ตอนที่ 35 แข่งขัน
หลังจากจัดแจงรายละเอียดไปแล้วหลินหยางให้คนไปเอาร่างของราชสีห์ตาเดียวมาลองทำเป็นอาหาร ผลปรากฏว่ารสชาติของมันราวกับเนื้อวัวที่นุ่มลิ้นละลายในปากเลยทีเดียว
พวกเขาคงจะได้กินอย่างอื่นที่มิใช่เนื้อปลาในรอบสองเดือนและคงมีเนื้อที่แสนวิเศษนี้กินไปอีกหลายอาทิตย์เพราะตัวของมันที่ใหญ่ราวกับวัวควายแถมยังมีตั้งสามสิบตัว
รุ่งเช้า
ตอนนี้ภายในเมืองเต็มไปด้วยความคึกคักโดยเหล่าเอลฟ์ก็มาดูการแข่งด้วยเช่นกัน พร้อมกับสุราหลายถังเนื่องจากเมื่อวานหลินหยางให้คนเอาเนื้อราชสีห์ตาเดียวไปให้พวกเขาพร้อมบอกกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เมื่อถึงเวลาที่กำหนดหลินหยางก็เริ่มการประลองซึ่งประลองรอบแรกเป็นการปะลองการต่อสู้ด้วยมือเปล่าโดยคู่เอกของการต่อสู้ด้วยมือเปล่าคือ มนุษย์หมาป่าเจียวซินและจิ่นเหออดีตนายพราน
เมื่อการประลองเริ่มขึ้นทั้งคู่ปล่อยหมัดออกมาแทบจะพร้อมกันแต่เป็นทางเจียวซินที่มีความเร็วเหนือกว่า จิ่นเหอจึงโดนชกเข้าที่ลำตัวอย่างจังเมื่อมีการโจมตีแรกก็มีการโจมตีต่อมาเรื่อยๆ
เนื่องจากเจียวซินเป็นมนุษย์หมาป่าที่มีความโดดเด่นด้านความว่องไวยิ่งกว่านั้นตอนนี้เขามีระดับสามและเพิ่มค่าสถานะทั้งหมดไปที่ความเร็ว แต่จิ่นเหอก็มิได้อ่อนด้อยเพราะเขาก็ระดับสามเช่นเดียวกันแต่เขาเพิ่มสถานะทั้งหมดไปที่พลังหากเขาต่อยโดนซักหมัดคิดว่าเจียวซินก็คงยิ้มไม่ออกเป็นแน่
แต่เนื่องจากความเร็วที่ด้อยกว่าจึงทำได้เพียงตั้งรับการโจมตีที่ถาโถมเข้ามาเพียงเท่านั้น แม้เขาจะมีทักษะหลอมไฟระดับหนึ่งอยู่แต่เขาก็ไม่สามารถใช้ได้เนื่องจากกฏที่หลินหยางได้วางเอาไว้ เพราะมันจะทำให้บาดเจ็บหนักอาจถึงขั้นเสียชีวิตเลยทีเดียว
เมื่อหลินหยางเห็นดังนั้นจึงยุติการต่อสู้เพราะหากปล่อยต่อไปจิ่นเหอก็ไม่สามารถโจมตีกลับได้อยู่ดี
การต่อสู้ด้วยมือเปล่าเจียวซินมนุษย์หมาป่าหนุ่มจึงได้ชัยชนะไป
เมื่อถึงการต่อสู้ที่สองเป็นการยิงธนู จากระยะหนึ่งร้อยเมตร
เนื่องจากมนุษย์หมาป่ามิเคยหยิบจับธนูพวกเขาเน้นการโจมตีระยะใกล้เพราะฉะนั้นการแข่งครั้งนี้พวกเขาก็เหมือนไร้ตัวตน
โดยคู่เอกของการแข่งครั้งนี้คือ หลิวเจี่ยหัวหน้าทีมก่อสร้างและซิ่นก้งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมระยะใกล้
ซิ่นก้งเขามีหน้าที่ฝึกสอนการใช้อาวุธเขาจึงต้องเรียนวิธีใช้อาวุธที่หลากหลายแม้แต่การยิงธนูก็เช่นกัน
ส่วนหลิวเจี่ยเขาคือผู้สร้างรถยิงธนูพวกเขาจึงต้องฝึกการยิงทุกวันเขาก็มั่นใจในฝีมือตัวเองไม่น้อย
“ยอมแพ้เถอะซิ่นก้ง แกสู้ข้าไม่ได้หรอกฮ่าๆๆ”หลิวเจี่ยหัวเราะเสียงดัง
“ยังไม่รู้ผลหรอกน่า”ซิ่นก้งตอบกลับเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาแข่งหลิวเจี่ยยิงได้แปดแต้มจากสิบแต้ม ซึ่งนับเป็นผลลัพธุ์ที่น่าผิดหวังเล็กน้อยสำหรับตน
เมื่อถึงตาของซิ่นก้งเขาง้างธนูพลางจ้องมองเป้าตรงหน้าราวกับสายตาของเหยี่ยวที่จ้องมองเหยื่อ
ฟุ่บบ~
ศูนย์แต้ม!!
