กงอิ้นหันกายโดยพลัน
จิ่งเหิงปัวตกใจจนตาโตเท่าไข่ห่าน…อาไร้? ความสามารถ? นางเคยมีของสิ่งนี้เหรอ?
ข่าวคราวที่ทำให้ตกตะลึงนี้โจมตีจนนางลืมว่าตนเองอยู่ที่ไหน กุมศีรษะเริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก กฎทองของสตรีทะลุมิติปรากฏขึ้นในสมอง…ตามปกติแล้ว สิ่งไหนสะเทือนเวทีได้บ้าง?
กลอนสมัยถังสมัยซ่งหลายร้อยบท ผู้คนไม่ตะลึงแม้ตายไม่ยอมเลิกรามีบ้างไหม?
ไม่มี้!
รุมบ้าแทงโก้มาสักเพลง ระบำอาภรณ์ขนนกรอบเดียวสะท้านทั่วหล้ามีบ้างไหม?
ไม่มี้!
ล่วงรู้ประวัติศาสตร์หลายสิบปี ทรงเสน่ห์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เหนือผู้อื่นมีบ้างไหม?
ไม่มี้!
นำระบอบการปกครองล้ำหน้ามาปฏิรูป ครองมหาอำนาจแห่งราชสำนักไว้ในมือมีบ้างไหม?
ไม่มี้!
เผยแพร่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่มากมาย เปลี่ยนแปลงยุคสมัยข้าเป็นผู้นำมีบ้างไหม?
ไม่มี้!
ประดิษฐ์สร้างสรรค์ทำการค้า ได้กำไรก้อนใหญ่สบายๆ มีบ้างไหม?
ไม่มี้!
…
หลังจากจิ่งเหิงปัวทะลุมิติมาต่างโลกหลายเดือน ในที่สุดก่อนหน้าวิกฤตการณ์หนึ่งจึงถูกอสนีบาตแห่งความเข้าใจสายหนึ่งฟาดสู่สมอง
ที่ แท้ นาง คือ ขยะ ชิ้น หนึ่ง!
เสียงของเฟยหลัวแว่วเข้าสู่สมองรำไร
“…ท่านย่อมทราบว่า หากฝ่าบาททำให้หกแคว้นแปดชนเผ่าผิดหวังกลางพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ โทษสถานเบาคือลดฐานันดรศักดิ์ โทษสถานหนักคือเนรเทศ ไม่ว่าจะสิ่งไหน สุดท้ายแล้วล้วนยากจะปลอดภัยไปชั่วชีวิต รัชศกเทียนหยวนปีที่สาม ราชินีโหรวเจ๋อถูกเนรเทศด้วยเพราะเสียมารยาทกลางพิธีเฉลิมฉลอง นางสิ้นชีพกลางลุ่มน้ำเยียนจั้งอย่างรวดเร็ว นี่ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่หกแคว้นแปดชนเผ่าไม่รับเสด็จราชินีอีกในภายหลัง…ได้รับเกียรติยศมากเพียงใดย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนมากเพียงนั้น นี่คือสัจธรรมแห่งความยุติธรรมบนโลกมนุษย์ตลอดมา…”
สัจธรรมน้องเจ้าสิ! จิ่งเหิงปัวคำรามอยู่ในใจ นี่มันหลักการบ้าบออะไรกัน? รับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้นางไม่ได้อยากให้พวกเขามารับเสด็จซะหน่อย อาศัยอะไรจะบังคับให้นาง “แสดงความสามารถที่ทำให้คนยอมสยบได้”? หกแคว้นแปดชนเผ่าคนเยอะขนาดนั้น ต่างคนต่างมีความคิดและความสามารถพิเศษ ต่อให้เป็นเทพยดาจุติคงไม่อาจทำให้ทุกผู้คนยอมสยบหรอก?
ณ ตอนนี้สิ่งที่นางเชี่ยวชาญที่สุดคือการร่ายรำ แต่ระบำของนางหากร่อนร่ายออกมากลางต้าฮวงที่กฎเกณฑ์น่ากลัวแทบตายตั้งแต่แรกเริ่ม เกรงว่าคงไม่ต้องแสดงแล้ว ควบคุมตัวเนรเทศไปเลยเถอะ
จิ่งเหิงปัวเกาคางอย่างร้อนใจจนทนไม่ได้ จ้องกงอิ้นเขม็ง…เขารู้ถึงศักยภาพของนางคงจะช่วยนางล่ะมั้ง?
