ตอนที่ 41 กำลังพล
เมื่อตกลงกันได้แล้วหลินหยางก็อนุญาติให้พวกเขาหาปลาในแม่น้ำ
ตอนนีเขานั่งมองเหล่ามนุษย์หมาป่าและเอลฟ์กำลังดำผุดดำว้าย ซึ่งสายตาของสองเผ่าพันธุ์ที่จ้องมองกันมันช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ราวกับแข่งขันกันอยู่
“ท่านลี่จู ท่านราชากับองค์หญิงอยู่ที่หมู่บ้านของท่านไหม” เอลฟ์ลี่เฉินถามลี่จู
“พวกเราไม่ทราบเลยว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน” ลี่จูตอบด้วยใบหน้าสลด เอลฟ์ผู้มาใหม่เมื่อได้ยินก็ก้มหน้าเสียใจ
“พี่หยางหากพี่ต้องการให้พวกผมทำอะไรขอให้พี่สั่งมาได้เลย” มนุษย์หมาป่าเจียวฮั่นกล่าวกับหลินหยางด้วยความหนักแน่นทั้งที่เมื่อครู๋มันยังเห็นชายหนุ่มเป็นศัตรู
“ฮ่ะๆ” หลินหยางยิ้มแห้ง เขาคิดว่าพวกมนุษย์หมาป่ากลุ่มใหม่นี้จะโกรธเคืองที่เขาได้สังหารเจียวจ้านที่พวกมันเคารพไปเสียอีก แต่มนุษย์หมาป่ากลับนับถือนอบน้อมต่อเขาเช่นนี้ หลินหยางจึงทำตัวไม่ถูก
นั่นก็เพราะแม้เมื่อเจียวจ้านได้เป็นผู้นำฝูงก็เพราะกำลังของมัน หากมีผู้อื่นสามารถประลองชนะเจียวจ้านได้ มันผู้นั้นก็จะได้เป็นผู้นำคนใหม่เพียงแต่มันผู้นั้นกลับไม่ใช่มนุษย์หมาป่าเท่านั้นเอง
“ลี่จู เจียวซิน วางกำลังไว้ที่แม่น้ำแห่งนี้ด้วย” หลินหยางกล่าวกับทั้งคู่เพื่อป้องกันพวกฉวยโอกาศเนื่องจากวันนี้มีเมืองอีกหลายเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากคลองน้ำนี้ซักวันอาหารพวกเขาก็หมดลงและนอกจากวางกำลังพลแล้วหลินหยางก็ได้จัดการสร้างตราประทับว่าที่แห่งนี้มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนเอาไว้โดยการสร้างสิ่งปลูกสร้างเล็กๆน้อยๆซึ่งมันก็พอจะแก้ความเข้าใจผิดอย่างที่พึ่งเจอมาได้บ้างไม่มากก็น้อย
“ได้เลยพี่หยาง แค่เหล่ามนุษย์หมาป่าก็เพียงพอแล้ว” เจียวซินกล่าวพลางยืดอก
“ท่านหยางท่านไม่ต้องเป็นห่วงเหล่าเอลฟ์ผู้กล้าจะปกป้องที่นี่อย่างสุดความสามารถ” ลี่จูกล่าวพยางยืดอกประชันกับเจียวซิน
“เฮ้อ..” เห็นปฏิกิริยาทั้งคู่หลินหยางถอนหายใจ
“เอาล่ะ พวกเรากลับเมืองกันเถอะอย่าลืมเพิ่มเวรยามป้องกันเมืองด้วย” หลินหยางกำชับลี่จูและเดินทางกลับเมืองของตนพร้อมกับเจียวซิน ซึ่งเจียวฮั่นก็ตามมาเช่นกัน
ณ เมืองหลินหยาง
เขาเรียกทุกคนมารวมตัวและอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
“ตั้งแต่วันพรุ้งนี้เราจะส่งทีมสำรวจเพื่อสำรวจรอบๆ ภารกิจหลักคือหาแหล่งอาหารเนื่องจากตอนนี้มีเมืองมาใหม่อีกกว่าร้อยเมืองผมอยากให้เพิ่มเวลาในการฝึกใช้อาวุธมากขึ้น” หลินหยางบอกกล่าว
เนื่องจากมีเมืองมาใหม่อีกจากการสอบถามเหล่าทหารที่เขาไปเจอพวกเขาบอกว่าประตูจะปิดลงในวันที่ xx ซึ่งก็คืออีก 7 วันสำหรับโลกมนุษย์แต่สำหรับแผ่นดินสวรรค์แห่งนี้มันก็คืออีกเจ็ดปีเลยทีเดียว เมื่อสามเดือนก่อนชายชราได้พูดว่ามีเมืองเช่นเดียวกับเขานับล้านเมือง แต่ไม่ทราบจำนวนนั้นมันนับรวมในอนาคตด้วยหรือไม่ หากไม่แล้วละก็ไม่อยากจะคิดถึงวันที่เหลือของประตูสวรรค์ว่ามันจะมีเมืองใหม่มาเพิ่มอีกกี่เท่ากัน
ตกตอนเย็น
