ตอนที่ 67 แรงงาน
ว๊ากกก~
หลินหยางแหกปากตะโกนก้อง เสียงที่ถูกขยายโดยทักษะราชสีห์คำรามดังกังวาลไปทั่วบริเวณ ชายเสื้อ เส้นผมและต้นหญ้าต่างก็ถูกพัดพาด้วยกระแสลมที่สร้างขึ้นมาจากคลื่นพลังของชายหนุ่มโดยมีมันเป็นจุดศูนย์กลาง
ทักษะราชสีห์คำรามที่ใช้ออกโดยมิได้เจาะจงเป้าหมายชัดเจนนั่นก็เท่ากับว่าทุกผู้คนที่ได้ยินต่างก็ได้รับผลกระทบของทักษะดังกล่าวซึ่งนั่นก็รวมไปถึงพรรคพวกของมันด้วยเช่นกัน
มวลหมู่ชายฉกรรจ์หยุดชะงักการห้ำหั่นชั่วขณะและนั่นทำให้พวกมันมีเวลาในการมองภาพรวมของสนามรบมากยิ่งขึ้น ร่างไร้วิญญาณนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหลายศพ อวัยวะร่างกายเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกหนแห่ง โลหิตรไหลนองย้อมผืนหญ้าแดงฉ่ำกลิ่นคาวคละคลุ้ง
“เหวอออ!!?” หนึ่งในกองกำลังผู้บุกรุกร้องเสียงหลงเมื่อมันสะดุดเข้ากับบางสิ่งล้มหงายตึงลงบนพื้นไม่เป็นท่าก่อนที่มันจะสติกระเจิงเมื่อเห็นสิ่งที่ขัดแข้งขัดขาของตน มันคือร่างไร้วิญญาณของผู้เสียชีวิตรายหนึ่งที่นอนจมกองเลือดดวงตาเบิกกว้าง
“ข้าไม่เอาแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะ”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ข้าอยากกลับบ้าน”
“โฮฮ” เสียงโห่ร้องแห่งความหวาดกลัวดังระงม บางรายทรุดตัวปล่อยโฮร้องไห้เสียงดัง บางคนสั่นกลัวตะเกียกตะกายคลานหนีใบหน้าซีดขาวเป็นไก่ต้ม บางรายจิตตกพยายามเช็ดเลือดผู้อื่นที่กระเซ็นมาถูกตัว มิลืมว่าไม่กี่วันก่อนหน้านี้พวกมันยังเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในโลกอันแสนสงบสุขก่อนจะย่างกรายเข้ามาภายในดินแดนทุ่งหญ้าอันโหดร้าย เห็นอวัยวะที่ถูกตัดขาดออกจากร่างกายในระยะเผาขน กลิ่นคาวของเลือดเตะจมูกจนอยากจะอาเจียน
“อ-เอาไงดีครับพี่หยาง” หลิวเจี่ยกล่าวถามไม่ทราบต้องกระทำเช่นไรต่อไป ฝ่ายผู้บุกรุกหมายจะยึดครองโพรงไม้บัดนี้ต่างทิ้งอาวุธไม่มีกระจิตกระใจจะต่อสู้ผิดกับฝ่ายของหลินหยางที่สัญชาตญาณความบ้าเลือดพึ่งจะคุกกรุ่นกำลังอยู่ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มในการฟัดเหวี่ยงกับศัตรูอย่างเมามันส์กันเลยทีเดียว
การเผชิญหน้ากันระหว่างสองกองรบเผด็จศึกกันรวดเร็วเกินคาดใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ได้ผู้ชนะ ฝ่ายผู้บุกรุกนำโดยหวงฮั่นได้รับความเสียหายหนักเลยทีเดียว มีผู้เสียชีวิตมากกว่าสิบรายและผู้บาดเจ็บเกินกว่าครึ่งของกองทัพ ส่วนฝ่ายของหลินหยางที่มีกำลังพลน้อยกว่าหนึ่งในสามแถมส่วนใหญ่คือทีมก่อสร้างที่มิใช่กำลังหลักในการต่อสู้กลับมีเพียงผู้บาดเจ็บร่วมสิบรายและส่วนใหญ่มีเพียงบาดแผลถลอกเล็กน้อยจากการวิ่งเข้าปะทะกันในระลอกแรก มีเพียงสามรายที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้พลาดท่าถูกแทงและโดนฟันคนละหนึ่งถึงสองบาดแผลเป็นผลจากการเสียเปรียบในเรื่องจำนวนคนซึ่งตอนนี้พวกมันทั้งสามนั่งพิงอยู่ที่โพรงไม้ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากทีมก่อสร้าง
“เอ่อ….จับพวกมันมัดไว้ก่อนแล้วกัน” หลินหยางเองก็ทำตัวมิถูกเช่นเดียวกัน
กำลังพลของหวงฮั่นที่เหลือทั้งหกสิบต่างสยบให้แก่ฝ่ายของหลินหยาง อันที่จริงพวกมันแทบมิต้องลงมือจับมัดตามคำสั่งของหลินหยางเลย บางรายตัวอ่อนปวกเปียกไม่มีแรงจะยืนถูกลากมากองรวมกันไว้เป็นกลุ่มริบอาวุธถอดชุดเกราะโดยที่ไม่มีใครขัดขืน
“นายคือหัวหน้าของกลุ่มนี้สินะ” หลังจากจัดแจงให้เป็นระเบียบเสร็จสรรพหลินหยางตีหน้ายักษ์ถือดาบยาวสองเล่มเดินอย่างอาจหาญมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของหวงฮั่นเหลือบสายตามองลงเบื้องล่างกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากเดิมทำให้ผู้ฟังรู้สึกขนลุกขนพอง
“ค-ครับ” โดยเฉพาะหวงฮั่นบัดนี้มันตัวสั่นงันงกเมื่อเผชิญหน้ากับหลินหยางผู้เป็นต้นเหตุให้ตนสติหลุดมันยิ่งหวาดกลัวหนักขึ้นไปอีก มันรีบตอบรับกุลีกุจอลุกขึ้นคุกเข่ามิกล้ามองสบตากับชายหนุ่มตรงหน้า
ฟวับ~
หลินหยางควงดาบภายในมือสร้างเสียงลมหวีดหวิว
“!!!?” เมื่อยืนอยู่ขอบเหวแห่งความตายประตูแห่งยมโลกมาเยือนยังแทบเท้า ไม่ว่าหลินหยางจะทำอะไรมันก็เป็นการกระตุ้น หวงฮั่นดวงตาเบิกกว้างมองใบดาบในมือของชายหนุ่มที่สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์วิบวับ สติมันขาดผึงสองมือกางออกกว้างโน้มร่างเข้าหาบุรุษเบื้องหน้า การกระทำของมันทำให้เหล่าทีมระยะใกล้และทีมก่อสร้างที่มองอยู่ตกใจเป็นอย่างยิ่งพวกมันรีบรุดเข้ามาหาหลินหยางหมายจะปกป้องชายหนุ่มทว่า….ดูท่าพวกมันจะตกใจเปล่าเสียแล้วเพราะหวงฮั่นกลับทำในสิ่งที่พวกมันไม่คาดคิด…สองมือของมันรวบเข้าต้นขาของหลินหยางซบหน้าของตนที่ร่างชายหนุ่มร้องไห้โฮ
“อ-อย่าฆ่าพวกเราเลย ที่ต้องทำแบบนี้เพราะพวกเราไม่มีทางเลือ-ฮือ อาหา-อาหารของก็ใกล้จะหมดลงแล้ว” มันส่งเสียงสะอึกสะอื้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือสาธยายยืดยาว โดยใจความหลักก็คงจะเป็นการคาดแคลนอาหารนั่นแลมันร้องอ้อนวอนขอความเห็นใจเล่าเรื่องน่าสงสาร หลินหยางที่พยายามแสร้งเป็นคนโหดเหี้ยมเมื่อเจอลูกอ้อนแบบนี้ก็ไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว เดิมทีเขาตั้งใจจะข่มขู่หวงฮั่นที่เป็นผู้นำให้มันหวาดกลัวและมิกล้าหืออือมิกล้ามาเหยียบที่นี่อีก ทว่า…เรื่องที่หวงฮั่นยกขึ้นมาก็ดูเหมือนจะแทงใจดำหลินหยางไม่น้อยโดยเฉพาะเรื่องเมืองของมันที่มีประชากรผู้สูงอายุเยอะกว่าปกติและบัดนี้ผู้เฒ่าเหล่านั้นต่างก็กำลังจะอดตายกันถ้วนหน้า
“ยกโทษให้เราด้วยเถอะ” หนึ่งในกองกำลังหวงฮั่นกล่าวเสริมรุดตัวเข้าไปเกาะขาของเจียวฮั่นมนุษย์หมาป่าหนุ่ม
“ฮึ่ม เมื่อครู่แกยังจะเอาชีวิตข้าอยู่เลยมิใช่รึ” เจียวฮั่นส่งเสียงสบถอย่างไม่พอใจมองไปยังชายฉกรรจ์ที่กอดร่างของมันอยู่ซึ่งชายคนนั้นเป็นคู่ต่อสู้ของมันเมื่อครู่
“ภรรยาและลูกของผมยังรอให้ผมกลับไปอยู่ ไว้ชีวิตผมเถอะ”
“เราผิดไปแล้ว” เห็นเช่นนั้นคนที่เหลือต่างก็อ้อนวอนขอชีวิตกันระงมฟังไม่ได้ศัพท์เลยทีเดียว
“พี่หยาง” ตอนนั้นเองหลิวเจี่ยเข้ามากระซิบกับชายหนุ่มต้องการสนทนาเป็นการส่วนตัว ด้านหลังของมันมีหลิวไห่ที่ถูกลากมาด้วยก่อนที่ทั้งสามจะช่วยกันแงะเอาหวงฮั่นที่เกาะแกะพัวพันไม่ยอมปล่อยและปลีกตัวออกมาไกล
“ให้พวกมันมาช่วยงานเราดีไหม?” ไกลจากพื้นที่ชุลมุน หลิวเจี่ยเสนอความคิด
“หืม? ช่วยยังไง” หลิวไห่ถามกลับ
“พวกเรายังขาดกำลังคนใช่ไหมล่ะ? ทั้งทีมก่อสร้างและฝ่ายต่อสู้เองก็ต้องการกำลังพลมากกว่านี้ ดูสิกำลังพลของพวกมันมีมากขนาดนี้…..” หลิวเจี่ยร่ายยาวแสดงความคิดเห็นชี้ถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อร่วมมือกับหวงฮั่นและพวก โดยความคิดที่มันเสนอมาพอจะมีเหตุผลฟังขึ้นเลยทีเดียวสิ่งที่พวกมันจะได้รับตอบแทนมาก็คือกำลังคนที่ขาดแคลนและสิ่งที่พวกมันมอบให้ไปก็คืออาหารที่ตอนนี้มิได้ขัดสน เรียกได้ว่าพวกมันมีแต่ได้กับได้
หลิวเจี่ยเสนอแนะว่าให้ชายฉกรรจ์จากกลุ่มของหวงฮั่นเข้ามาทำหน้าเฝ้ายามโดยเฉพาะ ปกปักษ์รักษาอาณาเขตแหล่งอาหารทั้งโพรงกระรอกและแหล่งน้ำซึ่งตามปกติแล้วยังไม่มีทีมใดได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามารับหน้าที่นี้อย่างเป็นทางการและมันก็เป็นปัญหาที่คาใจหลินหยางอยู่ไม่น้อยเพราะคนที่ต้องแบ่งมารับหน้าที่เฝ้ายามนั้นก็คงจะเป็นหนึ่งในหน่วยรบของเขาซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าหลินหยางจะต้องแบ่งคนจากทีมต่อสู้หรือทีมจู่โจมออกไปส่วนหนึ่งเพื่อมาเฝ้ายามซึ่งนั่นก็หมายความว่ากำลังรบของเขาจะต้องลดลงอย่างแน่นอนและรวมไปถึงงานของทีมก่อสร้างที่จะสำเร็จรุล่วงเร็วยิ่งขึ้นหากมีกำลังคนเพิ่ม
แต่ตามที่หลิวเจี่ยเสนอมาเขาสามารถใช้คนจากเมืองของหวงฮั่นมาแทนที่ในส่วนนั้นได้ แถมอาจจะได้กำลังพลสำหรับหน่วยรบเพิ่มขึ้นอีกด้วยจากเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหลาย
แน่นอนได้ฟังเช่นนี้ทั้งหลินหยางและหลิวไห่ต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วย
อึก~
หวงฮั่นกลั้นน้ำตาสะอึกสะอึ้น มันและพรรคพวกบัดนี้อยู่ในความสงบพวกมันต่างก็จับตาเฝ้ามองสามหนุ่มที่ปลีกตัวไปสนทนากันอยู่ไกลลับ หัวใจของพวกมันเต็มโครมครามเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อถึงคำตัดสินที่กำลังจะมาถึง
และแล้วสามหนุ่มก็กลับมาพร้อมกับข้อเสนอเชิญชวนที่พวกมันไม่อาจปฏิเสธได้ อารมณ์ของพวกมันแปรผันในฉับพลันฉีกยิ้มกว้างป่าวร้องโห่ยินดีกอดกันทั้งน้ำตา
ครึ่งชั่วโมง นั่นคือเวลาที่หลินหยางใช้เพื่อเก็บกวาดพื้นที่ฝังร่างผู้เสียชีวิตปรับความเข้าใจแก่หวงฮั่นและพวก กล่าวสิ่งที่พวกมันจักต้องทำต่อจากนี้เมื่อร่วมมือกันและสิ่งที่พวกมันจะได้รับนั่นคืออาหาร น้ำ…และการคุ้มครองจากเมืองหลินหยาง
หลังจัดการเสร็จสรรพทุกอย่างเข้าที่เข้าทางชายหนุ่มก็ปล่อยทีมก่อสร้างให้ทำงานของตนตามกำหนดการเดิมก่อสร้างรั้วรอบขอบชิดให้แก่โพรงกระรอก ส่วนมันก็นำทีมระยะใกล้และทีมจู่โจมมุ่งหน้าไปยังเมืองของหวงฮั่นและเมืองพันธมิตรของพวกมันเพื่อดูความเป็นอยู่ด้วยตาของตนเองและไม่ผิดไปจากที่หวงฮั่นกล่าวมาเลย เมืองของมันและพันธมิตรมีประชากรผู้สูงอายุรวมกับสตรีแทบจะครึ่งนึงของชายฉกรรจ์เลยล่ะ อดีตผู้นำคนก่อนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของออร์คได้ออกลาดตระเวณจับมือกับเมืองพันธมิตรรวมทั้งสิ้นสี่เมืองด้วยกันและรวมเสร็จสรรพพวกมันก็ได้ชายฉกรรจ์มาเป็นกำลังรบเพียงร้อยนายเท่านั้นนับว่าน้อยอย่างยิ่ง
ซึ่งจำนวนคนทั้งหมดตอนนี้เหลืออยู่ราวร้อยห้าสิบราย
“ถ้าอย่างงั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน” หลินหยางกล่าวลาแก่หวงฮั่นและพวกที่เดินตามกันเป็นขบวนจากเมืองหนึ่งสู่เมืองหนึ่ง ตอนนี้ก็ได้เวลากลับเมืองของตนแล้วชายหนุ่มหันกายนำทีมระยะใกล้และทีมจู่โจมเดินกลับไปรับทีมก่อสร้างเพื่อมุ่งหน้ากลับเมืองโดยที่มีหวงฮั่นและพวกเดินตาม….ซึ่งตอนแรกมันก็มิได้มีอะไรผิดปกตินักหรอกเพราะพวกหวงฮั่นและพวกอีกจำนวนหนึ่งจักต้องเริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่ตอนนี้นั่นก็คือการไปเฝ้ายามที่โพรงกระรอก ทว่าจำนวนที่เดินตามหลินหยางมานี่สิทำให้ชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว
“เอ่อ…พวกคุณจะไปไหนกันเหรอ?” หลินหยางกล่าวถามสายตาชะเง้อมองนับศรีษะได้ราวร้อยห้าสิบกระมัง…ซึ่งนั่นเป็นจำนวนทั้งหมดของหวงฮั่นและพันธมิตรมัน
“หืม? พวกเรากำลังจะกลับเมืองกันไม่ใช่เหรอ หรือพวกเราต้องไปที่อื่นอีก?” หวงฮั่นกล่าวถามด้วยใบหน้าไร้เดียงสา
“ฮ่าๆ พี่หยางก็เล่นมุขเป็นด้วย” พร้อมกับเสียงขบขันจากขบวนผู้ติดตามหัวเราะกันคิกคัก
“เมืองของพวกคุณไปทางนั้นไม่ใช่เหรอ? ส่วนเมืองของคุณก็ทางนู้น” หลินหยางชักรู้สึกถึงความผิดปกติ
หลังจากสิ้นเสียงชายหนุ่ม เสียงหัวเราะเมื่อครู่เงียบลงโดยพลันพร้อมกับสีหน้าแสดงออกถึงความตกใจไม่คาดคิด ดูเหมือนพวกมันจะเข้าใจสิ่งที่หลินหยางต้องการสื่อผิดไปมหันต์เลยทีเดียว
“เอิ่ม…” หลายรายก้มหน้าก้มตาผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะผู้ชราทั้งหลายที่ดูจะมีสีหน้าเศร้าหมองลง ชายหนุ่มหันมองหลิวไห่หมายจะขอความช่วยเหลือ ทว่าหลิวไห่เองก็มองหลินหยางด้วยสายตาแปลกๆดูเหมือนมันจะเข้าใจผิดแบบเดียวกับหวงฮั่นและพวก
“ผ-ผมล้อเล่นน่ะ ปะพวกเราไปกันเถอะ” หลินหยางยิ้มแห้งกล่าวต่อมวลชนก่อนจะนำทีมมุ่งหน้าไปยังโพรงกระรอก
“ฮ่าๆ ว่าแล้วเชียว มุขนี้ผ่านเลยนะเนี่ย”
“เล่นเอาพวกเราเชื่อเลยจริงๆ” เสียงหัวเราะขบขันดังกระหึ่มพวกมันผ่อนคลายถอนหายใจอย่างโล่งอก
‘คงต้องส่งทีมก่อสร้างมาตัดไม้ทั้งหมดจากเมืองหวงฮั่นกับพวก….ดูท่าเราจะต้องขยายเมืองเป็นอันดับแรก’ ชายหนุ่มคิด
ตอนที่ 68 เจ้าเขียว
วันคืนล่วงเลยผ่านราวหนึ่งเดือนนหลังศึกแย่งชิงโพรงกระรอกทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นมิมีเหตุการณ์ใดให้กล่าวถึง
ทีมก่อสร้างนำโดยหลิวเจี่ยต่างก็ทำงานกันอย่างขมักเขม้นทำการขยับขยายอาณาเขตของตัวเมืองล้มกำแพงเก่ายึดครองผืนหญ้าปักเสาหลักต่อเติมสร้างกำแพงใหม่ขนาดของเมืองและพื้นที่ใช้สอยมีมากขึ้นกว่าเดิมถึงสี่เท่าเพื่อรองรับประชากรที่มีเกือบสามร้อยชีวิตเทียบเท่าหกเมือง
ที่พักได้รับการดัดแปลงจากเดิมเป็นห้องโถงขนาดใหญ่สำหรับนอนร่วมกันต่อเติมเพิ่มชั้นไปอีกสามชั้น ชั้นบนสุดสำหรับสตรีชั้นกลางบุรุษและชั้นแรกสำหรับผู้สุงวัยและผู้เยาว์เน้นความปลอดภัยเป็นหลักมิให้พวกเขาจำเป็นต้องเดินเหินปีนป่ายขึ้นบรรใดบ่อยนัก
สิ่งปลูกสร้างแห่งใหม่สร้างขึ้นใกล้เคียงกับที่พักกักเก็บน้ำนั่นก็คือห้องอาบน้ำรวมที่กั้นกลางแบ่งระหว่างชายหญิง
นี่คือสิ่งที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อของทีมก่อสร้างที่ได้รับสมาชิกมาเพิ่มร่วมสี่สิบรายด้วยเหตุนี้ทำให้พวกมันทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ส่วนกำลังพลของทีมระยะใกล้กลับมิได้เพิ่มขึ้นอย่างที่หลินหยางคาดหวังเอาไว้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความต้องการของมันที่จัดตั้งทีมใหม่ขึ้นมาโดยให้หวงฮั่นนำทัพและมอบนามให้แก่ทีมนี้ว่า….หน่วยเวรยาม..,,,
หลังจากเหตุการณ์บุกยึดแหล่งอาหาร หลินหยางก็เข้มงวดในเรื่องความปลอดภัยของผู้ที่ต้องออกไปเฝ้าแหล่งอาหารมากยิ่งขึ้นมันจึงเน้นไปที่การป้องกันเป็นหลักส่งคนไปเฝ้าแหล่งอาหารครั้งละสามสิบรายเพิ่มขึ้นจาเดิมที่ส่งไปเพียงสิบ แบ่งเป็นสองกลุ่มสำหรับโพรงกระรอกผลัดกันช่วงกลางวันและกลางคืนและอีกหนึ่งกลุ่มสำหรับแหล่งน้ำผลัดกับหมู่บ้านเอลฟ์ที่ส่งกำลังรบของตนมาแบ่งเบาภาระ
“อย่าเกร็งสิ” พื้นที่สำหรับฝึกซ้อมของทีมระยะไกลมีเสียงสาวน้อยรายหนึ่งนามเหมยเหมยกำลังติวเข้มเป็นพิเศษให้แก่หลินหยางที่ตอนนี้หันมาจับคันธนูเล็งเป้า มองไปรอบๆทีมระยะใกล้รายอื่นต่างก็ได้รับการสั่งสอนตัวต่อตัวโดยหญิงสาวจากทีมระยะไกล พวกมันกำลังฝึกซ้อมเพิ่มความเชี่ยวชาญในการยิงธนูเพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการต่อสู้ให้แก่ตนเองมากยิ่งขึ้นจนตอนนี้พวกมันช่ำชองทั้งระยะใกล้และไกลสามารถรบได้ทุกระยะมิมีข้อด้อย
ระหว่างพักกลางวัน
ช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายมวลชนชายหญิงเด็กและคนชรานั่งล้อมวงทานอาหารรอบกองไฟอย่างเอร็็ดอร่อย ไม่แบ่งแยกเผ่าพันธุ์
หลินหยางในมือถือปลาย่างเสียบไม้ตัวหนึ่งเดินตรวจตราเมืองเป็นกิจวัตรประจำวันเคียงคู่ด้วยสาวน้อยเหมยเหมย ทั้งสองมาหยุดอยู่ที่คอกสัตว์มีรั้วรอบมิดชิดและภายในประกอบไปด้วยหญ้าแห้งกองหนาและมีไข่ของเหยี่ยวมรกตทั้งสิบใบถูกดูแลเอาใจใส่อย่างดีโดยผู้ที่ได้รับมอบหมาย
“เป็นยังไงบ้าง” หลินหยางเดินต้วมเตี้ยมเข้าไปชิดคอกไม้ก่อนจะยืนชะเง้อมองไข่ใบยักษ์สอบถามถึงความเปลี่ยนแปลง
“เอ่อ….แปลกมาก หากเป็นปกติมันควรจะฟักตัวนานแล้ว” ชายผู้ได้รับมอบหมายให้ฟูมฟักไข่เหยี่ยวมรกตกล่าวด้วยสีหน้าสลดเริ่มหมดความมั่นใจในตนเอง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ใช่ความผิดของนายซักหน่อย” หลินหยางปลอบใจชายผู้นั้นก่อนจะหันกายเดินกลับ
‘ไข่ที่ยังไม่ได้ผสม? หรือมันตายแล้วรึเปล่า? ช่างเถอะ’ ระหว่างเดินกลับชายหนุ่มครุ่นคิด เดิมทีมันหวังจะฟักไข่เหยี่ยวมรกตเพื่อให้มันออกไข่ให้กินได้ทุกวันเหมือนไก่ แต่ตอนนี้หลินหยางมิได้คาดหวังอะไรเท่าไหร่นักเพราะมันมิได้ขาดแคลนอาหารอีกแล้ว แต่อย่างไรลึกๆมันก็ยังหวังอยู่ว่าเจ้าไข่ยักษ์พวกนี้จะฟักออกมาเป็นตัวและให้ไข่อย่างที่มันหวัง แต่ดูเหมือนมันคงต้องแห้วเสียแล้ว
“พ-พี่หยาง พี่หยาง” ขณะที่หลินหยางกำลังเดินจากไปจู่ๆชายผู้นั้นร้องเรียกตะโกนด้วยน้ำเสียงแห่งความตื่นเต้นจนหลินหยางต้องหันกลับมาด้วยความสงสัยก็พบว่าชายผู้นั้นกวักมือเรียกมันพร้อมฉีกยิ้มกว้างบนใบหน้าชี้ไม้ชี้มือไปยังไข่ใบยักษ์เก็ฐอาการไว้มิอยู่
หลินหยางรีบแจ้นกลับมาด้วยความรวดเร็วมิเข้าทางประตูปีนข้ามรั้วเข้าไปภายในคอกจ้องลงบนไข่ใบโตดวงตาแวววับราวกับเห็นอัญมณี
แกร๊ก
ไข่ใบนึงจากสิบบังเกิดรอยแตกร้าวไปทั่วทั้งใบก่อนจะขยายกว้างขึ้นทีละน้อย ทีละน้อยส่งผลให้ผู้ที่เฝ้ามองอยู่ลุ้นใจระทึก
“ฟักแล้วๆ” ชายคนนั้นตะโกนอย่างตื่นเต้น
กี๊~~
และแล้วลูกเหยี่ยวมรกตตนแรกก็ถือกำเนิดลืมตาขึ้นมาดูโลกมันกะเทาะเปลือกของตนออกมาด้วยขาน้อยๆส่งเสียงร้องแหลม เหยี่ยวมรกตตัวน้อยที่มีขนาดร่างกายใหญ่กว่าไก่โตเต็มวัยพยายามก้าวขาออกจากซากเปลือกล้มลุกคลุกคลานอย่างน่าเอ็นดู
“ฮ่าๆๆ” หลินหยาง เหมยเหมยและผู้ดูแลต่างก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงต้อนรับสมาชิกใหม่ของเมือง
“รีบๆโตล่ะเจ้าเขียว” หลินหยางฉีกยิ้มกว้างใช้นิ้วชี้ลูบศรีษะของเหยี่ยวตัวน้อยที่มีร่างกายสีเขียวมรกต
‘เราจะมีไข่กินแล้ว!!’ หัวใจของหลินหยางพองโตตื่นเต้นจนควบคุมมิอยู่ในหัวครุ่นคิดเพียงไข่และไข่ โลกที่มันจากมา ไข่เป็นหนึ่งในอาหารที่มันทานแทบทุกวันด้วยราคาที่แสนถูกและคุณค่าทางอาหารสูง เมื่อเห็นเหยี่ยวมรกตตัวแรกถือกำเนิดหลินหยางแทบจะทนรอตอนที่มันออกไข่ให้เขามิไหว
ทว่า…..มันเป็นตัวผู้