“ต้าหวัง” นางเพิ่งฟื้นคืนสติจากการสลบไสลมิทันได้รับรู้สถานการณ์ให้ชัดเจน จิ่งเหิงปัวพูดเจื้อยแจ้วข้างหูกษัตริย์เทียนหนานผู้มีสายตาว่างเปล่าว่า “เมื่อครู่ท่านเกือบสิ้นชีพแล้ว! โชคดีที่ข้าเสี่ยงอันตรายช่วยท่านไว้! ยามนี้เจ้าชุดขาวผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ เหยียลี่ว์ฉีจะส่งเขาออกไปรักษาอาการบาดเจ็บ ข้าแนะนำให้ท่านรีบอัญเชิญเทพแห่งกาฬโรคกลับไปเถิด อย่าได้พาปัญหามาให้ตนเองเลย คนพวกนี้ท่านจัดการไม่ไหวหรอก น่านะ?”
“ข้า…” กษัตริย์เทียนหนานยังสะลึมสะลือ
“ท่านทำเช่นนี้ละกัน” จิ่งเหิงปัวใช้มือข้างหนึ่งประคองนางขึ้นมา มีดเล่มน้อยในมือจ่อทื่อตรงเอวของกษัตริย์เทียนหนาน
ทั่วร่างของกษัตริย์เทียนหนานสั่นสะท้านเป็นระลอก ได้สติเพียงน้อย จ้องมองนางอย่างตื่นตระหนก
จิ่งเหิงปัวผุดเผยรอยยิ้มที่เพียงพอสยบสิ้นสรรพสิ่งให้นาง
รอยยิ้มเช่นนี้ทั้งแพรวพราวทั้งเข้มแข็ง กษัตริย์เทียนหนานกลืนน้ำลาย จำใจเรียนรู้ว่าจิ่งเหิงปัวผู้ที่ดูคล้ายเจรจาได้โดยง่าย แท้จริงแล้วไม่มีช่องว่างสำหรับการเจรจา
นางทำได้เพียงค่อยๆ ขยับออกไป ปราณแท้ของเหยียลี่ว์ฉีถูกสะบั้นขัดขวางทว่าการเคลื่อนไหวไม่ได้ติดขัดอะไร ใบหน้าคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้มแบกกงอิ้นก้าวเท้าตามมา ผู้ที่จิ่งเหิงปัวระแวดระวังที่สุดคือเขา มือหนึ่งบีบบังคับกษัตริย์เทียนหนาน อีกด้านหนึ่งยังใช้หางตากวาดมองเขา
เหยียลี่ว์ฉีเดินไปหลายก้าวแลมิได้หันหลัง เอ่ยโดยพลันว่า “ข้างหลังกระหม่อมมีสิ่งใด?”
“เรื่องนี้ยังถูกเจ้าพบเข้าแล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มพราวราวมวลผกา กล่าวว่า “ปิ่นปักผมอันหนึ่งเท่านั้น แหลมคมเพียงน้อย อาจจะทิ่มคนจนสิ้นชีพหรืออาจจะทิ่มแทงทว่าไม่สิ้นชีพ หรือเจ้าจะลองเสียหน่อย?”
กษัตริย์เทียนหนานมองดูปิ่นทองอันหนึ่งซึ่งล่องลอยอยู่ข้างหลังเหยียลี่ว์ฉีอย่างเงียบเชียบมิรู้ตั้งแต่ยามใดอย่างหวาดผวา ส่วนปลายแหลมคมที่ทอประกายวิบวับจ่อตรงกลางหลังของเหยียลี่ว์ฉี
จิ่งเหิงปัวกลับรู้สึกว่าเหนื่อยล้า การใช้ความคิดบังคับวัตถุของนางแท้จริงแล้วคงอยู่ได้ไม่นานนัก เช่นเดียวกับการพาคนหายตัวก็ไปได้ไม่ไกล อีกเดี๋ยวพอออกไป นางต้องบีบบังคับกษัตริย์เทียนหนาน ต้องเฝ้าดูเหยียลี่ว์ฉี ซ้ำยังต้องระวังความเคลื่อนไหวขององครักษ์กษัตริย์เทียนหนาน จิตใจเดียวใช้สามทาง จะทันระแวดระวังได้อย่างไร?