เจ้าคนนี้ก็แค่ทำหน้าเย็นชาไปหน่อย พูดจาไม่เพราะไปหน่อย อารมณ์แปรปรวนไปหน่อย พูดยากไปหน่อยและทำตัวเหินห่างไปหน่อย…ที่จริงแล้วก็ดีกับนางมากทีเดียว! คงจะ…ช่วยนางล่ะมั้ง?
“ราชครูแลดูคล้ายไม่ชอบใจเท่าไร?” เสียงหัวเราะแผ่วเบาของเฟยหลัวแฝงความนัยลึกล้ำ เอ่ยว่า “หากข้าจำไม่ผิด ราชครูเจ้าเป็นถึงหนึ่งในผู้ที่ต่อต้านระบอบราชินีกลับชาติมาเกิดเป็นที่สุด อีกทั้งการต้อนรับสตรีที่ภูมิหลังธรรมดานางหนึ่งมาโดยไร้เหตุไร้ผล หนุนนำนางขึ้นราชบัลลังก์ ยอมให้นางยกไม้ยกมือสั่งการเสาหลักของบ้านเมืองเช่นเจ้าและข้านี้ไม่ยุติธรรมโดยแท้จริง ราชครูเจ้ากุมราชสำนักและกองทัพแห่งต้าฮวงของข้า หกแคว้นแปดชนเผ่าล้วนอาศัยเจ้าเป็นผู้นำพา หากไร้สิ่งที่เรียกว่าราชินีกลับชาติมาเกิด เจ้าคงจะกลายเป็นจักรพรรดิบุรุษเพศองค์แรกแห่งต้าฮวงของข้า กุมอำนาจทั่วหล้าและโอบโฉมสะคราญแนบอกจึงเป็นอนาคตที่ราชครูสมควรจะได้รับ เหตุใดจึงต้องอดกลั้นให้สตรีต่างถิ่นนางหนึ่งขี่คอเจ้าวางอำนาจบาตรใหญ่เล่า?”
กงอิ้นยังคงนิ่งเงียบ แสงตะเกียงเหลืองอ่อนในกระโจมสะท้อนจนผิวกายเขาขาวดุจหิมะ เค้าร่างงดงามหล่อเหลาปานหินอ่อน
ลมหายใจของจิ่งเหิงปัวสงบเชื่องช้าลง ค่อยๆ เท้าคางขึ้นมา
รอยยิ้มของเฟยหลัวยิ่งลึกลับ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าได้ยินว่า ก่อนราชินีหมิงเฉิงจะสวรรคต นางกำลังตระเวนโน้มนาวเพื่อราชครูว่าจะแก้ไขกฎแห่งแคว้นหลายร้อยหลายพันปีมานี้แห่งต้าฮวง แก้ไขระบอบราชินีกลับชาติมาเกิดชั่วชีวิตแลยินยอมให้จะรพรรดิบุรุษเพศขึ้นครองราชย์ ผู้ใดจะรู้ว่าพระราชกฤษฎีกายังมิทันได้แก้ไขสำเร็จ ราชินีหมิงเฉิงสวรรคตฉับพลัน ราชินีองค์ใหม่ถือกำเนิด อีกทั้งราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉีพบตัวราชินีก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เขาใช้วิธีการสกปรกตรงขั้นตอนการรับเสด็จราชินีทำลายแผนการขึ้นครองราชย์ของเจ้า เจ้าจึงรีบเร่งตามมารับเสด็จราชินีด้วยตนเอง…ราชครู เจ้าลำบากเดินทางยาวไกลหมื่นลี้มารับนางด้วยตนเองด้วยเพราะกังวลความปลอดภัยของราชินีจริงหรือ?”