เสียงชายรายหนึ่งผู้รับหน้าที่เป็นกรรมการประกาศผลลัพธุ์ของการดวลในครั้งนี้ด้วยเสียงอันทรงพลัง
ฮ่าๆๆ~~~
เสียงหัวเราะมาจากทั่วทุกคน
ซิ่นก้งอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
หลินหยางที่กำลังจิบสุราแทบสำลัก
‘ตกลงเจ้านี่มันได้ฝึกยิงธนูมาแล้วใช่ไหม’หลินหยางคิดในใจ
มิผิดซิ่นก้งฝึกซ้อมยิงธนูเกือบทุกวัน เพียงแต่เขาก็ยังยิงไม่โดนเป้าเหมือนกับตอนแข่งนั้นแล
เมื่อผลสรุปออกมาเป็นเช่นนี้
มีผู้ชนะสองคนหลินหยางก็ไม่ทราบจะเอาทักษะที่มีให้ผู้ใด
คนนึงผลการต่อสู้ด้วยมือเปล่ากลับโดนชกหมัดเดียวก็สลบเหมือดนั่นคือหลิวเจี่ย ส่วนอีกตนนึงเป็นมนุษย์หมาป่าผู้ที่มิเคยจับธนูผลลัพธ์นั้นจึงมิต้องสงสัยนั่นคือเจียวซิน
เมื่อตัดสินใจไม่ได้หลินหยางจึงเพิ่มการแข่งขันมาอีกหนึ่งเพื่อพวกเขาทั้งสองโดยเฉพาะนั่นคือแข่งกันดื่มสุรา
“เหยือกที่หนึ่งเริ่ม” หลินหยางให้สัญญาณผู้เข้าแข่งขันทั้งคู่ก็ยกเหยือกตรงหน้าของตนดื่มรวดเดียวจนหมด
“เหยือกที่สอ…”
ตึง!!!
เมื่อหลินหยางกำลังจะให้สัญญาณก็มีเสียงดังขึ้นขัดจังหวะ
เมื่อมองไปที่ต้นตอเสียงหลินหยางที่ยังพูดไม่จบก็อ้าปากค้าง เพราะตอนนี้เจียวซินคอพับฟุ่บอยู่บนโต๊ะเขาเมาหลับไปเรียบร้อย
“คออ่อนเกิ๊น” นี่คือสิ่งที่หลายคนคิด
ตอนที่ 36 ผืนดินสะเทือน
เนื่องจากการแข่งขันที่จบลงอย่างรวดเร็วเกินไป ทุกคนเงียบกริบแม้แต่ผู้เข้าแข่งขันอีกคนอย่างหลิวเจี่ยก็มิเว้น
นี้มันพึ่งเหยือกแรกเท่านั้น!!