ดังคาดการณ์ไว้พอคนหลายคนปรากฏกายที่นอกหอ เงาดำมากมายปรากฏกายที่สองฝั่งของสะพานปิดกั้นสะพานไว้โดยพลัน
“ทูลฝ่าบาท เหตุใดพระองค์ต้องจับกระหม่อมไปด้วยเล่า?” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “หากถอยออกไปโดยใช้เส้นทางนี้ องครักษ์ของต้าหวังอาจจะลงมือได้ทุกเวลา พระองค์ระแวดระวังได้ทันหรือ?”
“ไม่จับเจ้าไปด้วย เจ้าสิจะกลายเป็นตัวแปรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ปิ่นปักผมจิ่งเหิงปัวทิ่มเหยียลี่ว์ฉีอย่างแผ่วเบาพร้อมกล่าวว่า “เดินไปข้างล่าง”
ข้างล่างคือบันไดริมน้ำ มีเรือน้อยที่เหล่าข้ารับใช้ในวังใช้สำหรับรับส่งอาหารผูกไว้
ในแววตาของเหยียลี่ว์ฉีมีความประหลาดใจสายหนึ่งแลความชื่นชมเป็นอย่างยิ่งสายหนึ่งเฉียดผ่าน
นึกไม่ถึงว่านางจะเฉลียวฉลาดเช่นนี้
ขบวนคนลงจากสะพานขึ้นสู่เรือ จิ่งเหิงปัวให้เหยียลี่ว์ฉีนั่งที่หัวเรือ ปล่อยกษัตริย์เทียนหนานที่ถูกมัดทั้งสองมือไว้ท้ายเรือ ส่วนนางกับกงอิ้นนั่งอยู่ตรงกลาง ปิ่นทองล่องลอยอยู่ข้างหลังเหยียลี่ว์ฉี
นี่คือแม่น้ำไหลวนในพระราชวัง ล่องเรือตามน้ำไปสามารถแล่นไปสู่นอกวังได้ น้ำในแม่น้ำกว้างพอสมควรทำให้ความเป็นไปได้ในการยิงธนูจากทั้งสองฝั่งมีไม่มาก กษัตริย์เทียนหนานคุมท้ายเรือย่อมเป็นโล่กำบังธนูที่มีชีวิตอันหนึ่ง ป้องกันมีคนยิงธนูจากบนสะพานลอบฆ่านางกับกงอิ้น
เหยียลี่ว์ฉีอยู่ที่หัวเรือย่อมเป็นโล่กำบังธนูเนื้อมนุษย์อันหนึ่งเช่นกัน รอเดี๋ยวใกล้ถึงหน้าประตูวังต้องมีทหารเฝ้าประตูเฝ้าดูอยู่แน่นอน ใครกล้าลงมือขัดขวางให้ใต้เท้าเหยียลี่ว์บังไว้พอแล้ว
“รบกวนใต้เท้าเหยียลี่ว์พายเรือแล้ว” นางส่งพายให้เขา ยิ้มแย้มอย่างงดงามเพียงครั้งพลางเอ่ยว่า “ยามพวกเราเพิ่งรู้จะกัน เจ้าเองเคยพายเรือให้ข้า ยามนี้ได้ลองฝีมือว่ายังไหวหรือไม่พอดิบพอดี?”
“หากพระองค์พระราชทานอนุญาต กระหม่อมยินยอมพร้อมใจพายเรือให้พระองค์ชั่วชีวิต” เขาไร้ซึ่งความเห็นต่าง น้ำเสียงลึกซึ้งจริงใจ
จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะเหอะเพียงครั้ง สะบัดมือไปมาขับไล่วาจาของเขาปานขับไล่หมอกที่มอมเมาผู้คน
เหยียลี่ว์ฉีมองนางปราดเดียว นั่งหัวเราะเสียงหนึ่งอยู่ตรงหัวเรือ ชุดคลุมยาวโปรยลงมาแกว่งไกวสั่นไหวแช่มช้าท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน
เสียงน้ำจ๋อมแจ๋มขับให้เรือมั่นคงกลางค่ำคืนสงบเงียบโดดเด่น เหล่าองครักษ์ของกษัตริย์เทียนหนานที่อยู่บนฝั่งขยับเขยื้อนตามมาอย่างตึงเครียด เงาดำหนาแน่นเฉียดผ่านปานสายลม
เหยียลี่ว์ฉีฟังเสียงลมหายใจมั่นคงของสตรีข้างหลัง ดวงใจกระเพื่อมขึ้นมาเพียงน้อย เอ่อล้นด้วยอารมณ์หลากหลายดุจดั่งคลื่นธารนี้
ที่ผ่านมา…หรือว่าดูถูกนางเสียแล้ว
ความกล้าหาญเฉลียวฉลาด ความเยือกเย็นไร้หวาดหวั่น อีกทั้งความรอบคอบสันทัดในการแสวงหาโอกาสในทุกสภาพแวดล้อม รวมถึงสัญชาตญาณการสยบสถานการณ์โดยกำเนิดไม่ว่าภายใต้สภาพแวดล้อมใดก็ตาม
สิ่งเหล่าล้วนนี้เป็นคุณสมบัติพิเศษของอัจฉริยะผู้โดดเด่นที่สุด ที่ผ่านมาถูกบดบังด้วยความเฉื่อยชาและความงามเพริศแพร้วของนาง นางเกียจคร้านเช่นนี้ ขอเพียงมีผู้เป็นที่พึ่งพาย่อมไม่ยินยอมใช้สมองด้วยตนเองเด็ดขาด
ทว่าพอข้างกายไร้ที่พึ่งพา นางแข็งแกร่งเสียจนสามารถจัดการทุกผู้คนให้หัวหมุนด้วยมือข้างเดียวได้
สตรีบางนางมองเพียงครั้งคือแจกัน ไร้ผู้คนล่วงรู้ดวงใจเคลือบเงาซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน
ที่ผ่านมามิเคยใส่ใจนางอย่างจริงจัง ยามนี้เขากลับฟังเสียงลมหายใจของนาง นึกถึงใบหน้าแพรวพราววาวแววของนาง ดวงใจดั่งสายน้ำหลั่งไหลแช่มช้านี้ ภายนอกสงบเงียบทว่าคลื่นขวางสลับซ้อนในตนเอง
ขณะนี้จิ่งเหิงปัวกลับกำลังยุ่งวุ่นวายจนไม่ทันได้ใส่ใจอารมณ์เล็กน้อยของเขา นางขยับปิ่นทองอันนั้นออกไปอย่างเงียบเชียบ แอบซับเหงื่อครั้งหนึ่ง ขูดผลึกน้ำแข็งก้อนหนึ่งออกมาจากร่างของกงอิ้น วางไว้ข้างหลังของเหยียลี่ว์ฉี
การทำให้ปิ่นทองล่องลอยคงอยู่โดยตลอด ขณะนี้นางทำไม่ได้ ในเมื่อความรู้สึกของเหยียลี่ว์ฉีเฉียบไวขนาดนั้น คิดว่าไอหนาวจากก้อนน้ำแข็งคงจะทำให้เขารู้สึกถึงไอสังหารได้?
เหยียลี่ว์ฉีคล้ายไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย เงาด้านหลังสงบเงียบ จิ่งเหิงปัวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มองกงอิ้นที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ผลึกน้ำแข็งบนร่างกายของเขาละลายลงมาถึงหัวเข่าแล้ว สีหน้าเย็นชาขาวซีดใต้แสงจันทร์มิคล้ายมีลมหายใจแห่งมนุษย์
นางอยากใช้ฝ่ามือให้ความอบอุ่นแก่เขาขึ้นมา
มือยังไม่ได้ยกขึ้น ได้ยินเหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยขึ้นมาว่า “พายเรือจ๋อมแจ๋ม จันทราผ่องอำไพ ข้างกายมีสาวงามร่วมทาง ข้างฝั่งมีชายชาตรีร่วมส่ง ราวกับฤกษ์งามยามดีของการเปิดใจเอ่ยเรื่องราวสักเรื่อง”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกคิกเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ดีเลย เช่นนั้นเล่าเรื่องราวที่จำเป็นต้องเอ่ยถึงระหว่างเจ้ากับกงอิ้นสักหน่อยสิ?”
“หรือว่าเรื่องราวที่จำเป็นต้องเอ่ยถึงระหว่างกงอิ้นกับราชินีองค์ก่อน?” เหยียลี่ว์ฉีเสียงอมยิ้มลึกล้ำดุจมีความยั่วยวนไร้ที่สิ้นสุด เอ่ยว่า “ประสงค์จะทรงฟังหรือไม่?”