กงอิ้นมิได้มองนาง เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “กฎแห่งแคว้นต้าฮวงเป็นกฎเกณฑ์ที่ปฐมจะรพรรดิตั้งขึ้นมาครั้งก่อตั้งแคว้นในยามแรก บัดนี้กาลเวลาผันแปรโลกผันเปลี่ยนย่อมจะต้องแก้ไข ส่วนจะแก้ไขข้อใดนั้น ดูท่าเสนาหญิงเจ้าคงได้ยินมาผิดแล้ว”
เฟยหลัวคล้ายมิได้ยินวาจาของเขา เอ่ยต่อไปเสียเองว่า “ที่จริงแล้วด้วยอำนาจที่แท้จริงของเจ้า ขึ้นครองราชย์เสียเลยมิสนใจกฎแห่งแคว้นย่อมได้ เพียงแต่โครงสร้างของต้าฮวงพิเศษนัก คล้ายแคว้นหนึ่งและยิ่งคล้ายพันธมิตรหนึ่ง ถอนเกศาเส้นเดียวสะเทือนทั่วสรรพางค์กาย หากเจ้าลงมือคงต้องมีผู้คนอีกมากมายลงมือ สิ่งที่เจ้าต้องการมิใช่พระบรมมหาราชวังที่เกิดความวุ่นวาย ยิ่งมิหวังให้หกแคว้นแปดชนเผ่าฉวยโอกาสแบ่งแยกแคว้น ต้าฮวงตกอยู่ท่ามกลางการสู้รบอย่างต่อเนื่องด้วยเพราะชิงราชบัลลังก์ เจ้าหวังหลอกใช้ราชินีก้าวผ่านเหตุการณ์ไปอย่างสงบสุขใช่หรือไม่?”
“เสนาหญิงสมกับเป็นผู้คุมหางเสือแห่งแคว้นเซียง ยามใคร่ครวญคิดวางแผนละเอียดรอบคอบเสียยิ่งกว่าเปิ่นจั้ว พาให้ผู้คนเลื่อมใส มิน่าเล่าในเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีจึงก้าวหน้ารวดเร็ว ทำลายคู่แข่งจนสิ้น ได้ครอบครองแคว้นเซียง” กงอิ้นยิ้มออกมา
เฟยหลัวคล้ายมิได้เข้าใจการเสียดสีในวาจาของเขา จับจ้องมองใบหน้าของเขา ลมหายใจถี่กระชั้น
บุรุษเบื้องหน้ายามไม่ยิ้มแย้มขาวผ่องดุจหิมะบนยอดผา กว้างใหญ่ดั่งท้องนภาเคลือบรุ้ง เพียงยิ้มคราเดียวนี้นั้น ไอเหน็บหนาวสูญสลาย ฟ้าดินดั่งคล้ายกำเนิดแสงสว่างไร้ขอบเขต แม้แต่สายลมพัดผ่านยังคล้ายนุ่มนวล ปทุมาหยกขาวค่อยๆ ผลิบานกลางน้ำพุสีเขียวมรกตโดยพลัน
จิ่งเหิงปัวกัดฟันกรอดๆ …เจ้าคนนี้ยิ้มออกมาจนได้ ยิ้มให้สตรีนางอื่นจนได้! ยิ้มอาไร้! ไร้ยางอาย! ทุเรศ!
เฟยหลัวใช้เวลาสักครู่จึงหลุดพ้นจากมนตร์เสน่ห์ เงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ความคิดของข้าผิวเผินยิ่งนักยามเทียบกับราชครู ในเมื่อราชครูมีแผนการเช่นนี้ หลังจากราชินีเสด็จนิวัติพระนคร ตำหนักอวี้จ้าวของเจ้าคงจะตระเตรียมวิธีรับมือราชินีไว้เนิ่นนานแล้วเป็นแน่ นางย่อมเชื่อฟังกระทำการตามโองการของท่านแน่แท้ เรื่องนี้มิต้องให้ข้าเป็นกังวล”
จิ่งเหิงปัวฟังจนรำคาญ นางกำลังดึงเส้นผม พอได้ยินประโยคนี้ มือชะงักค้าง
“เสนาหญิงครุ่นคิดละเอียดรอบคอบสมปรารถนาเสียจริง เช่นนั้น” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “เสนาหญิงเอ่ยมากมายเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่เป็นกังวล เรื่องนั้นไม่เป็นกังวล เรื่องที่เป็นกังวลจริงๆ คือเรื่องใดกันแน่?”
