กลิ่นหอมจรุงใจลอยล่องทั่วบริเวณ เพราะเป็นห้องปิดทึบกลิ่นหอมจึงยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น กลิ่นหอมนั้นเข้มข้นทว่าเป็นธรรมชาติ พาให้จงฉิงนึกถึงมวลผกาจำพวก หมู่ตาน[1] เสาเย่า[2] ต้าลี่และเบญมาศ บุษบางามเฉิดฉายจึงได้นามเหล่านี้ล้วนมิหอมหวน ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่านางมีความงามแห่งหมู่ตานและเสาเย่า ซ้ำยังมีความหอมหวนที่หมู่ตานและเสาเย่าไม่อาจมี ฟ้าลิขิตถนอมรัก ขาวนวลสมบูรณ์พร้อม
ในใจของจงฉิงอุ่นวาบหวาม
เขาคือบุตรชายโทนของอาจารย์ซีคัง สุขภาพไม่สมบูรณ์จึงเก็บตนอยู่ในเรือน ตั้งแต่เด็กจนคุ้นชินเพียงวันเวลาสร้อยเศร้าเหงาหงอย ยามว่างจึงได้แต่อาศัยพรสวรรค์อันน้อยนิดของตนเองละเล่นศาสตร์แห่งกลไก ด้วยเหตุผลด้านร่างกาย แต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่เคยครุ่นคิดเรื่องสตรีแล ไม่ได้รู้สึกว่าสตรีจำเป็นแต่อย่างใด
ทว่าวันนี้คล้ายมีสิ่งใดแตกต่างออกไปบ้าง
บางครา ผู้อ่อนวัยผิวขาวซีดเผือดมักจะถูกพี่สาวงดงามผู้มีเสน่ห์ข้างนอกดึงดูดได้โดยง่าย
จงฉิงรับนิ้วมือของจิ่งเหิงปัวด้วยทั้งคับแค้นใจระคนยินดีน้อยๆ ยามปลายนิ้วกำลังจะสัมผัสจิ่งเหิงปัวก็ร้องโอ๊ยขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวออกมาทันทีว่า “ผู้ใดผลักข้า?” ร่างก็พลันเอนลงไปด้านหน้า
นิ้วมือของสองคนคลาดผ่านกันไป จิ่งเหิงปัวควบคุมท่วงท่าไม่ได้จึงล้มโซเซลงบันไดไปขั้นหนึ่ง ชนเข้ากับจงฉิงผู้เตรียมคลานขึ้นมา ทำให้ร่วงลงไปดังพลั่กเสียงหนึ่งอีกครั้ง
“อ๊าๆ อ๊าๆ …” เอวบางอ่อนแอของจงฉิงซึ่งรองอยู่บนไม้กระดานถลาไถลลื่นลงไปทีละขั้น กระดูกช่วงเอวเสียดสีกับกระดานแข็ง เปล่งเสียงกึกกึกน่ากลัวออกมา
“พลั่กๆๆ” เขาไถลลงไปจนสุดทางอีกครั้ง ศีรษะทิ่มพื้นเป้ากางเกงหงายขึ้น
จิ่งเหิงปัวอมนิ้วมือไว้ในปาก ดวงตาเบิกโพลงจนกลมโต รู้สึกว่าทุกเรื่องในวันนี้ล้วนไม่มงคล หรือว่านางควรไปจุดธูปไหว้ขอพรเสียก่อน
นางหันหน้ามามองดู ที่ปากบันไดมีเงาคนตรงไหนกัน? ลมประหลาดที่ผลักมาจากด้านหลังระลอกหนึ่งเมื่อครู่นั้นมาจากไหนกัน?
