสมุดต่อ

คนที่ดูลังเลเห็นจะมีแต่พรีเซียที่เฝ้ามองตามแผ่นหลังของวาห์นก่อนจะโดนเฟนเรียร์ลากตัวให้ไปด้วยกัน

ในระหว่างทางไปห้องทำงาน วาห์นก็กลับมาคิดเรื่องการหาเพื่อนผู้ชายเพิ่มและวิธีที่จะพาฮารุฮิเมะออกไปข้างนอกโดยไม่ให้ลำบากคนอื่น

หากไม่นับริวกับฟาฟเนียร์ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงแล้ว กำลังหลักของเฮสเทียแฟมิเลียก็จะประกอบไปด้วยวาห์น เฟนเรียร์ และมิโคโตะ

ยังดีที่ฮารุฮิเมะใช้เวทมนตร์เพิ่มเลเวลได้ วาห์นจึงน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับศัตรูเลเวล 6 ในขณะที่เฟนเรียร์กับมิโคโตะเข้าต่อกรกับศัตรูเลเวล 3 หรือต่ำกว่า

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น วาห์นก็ตระหนักว่าทางแฟมิเลียควรแก้ไขและเพิ่มศักยภาพในการต่อสู้ให้ได้โดยเร็ว

นอกเหนือจากเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองแล้ว เขายังต้องมีสมาชิกเลเวล 4-5 เพื่อกระจายฐานกำลังออกไปอีก

ริวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่วาห์นอยากหาจอมเวทเก่งๆ ที่เชี่ยวชาญเรื่องเวทป้องกันและข่ายเวทมนตร์มาเสริมด้วย

ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันรวมถึงเรื่องที่มีปัญหากับอิชทาร์แฟมิเลียนั้นทำให้มันเป็นไปได้ยาก

อิชทาร์เป็นเจ้าแม่แห่งสถานบันเทิง นั่นหมายความว่าเขาได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเฟมิเลียอาชญากรรมที่ทำงานในเขตดังกล่าวเช่นกัน

ถึงทางนั้นจะทำอะไรมากไม่ได้ แต่ปัญหาเรื่องสมาชิกเลเวลต่ำก็จะยังไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าทุกคนจะได้เข้าดันเจี้ยนและเก็บเลเวลกันอย่างจริงจัง

พอเดินมาถึงห้องทำงาน วาห์นก็เริ่มออกแบบอุปกรณ์ต่อ พร้อมกับทดสอบทฤษฎีบางอย่างที่เคยคิดเอาไว้

นี่เป็นความคิดที่วาห์นไม่อยากมอบเครดิตให้คนคิดเลย… เพราะเขาอยากให้พวกสาวๆ ลองมาสวมชุดและอุปกรณ์ที่คิดขึ้นมาเองดูสักครั้ง หรือให้พูดอีกอย่างก็คือมา ‘จับแต่งตัว’ นั่นแหละ

จากค่าความแม่นยำที่สูงพอตัว วาห์นเชื่อว่าตัวเองสามารถเย็บและตัดชุดได้ในระดับนึง

อาจต้องมีการศึกษาและฝึกเพิ่มเติมด้วย แต่เรื่องนี้มิลานกับฮารุฮิเมะก็น่าจะพอช่วยเขาได้

ไอส์ที่ดูเหมือน ‘ตุ๊กตา’ ที่สุดนั้นได้กลายมาเป็นเป้าหมายแรกของเขาไปแล้ว

วาห์นพยายามนึกภาพชุดที่เหมาะสมกับเธอโดยที่มันต้องต่างออกไปจากชุดในเนื้อเรื่องเดิมอยู่บ้าง

ตอนนี้เธอกำลังสวมชุดเกราะแบบหลายชั้นและค่อนข้างเทอะทะกว่ามาก ดูก็รู้แล้วว่ามันน่าจะ ‘ใส่ก็ยาก ถอดก็ยาก’

หลังจากมอบ [แกรม] ให้ไอส์ วาห์นก็รู้ว่าชุดสีขาวและน้ำเงินน่าจะเหมาะกับเธอที่สุด

สิ่งแรกที่นึกออกก็คือชุดเกราะที่เบา ไม่เทอะทะจนเกินไป และทำให้ผู้สวมดู ‘ศักดิ์สิทธิ์’ ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้

เขาตัดสินใจว่าตัวเองควรจะออกไปชอบปิ้งกับไอส์อีกครั้งเพื่อสังเกตดูชุดและสีที่เธอชอบ