“แน่นอนว่าย่อมเป็นอนาคตอันงดงามของการร่วมมือระหว่างแคว้นเซียงแห่งข้ากับมหาจะรพรรดิในภายภาคหน้า” เฟยหลัวตอบอย่างรวดเร็วว่า “พิธีรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้มีผู้หนุนนำอยู่เบื้องหลัง พอราชินีผ่านการทดสอบมิได้ถูกเนรเทศ ผู้รับเสด็จย่อมชื่อเสียงเสียหายได้รับผลกระทบไปด้วย ท่านสูญอำนาจย่อมมีผู้ได้อำนาจ คนผู้นี้คือผู้ใด ท่านเดามิได้หรอกหรือ?”
“เหยียลี่ว์ฉีคงจะหายดีแล้ว” กงอิ้นตอบวาจาด้วยประโยคที่ฟังดูน่าประหลาดใจประโยคหนึ่ง
เฟยหลัวมองเขาอย่างงงงวย ได้ยินเขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “อาจจะบาดเจ็บยังไม่พอเจ็บปวด ฉะนั้นจึงอยากสิ้นชีพสักหน่อย”
จิ่งเหิงปัวตบฟูกนอนอย่างเงียบเชียบ อุทานว่า โคตรโหด!
เงาดำใต้เตียงขยับเขยื้อนเงยหน้าขึ้น แววตาน่าครั่นคร้ามสายหนึ่ง
เฟยหลัวหัวเราะพรวดออกมา สายตาวูบไหว เอ่ยว่า “ว่ากันว่าราชครูฝ่ายขวาอุปนิสัยเย็นชา ทว่ามิรู้ว่าหลักเดชานุราชถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของท่าน!”
“เช่นนั้น” กงอิ้นยังคงมีท่าทางยืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อนเช่นนั้น เอ่ยว่า “คืนนี้เสนาหญิงเตือนข้าเกี่ยวกับแผนการของเหยียลี่ว์ฉี ทั้งตั้งใจช่วยเหลือเป็นกำลังส่วนหนึ่งนับเป็นน้ำใจไมตรีโดยแท้ กงอิ้นซาบซึ้งยิ่งนัก ขอบใจ ขออำลา”
เขาหันกายจากไปดังสวบ เฟยหลัวโซเซเล็กน้อยรีบเร่งคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ในครั้งเดียว ไม่ทันได้สำรวมอีกรีบเร่งเอ่ยเสียงสูงว่า “ชาวโลกาเอ่ยว่าไร้ผลงานไร้ลาภยศ แคว้นเซียงปรารถนาดีต่อท่าน หรือว่าราชครูไม่คิดจะตอบแทนเลยหรือ!”
กงอิ้นไม่หันหน้าด้วยซ้ำ แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้ง เฟยหลัวล้มไปด้านหลัง นางรีบเร่งถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง
หลังม่านกั้นจิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะเย้ยโดยไร้เสียงครั้งหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อ
ช่างเถอะ ราชินีบ้าบอนี้เป็นไม่ไหว ไปล่ะ
ชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้พูดมากพูดมาย นางไม่อยากจะสนใจอีกแล้ว