จงฉิงล้มอยู่ที่ชั้นล่างร้องโอ๊ยๆ มองเหนือศีรษะน้ำตาคลอเอ่ยว่า “เศร้าสร้อยขึ้นบันไดปวดรวดร้าว ถอนใจยาวมิอาจกลบน้ำตาได้”
ครั้งนี้จิ่งเหิงปัวไม่กล้าประคองเขาแล้ว จงฉิงคลานขึ้นมาด้วยท่าทีหนึ่งก้าวสั่นสามครา สุดท้ายจึงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก เมื่อถึงชั้นบนจงฉิงพิงอยู่ปากบันไดหายใจฮืดฮาดเอ่ยว่า “งามหรือไม่…”
สายตาของจิ่งเหิงปัวถูกดึงดูดด้วยฉากกันลมไม้หวงหยาง[3] ขนาดมหึมาเสียแล้ว
ด้านหน้าคือผนังไม้หวงหยางขนาดมหึมา ด้านหนึ่งบนผนังเต็มไปด้วยดอกทานตะวัน แต่ละดอกดุจวงล้อ ฐานดอกสมบูรณ์ เงยดอกยืดก้านท่วงท่างามสง่า
จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดชั่วครู่ แต่ไม่ได้รู้สึกตัวว่าคนท้องถิ่นชอบใช้ดอกทานตะวันในการประดับตกแต่ง ส่วนมากจะใช้หมู่ตานหรือดอกท้ออะไรก็ว่าไป
“ดอกทานตะวันเหล่านี้งามหรือไม่” จงฉิงสีหน้าเคลิบเคลิ้ม เอ่ยสืบต่อว่า “พวกมันแย้มบานประสานเพียงแสงตะวัน ปณิธานสูงส่งยาวไกล ท่วงท่าเป็นเอกลักษณ์ พวกมันแลดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ตั้งตระหง่านยิ่งนัก คล้ายกับข้า…ใช่หรือไม่?”
จิ่งเหิงปัวมองใบหน้าที่คล้ายอสรพิษน้ำ เอวคล้ายน้ำค้างแข็งของเขาเพียงครั้ง ก็รู้สึกว่านอกจากคำว่า ‘ทานตะวัน’ ที่เหมาะสมกับนิสัยผู้เป็นฝ่ายรับของเขาเป็นพิเศษแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรเหมือนสักอย่าง
“ไม่ดี ไม่ดี” นางส่ายหน้าแรงๆ พลางกล่าวว่า “เหตุใดจึงใช้ดอกไม้อัปลักษณ์เยี่ยงนี้เล่า? เหตุใดจึงใช้ดอกไม้โง่เขลาเยี่ยงนี้ หากมนุษย์คล้ายดอกไม้นี้นั่นคงจะแย่แล้ว จ้องมองไปเพียงทิศทางเดียวอย่างโง่เขลา หากข้างหลังมีอันตรายจะทำอย่างไร? อีกทั้งรูปร่างนี้ก็ผอมบางค้ำยันศีรษะมหึมาไว้ เจ้าก็กลัวว่าผู้อื่นจะมองไม่ออกว่าเจ้าเจริญเติบโตไม่เต็มที่หรืออย่างไรกัน”
จงฉิงเปล่งเสียง “เฮือก” ออกมาเสียงหนึ่ง แล้วนึกไม่ถึงว่ายังมีผู้เอ่ยวาจา อธิบายถึงดอกทานตะวันที่ยึดมั่นเย่อหยิ่งในใจของเขาเช่นนี้ เมื่อเอ่ยเช่นนี้แล้ว แลมองดอกทานตะวันนั้นก็พลันรู้สึกว่าท่วงท่าน่าเบื่อหน่ายรูปร่างน่าสะพรึงกลัว
“เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าดอกไม้ใดเหมาะสมกับข้าเล่า”
“ดอกเบญจมาศ!” จิ่งเหิงปัวตบไปที่ฉากกันลมไม้หวงหยางอย่างดีใจจนกระโดดโลดเต้น กล่าวต่อว่า “ดอกเบญจมาศถึงจะสอดคล้องกับนิสัยของเจ้าเป็นที่สุด ซ้ำยังเป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมของบุรุษผู้งามเลิศล้ำทุกผู้คน! หากผนังด้านนี้ล้วนเป็นดอกเบญจมาศ ดอกเบญจมาศสีทองอร่ามดอกเล็กดอกใหญ่ จะงดงามพาให้ผู้คนมองแล้วสะเทือนใจมากเท่าใดกัน!”