ครอก zzZ
และแล้วเสียงกรนของเจียวซินที่เมาหลับไปแล้วก็ปลุกทุกคนจากภวังค์
“เอ่อ..ผู้ชนะคือหลิวเจี่ย” หลินหยางประกาศอย่างเก้ๆกังๆและเอาหนังสือทักษะราชสีห์คำรามระดับสองไปมอบให้หลิวเจี่ยที่ยังยืนงงอยู่
คาดว่าเหตุการณ์ในวันนี้คงจะตามหลอกหลอนเจียวซินมนุษย์หมาป่าหนุ่มผู้ที่เป็นหัวรบแนวหน้าไปอีกนานเลยทีเดียว
ถึงอย่างไรแม้ทั้งสองคนก็นับว่าเหมาะสมกับทักษะในมือของเขาอยู่ดี ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะพวกเขาย่อมใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุด
เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดหลินหยางก็แนะนำหลิวเจี่ยผู้ที่ได้รับทักษะราชสีห์คำราม ถึงการใช้งานและเมื่อให้เขาเน้นเพิ่มสถานะไปที่พลังวิญญาณ
กลางคืนพวกเขานั่งกินเนื้อและสังสรรค์ดื่มกินกันจนเต็มคราบจึงแยกย้ายกันพักผ่อน หลินหยางเองก็กำลังนอนหลับอยู่ในเพิงพักร่วมกับคนอื่นเช่นกันโดยที่มีเหมยเหมยนอนอยู่เคียงข้างดังทุกคืน
ตอนนั้นเองก็มีแผ่นดินไหวที่รุนแรงราวกับฟ้าถล่มผืนดินทลาย ปลุกพวกเขาให้ตื่นจากความฝัน
“แผ่นดินไหว ทุกคนออกไปข้างนอกเร็ว” หลินหยางตะโกนเตือนสติ ยังมีบางคนที่ยังสลึมสลือยังไม่ตื่นเต็มที่
หลินหยางก็รีบพาเด็กและคนชราออกมา เพราะเพิงพักที่พวกเขาอยู่มันสร้างมาอย่างลวกๆเท่านั้นเพียงแค่พอกันลมกันฝนได้เพื่อรอทีมก่อสร้าง สร้างที่พักอาศัย
เมื่อออกมายืนที่โล่งการสั่นสะเทือนของผืนดินก็ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุดพัก แผ่นดินไหวครั้งนี้กินเวลานานกว่าสิบ นาทีเลยทีเดียว
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆถึงมีแผ่นดินไหว” หลินหยางขมวดคิ้วเพราะตั้งแต่มายังโลกแห่งนี้พวกเขายังไม่เจอกับภัยธรรมชาติเลย ทุกวันคืนพวกเขาไม่ต้องกังวลอะไรมีเพียงแต่การต่อสู้เท่านั้นที่สามารถคร่าชีวิตพวกเขาได้
แต่ตอนนี้กลับมีเรื่องแปลกประหลาดอย่างแผ่นดินไหวเกิดขึ้น ณ ดินแดนสวรค์ แห่งนี้
บนท้องฟ้าที่มืดมิดไร้แสงเดือน
จู่ๆก็มีแสงส่งลงไปยังจุดนึงราวกับแสงไฟของสปอร์ตไลท์ก็มิปาน ห่างจากเมืองพวกเขาราว 1-2 กิโลเมตร
เนื่องจากเป็นตอนกลางคืนพวกเขาจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่นั่นกลับมิใช่จุดเดียวที่มีแสงส่องลงไป ยังมีแสงแบบเดียวกันส่องลงทั่วท้องฟ้า จากการมองด้วยสายตาคงไม่ต่ำกว่า 100 แห่งรอบๆเมืองพวกเขาทำให้ค่ำคืนที่มืดมิดและสงบสุขเต็มไปความแปลกใจของผู้พบเห็น
หลินหยางตัดสินใจนำคนไปสำรวจต้นตอของมัน เขานำคนไปด้วย 3 คนเพื่อการเดินทางที่รวดเร็วและคล่องตัวเขาจึงนำคนไปไม่มาก ทั้งสามคนนั้นเป็นผู้ที่หลินหยางให้ความไว้วางใจ
นั่นคือจิ่นเหอ หลิ่วไห่และมนุษย์หมาป่าหนุ่มผู้ที่ได้รับความอับอายจากการแข่งขันวันนี้ เจียวซิน
หลินหยางให้ซิ่นก้งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังชั่วคราว เนื่องจากพวกเขาต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลาจึงให้กองกำหลักในการต่อสู้อยู่เฝ้าเมืองไว้
เมื่อพวกเขาทั้งสี่ตัดสินใจไปตรวจสอบแสงที่ส่องลงมาใกล้เมืองของเขาที่สุด เมื่อพวกเขาเดินทางใกล้จะถึงจุดหมาย
ทันใดนั้นเองก็มีคนลอยขึ้นไปตามลำแสงที่ส่องลงและค่อยๆหายไป ความมืดมิดจึงปกคลุมท้องฟ้าอย่างที่มันควรเป็น
แต่เมื่อหลินหยางเห็นคนที่ลอยขึ้นไปเขาก็หน้าซีด เพราะนั่นมันคือคนที่พวกเขาเคยเจอมาแล้วนั่นก็คือคนชราที่อ้างตนเป็นเทพเจ้าที่พวกเขาเจอหลังจากเข้าประตูมานั่นเอง
‘หรือว่า…’ หลินหยางวิตกกังวล เพราะเกรงว่ามันจะเป็นแบบที่เขาคิด
มิผิดเพราะเมื่อพวกเขาเข้าใกล้ก็มองเห็น”เมือง”ที่อยู่ตรงจุดนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นพื้นที่ว่างเปล่ามีแต่พื้นหญ้าไกลสุดสายตา