“เอ่อ แล้วเราจะเอายังไงกับเขาดี” หลินหยางถามเจียวซินพลางมองไปที่มนุษย์หมาป่าหนุ่มเลือดร้อนเจียวฮั่น
“ทำอะไรหรอพี่หยาง” เจียวซินถามด้วยความงุนงง
“เขาไม่กลับหรอ” หลินหยางกล่าว
“กลับไปไหนเหรอ?” เจียวซิ่นชักงงหนัก
“เมืองของพวกเขาไง” หลินหยางเองก็เริ่มสังเกตุเห็นความผิดปกติ
“อ้อ!? พวกเขาไม่กลับไปแล้วล่ะ” คำตอบที่ได้รับทำให้หลินหยางชะงักไปชั่วขณะเลยทีเดียว
นี่เขากำลังจะได้กำลังพลมาเพิ่มอีกกว่าห้าสิบชีวิต….โดยที่เขาไม่ต้องการ ต้องบอกตามตรงว่าความแออัดที่มีในปัจจุบันของจำนวนประชากรที่มีมากกว่าพื้นที่ใช้สอยก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำหรับหลินหยางและการที่มีประชากรมาเพิ่มอีกเกือบเท่าตัว….
หลินหยางอยากจะปฏิเสธและกลายร่างเป็นยักษ์มารไล่ให้มนุษย์หมาป่ากลุ่มใหม่หนีเตลิดไปใจจะขาดทว่าเมื่อต้องเผชิญกับสายตาอันไร้เดียงสาของสองพี่น้องหมาป่าที่นั่งมองหน้ากันแป๋วแว๋วเช่นนี้ ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงยิ้มแห้ง
ตอนที่ 42 เมืองร้าง
วันรุ่งขึ้น
หลินหยางได้แบ่งเหล่ามนุษย์หมาป่าหน้าใหม่เป็นสามกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีสมาชิกสิบตนและทั้งสามกลุ่มนี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นกองกำลังรบอย่างเป็นทางการพร้อมกับมอบชื่อกลุ่มที่ให้ง่ายต่อการเรียกขานว่า…ทีมจู่โจม
ซึ่งแน่นอนว่าทีมจู่โจมนี้รวมเอาเหล่าหมาป่าฉกรรจ์และวัยหนุ่มเพียงอย่างเดียว ส่วนหมาป่าวัยเยาว์และวัยชรานั้นก็ถูกส่งไปให้เทียนหนิงเจี้ยนจัดแจงอีกทอดนึง
และแล้วก็มาถึงเวลาสำคัญนั่นก็คือการออกสำรวจที่เป้าหมายหลักและสำคัญยิ่งชีพในคราวนี้ก็คือแหล่งอาหาร
“หน่วยที่สองไปทางนี้ ส่วนหน่วยที่สามให้ใช้เส้นทางนี้สำรวจพื้นที่ในระแวกห้าสิบกิโลเมตร หากเจอพลเมืองของเมืองอื่นห้ามโจมตี หากเกิดเหตุไม่คาดฝันให้ถอยและปกป้องชีวิตตนเองไว้” หลินหยางมอบหมายหน้าที่ให้แก่ทีมที่สองและสามตามลำดับ ส่วนหน่วยที่หนึ่งนั้นชายหนุ่มเป็นผู้นำกำลังด้วยตนเองมุ่งหน้าออกเดินทาง
“โชคดีพี่ชาย!” บนกำแพงเมืองซิ่นก้งสั่งปิดประตูเมืองก่อนจะโบกมืออวยพรหลินหยาง ตอนนี้หน้าที่ของซิ่นก้งนอกจากเป็นครูฝึกแล้วมันก็เป็นยามเฝ้าเมืองในช่วงที่หลินหยางมิอยู่อีกด้วย
ห้ากิโล สิบกิโลเมตรระยะทางที่ผ่านไปอย่าว่าแต่แหล่งอาหารเลย แม้แต่สัตว์สักตัวก็มิเห็นเงา ในครรลองตามเส้นทางที่ผ่านมาเห็นเพียงแค่เมืองใหม่ เมืองเก่ามิมีอื่น
แต่พวกมันมิย่อท้อยังย่างกรายเดินเท้าอย่างแข็งขันด้วยความหวังว่าจะเจอขุมทรัพย์ที่จะประทังความหิวบรรเทาปัญหา
“หยุด!” ชะเง้อซ้าย มองขวาเดินและก็เดินไปเรื่อยๆจนถึงช่วงกิโลเมตรใกล้เคียงยี่สิบหลินหยางก็ยกมือสั่งทัพหยุดเคลื่อนไหว
ในสายตาของมันเพ่งพินิจมองไปยังเมืองมนุษย์แห่งหนึ่ง ซึ่งหากเป็นเมืองธรรมดาหลินหยางคงมิให้ความสนใจสักเท่าไหร่ทว่าเมืองนี้มันมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ทางเข้าเมืองเต็มไปด้วยซากศพเกลื่อนกลาดและมิใช่ศพของสัตว์ประหลาดแต่เป็นร่างของมนุษย์!!
“จิ่นเหอมากับผม” หลินหยางและจิ่นเหอปลีกตัวมุ่งหน้าเดินเคียงคู่เข้าไปสำรวจสถานการณ์พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายบนอากาศ จำนวนศพผู้เสียชีวิตกะคร่าวๆด้วยสายตาไม่ต่ำกว่าสามสิบราย พวกมันทั้งคู่ย่างกรายเข้ามาเฉียดใกล้ทางเข้าเมืองก่อนที่หลินหยางจะตะเบ็งเสียงตะโกนถาม
“มีใครอยู่ข้างในไหม”
“…” ไร้เสียงตอบกลับ ชายหนุ่มเปร่งวาจาเพิ่มระดับเสียงย้ำไปอีกสองถึงสามรอบก็ไร้ความเคลื่อนไหวจากภายในเมือง
หลินหยางและจิ่นเหอปรึกษากันครู่นึงก่อนที่มันจะตัดสินใจปีนต้นไม้ที่รายล้อมเป็นกำแพงเมืองขึ่้นไปดู ยิ่งสูงเท่าไหร่กลิ่นคาวเลือดยิ่งรุนแรง
ทันทีที่ดวงตาของมันพ้นแนวต้นไม้จนสามารถมองลอดเข้าไปภายใน หลินหยางก็ต้องตกใจกับภาพที่ตนเห็น
ภายในเมืองมนุษย์แห่งนี้ราวกับถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มีศพคนนอนเกลื่อนกลาดเต็มพื้นที่เพียงมองด้วยสายตาก็รู้สึกหดหู่สิ้นหวัง คาดว่าคงไม่ต่ำกว่ายี่สิบศพหากเอาไปรวมกับซากภายนอกเมืองก็คงจะราวห้าสิบคนซึ่งเทียบเท่าจำนวนประชากรทั้งหมดของเมือง เมืองนึง
นอกจากร่างของผู้เคาะห์ร้ายแล้ว ภายในเมืองก็มีร่างของผู้กระทำอยู่ด้วย พวกมันกำลังแทะเลาะกระดูกเสียงดังจ็อบแจ๊บเพลิดเพลินกันเต็มที่เลยทีเดียว
“ก็อบลิน?” นั่นคือสิ่งที่ใช้เรียกพวกมันที่หลินหยางนึกออก รูปลักษณ์คล้ายคลึงมนุษย์แต่มิเหมือนนัก ขนาดของร่างกายเล็กกว่าคนราวครึ่งตัวผิวกายสีเขียวเข้ม
หลินหยางใช้ทักษะตาเหยี่ยวตรวจสอบ
ก็อบลิน ระดับ 4
พลังโจมตี 6
ป้องกัน 1
ความเร็ว 3
คำอธิบาย : ก็อบลินอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ชื่นชอบการต่อสู้ สติปัญญาต่ำ
คำเตือน : โจมตีพร้อมกันเป็นกลุ่ม
‘คนเหล่านี้คงจะเจอพวกมันบุกเมือง’ หลินหยางคิดซึ่งมันก็มิได้แปลกอันใดนักเพราะตอนมาถึงที่แห่งนี้ในวันแรกเขาก็ถูกมดไฟระดับสองโจมตีเช่นกัน เพียงแต่คนพวกนี้โชคร้ายกว่าเพราะพวกก็อบลินมีถึงระดับสี่ซึ่งบางตัวมีถึงระดับห้าจากการตรวจสอบพวกมันมีราวๆยี่สิบตัว
หลินหยางรีบปีนกลับพร้อมมุ่งหน้ากลับไปรวมกลุ่มกันสมาชิกและบอกกล่าวสถานการณ์ที่พบเจอมาให้แก่พวกมันทราบอย่างกระจ่างชัด
“พวกเราจะโจมตีพวกมัน”
“ฆ่ามันกันเถอะ”
“ข้าพึ่งเพิ่มระดับมายังมิได้ทดสอบเลย นี่เป็นโอกาศดียิ่ง” นั่นคือสิ่งที่เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหลายเสนอแนะและคิดเห็นตรงกัน