ไม่รู้ว่านางกระโดดโลดเต้นจนไปสัมผัสกลไกแห่งใดเข้า เสียงดังครืน ฉากกันลมแยกเป็นสองซีก จิ่งเหิงปัวล้มเข้าไปด้วยท่านั้น เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นแจกันดอกทานตะวัน ม่านดอกทานตะวัน พรมดอกทานตะวัน เก้าอี้ดอกทานตะวันเต็มห้องไปหมด แลดูหรูหราสีทองอร่าม ฐานดอกขนาดใหญ่ทิ่มแทงนัยน์ตาคน
จิ่งเหิงปัวส่ายหน้าไม่หยุดพลางเอ่ยว่า “ช่างไร้รสนิยมเสียจริง เหตุใดถึงไม่เป็นดอกเบญจมาศเล่า หากเปลี่ยนเป็นดอกเบญจมาศทั้งหมดจะงามเพียงใดกัน!”
“หากข้าเปลี่ยนเป็นดอกเบญจมาศ แล้วเจ้าจะชอบหรือไม่” เสียงเอ่ยถามพร้อมลมหายใจดังฮืดฮาดของจงฉิงคล้ายอยู่หลังกายตน จิ่งเหิงปัวราวกับรู้สึกถึงไอร้อนจากลมหายใจติดขัดของเขา
เมื่อจิ่งเหิงปัวหันหน้ามาจึงมองเห็นใบหน้าน้อยซีดเผือดของจงฉิงอยู่ห่างท้ายทอยตนเองเพียงห้าเซนติเมตร ด้วยเพราะการหันหน้าอย่างกะทันหันของนาง ผู้อ่อนวัยนั้นไม่ทันได้ซ่อนเร้นความปรารถนาและความรักชื่นชมที่ลึกไปในดวงตา จิ่งเหิงปัวถูกสายตาที่ร้อนแรงทอประกายเสียจนชะงักไป จงฉิงจึงคว้ามือของนางไว้ในครั้งเดียว
“หากสิ่งใดในที่แห่งนี้ล้วนเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เจ้าชอบ เจ้าจะอยู่ที่นี่หรือไม่” จงฉิงกุมมือของนางไว้แน่น กระซิบกระซาบเอ่ยวาจาเสียงแผ่วเบาข้างหูนางว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นสตรี เจ้าคล้ายจะอยู่ตัวคนเดียวเช่นกัน ข้าจะไม่ถามไถ่หัวนอนปลายเท้าของเจ้า ข้าหวังเพียงอยากเอาอกเอาใจเจ้า หากข้าล้วนยอมตามเจ้าและรักใคร่โปรดปรานเจ้า เจ้า…เจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?”
แสงสว่างในห้องลับมัวสลัว ผู้อ่อนวัยตัวซีดเผือด สีหน้าออกเขียวแดงซ่านอย่างหาได้ยาก กุมมือของจิ่งเหิงปัวไว้สั่นสะท้านน้อยๆ
มือของจิ่งเหิงปัวหดกลับไปด้วยหยั่งเชิง จงฉิงรู้สึกได้ถึงอาการหดถอยของนาง สีหน้าซีดขาวทว่ามิกล้าปล่อยมือ นิ้วมือจับแน่นจนจิกมือของนาง
จิ่งเหิงปัวกลอกตา เบื้องลึกในใจมีความรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย ถ้ากล่าวว่านางดูออกว่าผู้อ่อนวัยนี้มีโรคประจำตัวร้ายแรงตั้งแต่แรกเลยไม่ถือสาที่จะเล่นเป็นเพื่อนเขา ยามนี้เหตุด้วยความคิดอื่นเช่นนี้จึงไม่อยากคิดที่จะอยู่ต่อแม้แต่นาทีเดียว
ภาระที่แบกรับไม่ไหวต้องหลีกหลบกันไป นางอยู่ด้วยเล่นๆ ไม่เป็นไร หากเขาจริงจังขึ้นมาแล้วภายหลังนางหนีไป เขาโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า? ดูริมฝีปากน้อยๆ นั่นสิ ขึ้นบันไดรอบเดียวก็ออกสีม่วงเป็นผลหม่อน[4]