พอได้ชุดต้นแบบมาแล้ว วาห์นจะนำมันไปดัดแปลง แก้ไข ปรับแต่งมันตามคำแนะนำของผู้สวมใส่ หรือไม่ก็เสริมความสามารถเพิ่มเข้าไปอีก…

ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา วาห์นก็เลือกซื้อหุ่นที่มีรูบร่างคล้ายกับทีโอน่า ไอส์ และริวจากระบบ

หลาย ‘เหตุการณ์’ ที่เจอมากับตัวทำให้วาห์นจดจำรูปร่างเปลือยเปล่าของทั้งสามได้อย่างแม่นยำ เรื่องการหาหุ่นที่มีรูปร่างคล้ายกันจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด

วาห์นเคยฝึกเรื่องการแกะสลักรูปปั้นกับเอวามาแล้ว ดังนั้นหากต้องแก้ไขอะไรเพิ่มเติม เขาก็สามารถทำได้เช่นกัน

แน่นอนว่าวาห์นไม่ได้แกะสลักส่วนใบหน้า รวมไปถึงส่วนที่… ไม่เป็นการสมควรเท่าไหร่

ถ้าทำแบบนั้นแล้วมีใครเดินเข้ามาเจอล่ะก็คงจะเป็นเรื่องแน่นอน

แม้จะไม่ใช่คนจริงๆ แต่วาห์นก็รู้สึกดีใจที่ได้จับ ‘พวกเธอ’ แต่งตัวด้วยผ้าหลากสีและชนิด

เขาตบแต่งไอส์ด้วยเสื้อผ้าสีขาว สีเขียว และสีทอง ส่วนทีโอน่านั้นจะเป็นสีครีม สีน้ำตาล และสีอุ่นผสมกัน

สำหรับริว เธอดูจะชอบสีที่หาได้ตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่นสีเขียวใบไม้ สีเบจ สีน้ำเงินธรรมชาติ สีน้ำตาล

โครงการนี้อาจต้องใช้เวลาอีก 2-3 วัน แต่อย่างน้อยวาห์นก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่ ‘สนุก’ มาก

เย็นนี้ไม่มีแขกมาที่คฤหาสน์ แต่เฮสเทียก็มาเล่าให้ฟังว่าปาร์ตี้หลักของโลกิแฟมิเลียนั้นน่าจะกลับมาถึงในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้

พอมาบวกกับการคิดเรื่องของพวกเธอไปบ้าง วาห์นเลยรู้สึกคาดหวังว่าไอส์และทีโอน่าจะมาเยี่ยมในเร็ววัน

อาจจะน้อยกว่าหน่อย แต่เขาก็อยากเจอทีโอเน่กับเลฟิย่าอีกครั้งเช่นกัน รวมไปถึงการขอคำแนะนำจากแกเร็ธด้วย

สถานการณ์ปัจจุบันทำให้การพบหากับกลุ่มพันธมิตรเป็นเรื่องที่ลำบาก แต่วาห์นก็ยังเป็นที่รู้จักในฐานะช่างตีเหล็กฝีมือดี แม้ว่าเรื่องสกิล [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] ของเขาจะยังไม่ถูกเปิดเผยก็ตาม

ทางกิลด์จะเข้ามายุ่มย่ามอะไรได้หากสมาชิกของโลกิแฟมิเลียแค่เดินทางเพื่อมา ‘ซื้ออุปกรณ์’ เฉยๆ…

เพราะตอนนี้สมาชิกหลายคนของโลกิแฟมิเลียก็ใช้สิ่งของที่เขาสร้างหรือซื้อจากระบบอยู่แล้ว นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด

หลังช่วงมื้อเย็น เฮสเทียได้มาอาบน้ำกับวาห์นอีกครั้งขณะคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่างๆ ก่อนจะออกไปเตรียมตัวเข้านอน

เฟนเรียร์ยังคงปักหลักอยู่กับพรีเซียเช่นเดิม เฮสเทียจึงพยายามใช้ประโยชน์จากตรงนี้อย่างเต็มที่ แถมโลกิยังอุตส่าห์ทิ้งเครื่องรางเอาไว้ให้ด้วย

แต่ถึงเธอจะดึงดันยังไง วาห์นก็ไม่ยอมท่าเดียวและเตือนว่าเธอควรพักเรื่องนั้นไปสักระยะ

เนื่องจากเธอปฏิเสธที่จะให้เขารักษา การจัดกิจกรรมช่วงกลางคืนแบบติดๆ กันหลังเสียพรหมจรรย์ไปแล้วจึงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง

อีกเรื่องหนึ่งที่วาห์นไม่มีทางพูดออกมาก็คือ… เขาเริ่มรู้สึกกลัวร่างกายส่วนล่างของเฮสเทียขึ้นมาหน่อยๆ

หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน เขาหวังจริงๆ ว่าเวลาพักรักษาตัวจะช่วยปรับสภาพให้มัน ‘ง่ายขึ้น’ และไม่เจ็บราวกับถูกคีมหนีบ

เฮสเทียคิดว่ามันฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่แม้จะรู้ว่าวาห์นเป็นห่วงร่างกายของเธอจริงๆ

พอรู้ว่าเดี๋ยวจะมีผู้หญิงมาเยี่ยมเพิ่ม เธอก็ไม่อยากรอช้าและมาเสียเวลาไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้

ในฐานะสมาชิกของเผ่าเทพ เรื่องอันตรายจากการติดเชื้อนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นกับเธออยู่แล้ว

หลังจากขึ้นมานั่งบนตัววาห์น เสื้อผ้าของเฮสเทียก็แตกกระจายออกไปรอบๆ

จากมุมมองวองวาห์นนั้น ตอนนี้สายตาของเฮสเทียดู ‘หลอน’ มาก

เขาไม่เคยเห็นเธอทำหน้าแบบนี้มาก่อนจนต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึกและอยากเอ่ยถามเบาๆ

แต่ก่อนจะได้พูดออกไป น้ำเสียงร้อนๆ หนาวๆ ก็ดังขึ้น

“วาห์น… เรารักกัน… ใช่ไหมคะ?”

วาห์นตอบกลับแบบไม่ลังเล

“แน่นอน ฉันก็ต้องรักเธอสิเฮสเทีย

เธอเป็นหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันเลยนะ”

รอยยิ้มแปลกๆ ของเฮสเทียยิ่งดูกว้างขึ้นกว่าเดิม

“อื้อ… แต่นายรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นพวกขี้หึง… ถึงปากจะบอกว่าเปิดใจไปแล้วก็เถอะ

ฉันรู้ดีว่าตัวเองอยู่ตรงไหน… แล้วมันก็ไม่ใช่จุดสูงสุดในหัวใจของนายด้วย…”

มือเรียวเล็กค่อยๆ เอื้อมมาแตะที่กระดุมเสื้อของวาห์น

“ตอนที่เราอยู่กันแบบนี้ ถึงจะไม่ได้เป็นจริงก็เถอะ แต่ฉันก็อยากเป็นแค่คนเดียวในหัวใจของนาย… ฉันอยากสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้น

ฉันมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดให้นายไปแล้ว เรื่องแค่นี้นายคงพอทำให้ฉันได้ใช่ไหม…?”

วาห์นรู้สึกเหมือนสมองกำลังโดนคำพูดของเฮสเทียตอกใส่ไม่หยุดเลย

และแม้จะไม่มาก เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนและความชื้นแฉะที่หลั่งไหลออกมาจากร่างการส่วนล่างของเธอ

เฮสเทียไม่ยอมเปิดโอกาสให้วาห์นพูดอะไรต่อ เธอโน้มตัวเข้าไปประสานตาในระยะประชิดทันที

“อย่าเห็นแก่ตัวนักเลยวาห์น… ฉันรู้ดีว่าตัวเองไหวหรือไม่ไหว… ร่างกายฉัน ฉันดูแลเองได้… นายจะเอาความสงสารมาใช้ปฏิเสธสิ่งที่ฉันปรารถนาจากหัวใจไม่ได้หรอกนะ

หยุดลังเลได้แล้ว… ไม่งั้นฉันจะสงสัยเรื่องความรู้สึกของนายไปตลอด…

ฉันรู้ว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่พออยู่คนเดียวแล้วมันก็อดคิดไม่ได้… ช่วยทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจเวลาที่นายไม่อยู่ด้วยเถอะนะ”

ถึงจะรู้ว่าเฮสเทียไม่มีเวทมนตร์เสน่ห์ แต่วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคล้อยตาม

เธอมักจะใช้คำพูดนุ่มนวลเพื่อช่วยทำให้จิตใจของเขารู้สึกสงบอยู่เสมอ ทว่าครั้งนี้มันกลับทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวผิดปกติ

วาห์นนั้นสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย

พอเฮสเทียจะถอยหลังออกมา วัตถุแข็งบางอย่างก็ดันโผล่ขึ้นมา ‘ขวางทาง’ จนเธอได้แต่ยิ้มกว้าง

“ฉันรักนายนะวาห์น… นับจากนี้และตลอดไป… โปรดอย่าลืมเรื่องนี้เด็ดขาดเลยนะ… ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม”

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท