ตอนที่ 686 ทัพปีศาจ
หลังจากแรงสั่นไหวเบาบางลง สถานการณ์จึงกลับสู่สภาพปกติ
“เรียกตัวแม่ทัพรวบรวมกําลังพลตามหัวเมืองต่างๆมาให้หมด!” แม่ทัพชุ่ยจื่อหมิงสั่งการด้วยน้ําเสียงแหบแห้ง เป็นเวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้วตั้งแต่เริ่มปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นภายในปาอสูร และในช่วงเวลาดังกล่าวมันตะเบ็งใช้เสียงสั่งการลูกสมุนและผู้ใต้บังคับบัญชาของมันอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
แผนภาพแผนที่จําลองผืนใหญ่ตรงหน้าของมันบัดนี้ถูกวาดเขียนวงกลม ขีดเส้นด้วยสีเขียวและแดงเต็มไปหมดจนลายตามันมิใช่การขีดเขียนโดยไร้ความหมาย แต่เป็นสัญลักษณ์ที่มันใช้แทนตําแหน่งพลุไฟด้วยลายเส้นสีเขียวและแทนจุดสีแดงด้วย…ความตาย สัญลักษณ์ที่ถูกวาดด้วยสีแดงนั้นแทนตัวของหน่วยย่อยที่เสียชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยนั่นเอง
ดูจากจํานวนสัญลักษณ์บนผืนภาพ สัญลักษณ์สีเขียวที่ถูกวาดเข้าไปในแผนที่มีอยู่เฉียดสามร้อยจุดเข้าไปแล้ว ส่วนสัญลักษณ์สีแดงนั้นห่างชั้นอย่างยิ่งมันมีเพียงไม่กี่สิบจุดเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่ามีเพียงหน่วยย่อยที่รับหน้าที่ประจําตําแหน่งภายในปาอสูรเพียงไม่กี่สิบหน่วยที่เสียชีวิตด้วยจํานวนนี้นับว่าเป็นจํานวนที่น้อยอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับหน่วยที่ประสบปัญหากว่าสามร้อยหน่วย
แต่หารู้ไม่ว่าเหตุที่จํานวนของจุดสีแดงที่ประดับอยู่บนแผนที่นั้นมิใช่เลขเฉพาะเจาะจงจํานวนที่สามารถเชื่อถือได้ เพราะตั้งแต่พวกมันมองเห็นหนอนยักษ์ตัวแรกพุ่งชนพื้นดินจนส่งควันโขมงปล่อยแรงสั่นสะเทือนเป็นวงกว้างส่งมาถึงยังกําแพงเมือง กอรปกับภาพหนอนยักษ์อีกนับนับร้อยบนท้องฟ้า นับแต่นั้นมาเหล่าผู้บัญชาการผู้ออกคําสั่งทั้งหลายก็มิได้จัดส่งทีมช่วยเหลือเข้าไปตามคําเรียกร้องของสัญญาณฉุกเฉินอีกเลย ด้วยเหตุนี้จํานวนที่แน่ชัดสัญญาณชีวิตของหน่วยย่อยที่รอคอยความช่วยเหลือเหล่านี้จึงมิไม่มีใครสามารถยืนยันได้อีกต่อไป
มองไปยังด้านนอกกําแพงเมืองมีเสียงเอะอะเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราวจากจํานวนคนนับแสนหากนับจํานวนอย่างเฉพาะเจาะจงแล้วคาดว่าคงมีไม่ต่ํากว่าสองแสนคนเลยทีเดียว!
มิผิด ด้านหน้าป้อมปราการแห่งนี้มีนักสู้เผ่าปีศาจที่แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยเกราะเหล็กเต็มยศยืนเรียงแถวหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบนับแสนนาย พวกมันคือเหล่าทหารกล้าผู้เป็นกําลังหลักแก่เมืองปีศาจแห่งนี้ที่อยู่ใต้การบัญชาการของแม่ทัพปีศาจฮุยจ่อหมิง
ด้วยจํานวนคนที่มีมากมายนับไม่ถ้วน ทําให้การจัดการกองทัพอย่างฉุกละหุกกระทันหันเกิดความชุลมุนวุ่นวายอยู่ไม่น้อย โดยหากมองจากบนกําแพงเมืองไปยังทิศใต้ทางปาอสูรในสายตาล้วนมองเห็นเพียงพลทหารเผ่าปีศาจยั้วเยี่ยราวกับกองทัพมด
แถวหน้าสุดของกองทัพสร้างแนวป้องกันเรียงรายสวยงามเป็นแถบด้วยโล่ โลหะขนาดใหญ่หันหน้าเข้าสู่ปาอสูร โดยทิ้งระยะห่างระหว่างปาอสูรไว้ราวหนึ่งกิโลเมตร
มองไปยังทางเข้าปาอสูร มีผู้คนทยอยผลุบโผล่ออกมาจากปารกแห่งนี้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย พวกมันเหล่านี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหน่วยย่อยต่างๆที่หนีตายออกมาจากเขตอันตรายนั่นเอง โดยกลุ่มผู้รอดชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วกลับออกมาด้วยสมาชิกทั้งสิบของหน่วยย่อยอย่างปลอดภัยพร้อมเพรียงไม่มีใครขาดหาย จะมีเพียงบางกลุ่มที่เป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่สูญเสียสมาชิกไป
เหล่าหัวหน้าหน่วยสอดแนมและหน่วยลาดตระเวณที่มีอยู่นับพันหน่วยนั้นก็มิใช่โง่งมหลังใช้เวลาวิเคาะห์ไม่นานนักพวกมันก็ทราบถึงสถานการณ์แล้วว่าเหล่าแม่ทัพทั้งหลายย่อมไม่ส่งคนเข้ามาช่วยเหลือพวกมันตามที่ร้องขออย่างแน่นอน
ฉะนั้นหลายกลุ่มจึงเริ่มคิดหาวิธีการเอาตัวรอดด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการตีฝาหรือค้นพบวิธีการที่แสนง่ายอย่างการยิงพลุไฟล่อศัตรูก็ตามที
บนกําแพงเมือง
” ท่านแม่ทัพดูนั่น” นายทหารรายหนึ่งส่งเสียงชักชวนฮุยจื่อหมิงที่กําลังง่วนอยู่กับการกํากับจัดสรรค์กําลังพลด้วยความเคร่งเครียด มันหันศรีษะมองไปยังทิศทางที่นายทหารผู้นี้ชี้ไม้ชี้มือด้วยความใคร่รู้ ก่อนที่สีหน้าของมันจะแปรเปลี่ยนสลัดทิ้งความตึงเครียดทดแทนด้วยรอยยิ้มแสดงถึงความสุข
สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือกลุ่มเมฆ ปรากฏร่างของกองทัพปริศนาที่มีกําลังพลไม่ต่ํากว่าหนึ่งแสนนายกําลังลอยตัวด้วยปีกขนาดใหญ่อยู่บนอากาศอันห่างไกลและกําลังมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกมันคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
กองทัพปริศนานี้สวมใส่เครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวยิ่ง ส่วนหัวมีหมวกเหล็ก ลําตัวเป็นชุดเกราะหนาให้การป้องกันครอบคลุมไปถึงแขนและขา หากเทียบกันแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากชุดเกราะพลทหารเผ่าปีศาจของมันสวมใส่มากนัก แต่สิ่งที่ทําให้มันโดดเด่นแปลกตาไปกว่าชุดเกราะปกติก็คือ มันเป็นเกราะสีเลือด!
กองทัพนับแสนสวมชุดเกราะสีแดงฉานที่สะท้อนแสงจันทร์วาววับปล่อยออร่าน่าเกรงขามหวาดหวั่นแก่ผู้พบเห็น พร้อมกับอักษรตัวใหญ่ที่ประทับอยู่บริเวณหน้าอกของชุดเกราะ คือคําว่าไฟ!
” พวกเขามาแล้ว!!” เหล่าพลทหารที่ยืนหยัดอยู่กําแพงเมืองล้วนตะเบ็งด้วยน้ําเสียงที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นยินดี เมื่อพวกมันมองเห็นกองทัพดังกล่าว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากองกําลังนับแสนนายที่มาเยือนในยามวิกาลนี้เป็นมิตรมิใช่ศัตรู
ด้านหน้าของกองกําลังปริศนามีร่างของชายผู้หนึ่งที่แยกออกจากแถวบินโดดเดี่ยวเพียงลําพังนําขบวนทัพ คนผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นผู้นําของกองทัพดังกล่าว
วู้วววว
บุรุษผู้นี้หุบปีกที่พยุงร่างของตนปล่อยตัวไปตามแรงดึงดูดของธรรมชาติส่งผลให้ร่างของมันลดระดับความสูงลงอย่างรวดเร็วจนเกินเสียงฝ่าอากาศอย่างน่าหวาดเสียว จนกระทั่งมันล่วงจวนเจียนจะตกถึงพื้น ปีกยักษ์ประดับหลังของมันสยายกางออกโต้อากาศชลอความเร็วเอียนเปลี่ยนมามองศาพาตนร่อนลงจอดบนกําแพงเมืองอย่างราบรื่น
เมื่อเข้ามาในระยะใกล้ทําให้สามารถมองเห็นรายละเอียดเกี่ยวกับตัวตนของคนผู้นี้ได้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น มันเป็นชายวัยฉกรรจ์อายุราวสี่ถึงห้าสิบปี ขนาดร่างกายของมันใหญ่โตกว่าคนปกติทั่วไปแขนขาลําตัวหนาทึกบึนกํายําแข็งแรงกล้ามเป็นมัดสูงกว่าสองเมตร ใบหน้าดุดันแข็งกร้าวน่าเกรงขาม บุคคลิกองอาจผ่าเผย
พรึ่บ
ปีกที่ติดอยู่ด้านหลังสบัดกระพือครู่นึงก่อนจะหุบกลับเก็บเข้าไปดังเดิมเมื่อไม่ได้ใช้งาน ปีกของมันแตกต่างจากจ่อหมิงและพลทหารเผ่าปีศาจเหล่านี้เล็กน้อยตรงที่ปีกของมันมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อสยายกางออกจนสุด แถมตัวบุกเองก็ยังมีความหนามากกว่าปกติ
“จ่อฮวง” แม่ทัพฮุยจื่อหมิงแทนคําเรียกต่อชายผู้นั้นด้วยน้ําเสียงที่แฝงไปด้วยความยินดี
“ข้าลื่อยวง นําทหารกล้าหนึ่งแสนนายจากเมืองฮัวหงล่วงหน้ามาเพื่อทําฟันกับอสูรร้าย” บุรุษผู้นี้ค่อมศรีษะต่อแม่ทัพอหมิงพร้อมกับกล่าววาจาด้วยความจริงจัง
ยังมิทันได้เปิดปากสนทนากันต่อ จู่ๆก็มีเสียงโหวกเหวกเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆมาจากทางฝั่งซ้ายของกําแพง
นายทหารรายหนึ่งบินตรงดิ่งมาด้วยความเร็วสูงจากทิศทางดังกล่าวและมาหยุดอยู่ต่อหน้าผู้บัญชาการ
” ท่านแม่ทัพ กําลังเสริมจากเมืองเทียนหลานมาถึงแล้ว!” นายทหารรายนั้นเร่งรีบรายงาน
“ดี!” ฮึยจื่อหมิงกล่าว
ครืนน
ในตอนนี้เองที่มันรู้สึกถึงการสั่นไหวของกําแพงเมือง มันชะโงกศรีษะมองออกไปบนพื้นดินนอกกําแพงทางด้านซ้ายพบกับขบวนทัพนับแสนที่กําลังตบเท้าเดินอย่างพร้อมเพรียงเป็นระเบียบ
กองทัพใหม่นี้สวมใส่ชุดเกราะเฉกเช่นเดียวกับพลทหารเผ่าปีศาจ แต่ก็มีจุดที่เป็นเอกลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับกองทัพที่สวมใส่เกราะสีแดง นั่นคือชุดเกราะที่พวกมันสวมใส่นั้นเป็นสีฟ้าคราม พร้อมกับตัวอักษรคําว่า “น้ํา” ที่ติดอยู่กลางหน้าอก!
“ฮี” มองไปยังบุรุษผู้สวมเกราะแดงที่มีสัญลักษณ์คําว่า”ไฟ”อยู่บนหน้าอก มันเค่นเสียงในลําคอหนึ่งคราพร้อมกับสีหน้าไม่แยแสให้ความสนใจกับกองทัพใหม่ผู้มาเยือนถัดจากมัน