นางประสานเข้ากับสายตาเปี่ยมปรารถนาของจงฉิง ยื่นมือออกไปพลางยิ้มเบิกบาน เตรียมใช้วิธีพูดจาอ้อมค้อมล้อเล่นปฏิเสธเขาโดยไม่ทำให้เสียหน้า
เช่น ลูบใบหน้าของเขา กล่าวสักประโยคว่า ‘น้องชาย เจ้าช่างหล่อเหลา พี่สาวรักเจ้าตั้งแต่ยามแรกเห็น ทว่าพี่สาวได้สมรสกับผู้อื่นเสียแล้ว เป็นนวลนางผกาช้ำหลิวตรม[5] จึงมิอาจทรยศมโนธรรมเหยียบย่ำผู้น่ารักเชื่อฟังเช่นเจ้า’
นิ้วมือยังไม่ทันได้แตะต้องใบหน้าของจงฉิง ข้างหลังก็มีลมพัดมาอย่างฉับพลัน ลมดังฟิ้วแฉลบผ่านข้างแก้มนาง นางมองเห็นจอนผมของตนเองมีควันสีดำกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมา แล้วสลายไปเบื้องหน้านางปานสายหมอกต่อหน้าต่อตา
พอมองดูโดยละเอียดแล้ว ไอ้เวรเอ๊ย ผมสั้นที่จอนขวาของนางไม่มีแล้ว
ลมแหลมคมที่แฉลบผ่านข้างแก้มนางไม่ได้หยุดยั้ง กลับพุ่งต่อไปยังหน้าผากของจงฉิงดัง ฟิ้ว! พริบตาต่อมาสองตาของจงฉิงปิดสนิท ล้มลงบนพื้นกระดานห้องดังพลั่กเสียงหนึ่ง
เสียงกรีดร้องของจิ่งเหิงปัวยังไม่ทันออกจากปาก หลังศีรษะก็มีเสียงดัง พลั่ก! อย่างกะทันหัน เบื้องหน้าพลันมืดมนไป
นางเองก็ล้มลงเช่นกัน
ในห้องเต็มไปด้วยดอกทานตะวันเงียบเชียบวังเวงคล้ายไร้ผู้คน
ผ่านไปชั่วครู่ รองเท้าพื้นนุ่มคู่หนึ่งพลันเหยียบย่ำพรมหรูหราที่สานดอกทานตะวันอย่างประณีต ปรากฏกายเชื่องช้าที่ปากประตูโดยไร้เสียง
ฝีก้าวของผู้มาถึงสุขุมราวเดินเล่นอยู่ในสวนบ้านตนเอง ชุดคลุมสยายดุจเมฆาเหยียบย่างโลกมนุษย์ ยามเยื้องย่างผ่านข้างกายจงฉิงก็เหยียบแขนของเขาไปคล้ายไม่ได้มองเห็น
จงฉิงผู้อยู่ในอาการสลบไสลแยกเขี้ยวยิงฟัน
คนผู้นั้นหยุดลงที่ข้างกายของจิ่งเหิงปัว มือยกขึ้นแผ่วเบาเพียงครั้ง ก่อนจะหิ้วจิ่งเหิงปัวขึ้นมาโยนพาดไหล่ปานถุงกระสอบ
จากนั้นคนผู้นั้นก็หันกายฉวยมือสะบัดเพียงครั้ง กระดาษที่เขียนด้วยอักษรเต็มแผ่นค่อยๆ ร่วงหล่นข้างกายจงฉิงผู้สลบไสล
‘ได้รับความเมตตากรุณาจากคุณชาย ข้าน้อยหรือจะมิกล้าน้อมนำ? เพียงทว่าข้าน้อยหลงใหลในเบญจมาศ พบเบญมาศจึงยินดีจากเบญมาศจึงปวดอุรา คุณชายเอ่ยว่าไม่มีสิ่งใดที่จะให้ข้าน้อยไม่ได้ เช่นนั้นขอคุณชายตกแต่งที่แห่งนี้ให้เป็นห้องดอกเบญจมาศเพื่อข้าน้อย เครื่องเรือนทุกชิ้นและผ้าม่าน ผ้านอน ผ้าห่มขอให้เป็นดอกเบญจมาศทั้งสิ้น ยามที่ห้องผกาเสร็จสิ้นแล้ว ข้าน้อยจะต้องพร้อมใจถือตะกร้าและทอเสื่อด้วยตัวข้า[6]เพื่อคุณชาย ขอเวลาเพียงสามเดือน เมื่อถึงยามนั้นข้าน้อยจะต้องสมรสผูกสัมพันธ์เช่นแคว้นฉินแลแคว้นจิน[7]กลายเป็นบุพเพสันนิวาสสมบูรณ์พูนสุขกับคุณชาย’
——