นางต่อต้านไม่อยากเป็นราชินีตลอดมา หลังจากวังกษัตริย์เทียนหนาน แม้ว่าเขาคล้ายจะกลับไปสู่จุดเดิมแต่นางกลับเสียดายอยู่บ้าง และไม่รู้ว่าทำไม นางรู้สึกว่าหากกล่าวว่ามหาเทพเย็นชาก็ใช่ แต่ความเย็นชานั้นไม่เหมือนกับความเย็นชาในตอนแรก ในการปฏิเสธของเขาแฝงด้วยความเป็นห่วง ในคำพูดเราะร้ายของเขาซ่อนแฝงด้วยความใส่ใจ การสืบเสาะที่เริ่มแตกหน่อเพียงน้อยแบบนี้ ทำให้นางที่ดูคล้ายเจ้าชู้แต่แท้จริงแล้วมือใหม่ในสนามรักค่อยๆ รู้สึกถึงรสชาติพิเศษบางสิ่ง ในชีวิตดั่งคล้ายมีความหวังและความเสียดายขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อจากไปไม่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ดังแต่ก่อนอีกแล้ว
ตลอดทางจากทุ่งหญ้าเจี๋ยหูข้ามผ่านที่ราบสูงอวิ๋นเหลย ความคิดหลบหนีค่อยๆ จางหายไป ทุกครั้งที่อยากจากไป นางมักต้องนับนิ้วรอเวลาผันผ่านบ่นกระปอดกระแปดว่า “โอ๊ยจิ้งอวิ๋นพวกนางสามคนไปด้วยไม่ได้ จะโชคร้ายเอา” “โอ๊ยมหาเทพกงเก่งกาจเกินไป ถ้าถูกเขาจับกลับมาก้นต้องหายนะแน่” “โอ๊ยวันนี้เหมือนจะไม่ใช่ฤกษ์งามยามดีในการหลบหนี”…เหตุผลขนออกมาเป็นกองใหญ่ มีแนวคิดใหม่ทุกวี่วัน
แน่นอนล่ะ นางคงไม่ยอมรับแน่นอนว่า ที่จริงแล้วตนเองยิ่งอยู่ยิ่งไม่อยากจากไป
แต่ตอนนี้ ไม่อยากไปก็คงต้องไปแล้วล่ะ
มีคนไม่อยากให้นางขึ้นครองราชย์ มีคนรอคอยหลอกใช้นาง สิ่งที่นางต้องเผชิญไม่เพียงแค่การประลองฝีมือของราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ซ้ำยังพัวพันกับความวุ่นวายจากทั้งหกแคว้นแปดชนเผ่าของต้าฮวง
พอนึกว่าต้องสู้รบปรบมือกับผักกาดหอม กะเทย ไข่เน่าและม้าเฉ่าหนีกลุ่มนั้น นางก็รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ยังไงก็ช่างมันเถอะ
แต่ว่าก่อนจะจากไป นางยังอยากสั่งสอนเฟยหลัวสักครั้ง…
ก้นของจิ่งเหิงปัวเพิ่งกระดกขึ้นมาก็ได้ยินเฟยหลัวร้องตกใจเสียงหนึ่ง เรือนร่างเซไปด้านหลัง กงอิ้นทางนั้นหันกลับมา เฟยหลัวทั้งกรีดร้องว่า “เท้าข้า!” ทั้งสะบัดมือสองข้างมั่วซั่วคล้ายอยากจะคว้าแขนเสื้อของกงอิ้นไว้ กงอิ้นรีบเร่งเก็บแขนเสื้อกลับมาเพียงครั้ง เฟยหลัวคว้าที่พึ่งพาไว้ไม่ได้โซเซถอยไปอีกก้าวหนึ่ง เหยียบโดนก้างปลาอีกครั้ง ร้องโหยหวนเสียงหนึ่งอีกรอบ รีบเร่งยื่นมือขอความช่วยเหลือจากกงอิ้น เอ่ยว่า “ใต้นี้มีอะไรไม่รู้…” ถอยหลังอีกก้าวหนึ่งท่ามกลางความวุ่นวายแล้วเหยียบโดนอีกรอบหนึ่ง เจ็บปวดจนทั้งร่างกระเด้งขึ้นมา กรีดร้องว้ายเสียงหนึ่ง ดวงตาแดงก่ำ กระโจนไปบนร่างกงอิ้นดังพลั่ก
“หลีกไป” ในยามนี้เสียงของกงอิ้นยังคงสงบราบเรียบเช่นเดิม กำแขนเสื้อไว้แน่น รูดเฟยหลัวไปด้านล่างด้วยมือเดียวดั่งปอกเปลือกข้าวโพด
ที่แปลกประหลาดคือเฟยหลัวที่ยังนับว่ารักษาความสำรวมมาโดยตลอด ยามนี้ไม่รู้สึกว่าอับอายขายหน้าเลยแม้แต่น้อย สองมือคว้ามั่วซั่วบนร่างกงอิ้น ปากกระซิกกระซิกเปล่งเสียงประหลาดคล้ายร่ำไห้คล้ายควรญคราง ทั่วร่างสั่นสะท้านประหลาดเป็นระลอก กรีดร้องเสียงหนึ่งโดยพลันว่า “ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”
ยามเดียวกันนั้นเองกงอิ้นตะคอกอย่างโกรธเคืองว่า “หลีกไป!” ครานี้น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเดือดดาล เสียงเพียะเสียงหนึ่งดังแผ่วเบา เรือนร่างของเฟยหลัวถูกดีดออกมาปานลูกบอล วาดเส้นโค้งที่ไม่นับว่าอ่อนช้อยงดงามสายหนึ่งกลางอากาศ สาดโปรยของเหลวไร้ที่มาหลายหยดแล้วชนเข้ากับขอบเตียงอย่างรุนแรงดังพลั่กเสียงหนึ่ง
กงอิ้นยามเจือความโกรธาลงมือไม่อ่อนข้อเลยสักนิด ไม้พื้นเตียงทรุดลงไปครึ่งหนึ่งโดยพลัน จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้ป้องกัน ร้องว้ายเสียงหนึ่งกลิ้งลงไปด้านหลัง ยามนี้นี่เองใต้ไม้พื้นเตียงที่ทรุดลงไปมีผู้หนึ่งมุดออกมาด้วยหน้าตามอมแมม ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมา แผ่นหลังของจิ่งเหิงปัวกระแทกบนแผ่นหลังของเขาดังพลั่กเสียงหนึ่ง สองคนร้อง “เฮ้ย” เสียงหนึ่ง กลิ้งไปยังไม้พื้นเตียงที่หักไปครึ่งหนึ่งและเครื่องนอนที่ร่วงลงไปกองหนึ่ง
ครั้งหนึ่งนี้การเคลื่อนไหวไม่น้อย ทว่าการเคลื่อนไหวภายนอกยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า กงอิ้นยืนอยู่ปากกระโจม สีหน้าเขียวคล้ำ ก้มหน้ามองดูสาบเสื้อหน้าของตนเอง บนนั้นมีของเหลวสีเหลืองที่ส่งกลิ่นเหม็นหึ่งออกมาหลายหยด…
ไม่ต้องดมกงอิ้นยังรู้ว่า นี่คือน้ำปัสสาวะ ซ้ำยังเป็นน้ำปัสสาวะที่เฟยหลัวสาดโปรยบนร่างเขาโดยพลันเมื่อครู่…
สีหน้ากงอิ้นยากจะหลากหลายสีสันเช่นนี้…สถานการณ์นี้ท้าทายการรับมือสถานการณ์และสติปัญญาของมนุษย์โดยแท้จริง
เดิมทีกงอิ้นเตรียมจะร้องเรียกผู้อื่น สถานการณ์ในยามนี้กลับทำให้เขาลังเลไปเล็กน้อย ไม่ทันได้ครุ่นคิด กระชากสาบเสื้อที่เปรอะเปื้อนสิ่งสกปรกออกดังสวบ
ยามไม่กระชากยังปกติ พอกระชาก เสียงแคว่กเสียงหนึ่งนี้ดังขึ้นไม่รู้ว่ากระตุ้นเส้นประสาทไวต่อความรู้สึกเส้นไหนของเฟยหลัว นางเด้งผึงขึ้นมาดั่งปลาหลีฮื้อตัวหนึ่งโดยพลัน พอกระโจนขึ้นมาก็กระโจนไปถึงบนร่างของกงอิ้นที่กำลังตั้งใจจัดระเบียบอาภรณ์ คว้าสาบเสื้อที่ขาดวิ่นของกงอิ้นไว้แล้วสะบัดออกไปดังสวบ…
พอจิ่งเหิงปัวที่ยังทับบนหลังของคนใต้เตียงเงยหน้ามองเห็น เบิกตากว้างเกือบจะกระโจนขึ้นมา ยืนมือออกไปกลางอากาศ ตะโกนก้องโดยไร้เสียงว่า
ห้าม…กระ…ชาก!
ข้า…ทำ…เอง!