“ไม่ฟัง” จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงอาฆาตเสียงหนึ่ง ไม่คิดว่าคำนินทาที่ออกมาจากปากของเหยียลี่ว์ฉีจะมีอะไรน่าเชื่อถือ แต่หูกลับตั้งขึ้นมาอย่างควบคุมมิได้
เหยียลี่ว์ฉีดั่งคล้ายมิได้ยินวาจาของนาง นิ้วมือเฉียดผ่านสายน้ำไหลแผ่วเบา เริ่มต้นเล่าเรื่อง
“สถานภาพทางการเมืองของต้าฮวงแปลกประหลาดยิ่งนักตลอดมา บังเอิญตรงที่ว่าราชครูฝ่ายซ้ายแลฝ่ายขวาทุกรัชสมัยผู้หนึ่งจำต้องมาจากตระกูลใหญ่โต อีกผู้หนึ่งจำต้องมาจากตระกูลสามัญชน ตามตำนาน หากรัชสมัยใดปรากฏการเปลี่ยนแปลง จะเป็นลางบอกเหตุถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของสถานภาพทางการเมืองของต้าฮวง”
จิ่งเหิงปัวกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “อย่างไรเสียรัชสมัยนี้ยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง เจ้ามาจากตระกูลใหญ่โต กงอิ้นมาจากตระกูลสามัญชน”
“เหอะๆ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง…” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มคล้ายเจือด้วยความแปลกประหลาดหลายส่วน เอ่ยสืบต่อว่า “ช่างเถิด นับว่าเขามาจากตระกูลสามัญชนย่อมได้ ว่ากันว่ามีปีหนึ่งหรือยามราชินีองค์ก่อนขององค์ก่อนยังทรงครองราชย์ แว่นแคว้นต้าฮวงมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งโผล่ขึ้นปานดาวตก เด็กหนุ่มผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากราชครูฝ่ายขวาท่านก่อน ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามปีได้ขุดรากถอนโคนผู้มีความเห็นต่างเพื่อราชครูท่านก่อน กำราบชนเผ่า อำนาจแข็งแกร่ง สั่งสมกำลัง สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่”
จิ่งเหิงปัวนั่งฟังอย่างเงียบเชียบ ช้อนดอกไม้ร่วงกลีบหนึ่งที่ลอยอยู่บนผิวน้ำขึ้นมาอย่างแผ่วเบา บนดอกไม้มีผลึกน้ำแข็งละเอียดแลดูพร่างพราวราวดอกไม้ปลอม
“ราชครูท่านก่อนชอบเด็กหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก เอ่ยหลายครั้งว่าจะยกบุตรีให้สมรสกับเขา ยามนั้นบุตรีของราชครูท่านก่อนยังเด็กเกินไป เอ่ยว่ารออีกไม่กี่ปีเรื่องดีงามคงจะสำเร็จลุล่วง”
“ทว่าที่สุดแล้ววันเวลางดงามมิได้มาถึง หนึ่งปีหลังจากนั้น ยามราชครูท่านก่อนออกตรวจราชการ เขาถูกลอบทำร้ายจนสิ้นชีพ ทั้งจวนถูกสังหารจนสิ้น แม้แต่เด็กหญิงตัวน้อยยังยากจะหลีกลี้มือมัจจุราช”
น้ำเสียงของเหยียลี่ว์ฉีลึกล้ำ จิ่งเหิงปัวจ้องมองท้องน้ำมืดสลัวและโคมไฟดวงน้อยแสงทะมึนจากพระราชวังห่างไกลครุ่นคิดถึงค่ำคืนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มือสังหารเหาะเหินในค่ำคืนมืดมิด ปลายกระบี่เรียวยาวหยดย้อยด้วยโลหิตเข้มข้น นางอดจะสั่นสะท้านไม่ได้
“เด็กหนุ่มผู้ได้รับมหากรุณาจากราชครูท่านก่อนย่อมสาบานว่าจะแก้แค้นให้ผู้มีพระคุณ ทว่ามือสังหารลงมือสะอาดแคล่วคล่องไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย ส่วนยามนี้กลุ่มอำนาจที่ราชครูท่านก่อนหลงเหลือไว้ต้องการผู้นำคนใหม่อย่างเร่งด่วน ตำแหน่งผู้นำนี้ย่อมตกเป็นของว่าที่บุตรเขยคนเดิมผู้นี้อย่างช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรหลายปีก่อนหน้านี้ เรื่องเหล่านี้เขาออกหน้าจัดการทั้งสิ้นจึงได้รับความเชื่อมั่นจากทุกผู้คนเนิ่นนานแล้ว เขารับอำนาจพื้นฐานของราชครูท่านก่อนจนสำเร็จเสร็จสิ้น”
“ฉะนั้น สี่ปี เขาใช้เวลาเพียงสี่ปีกลายเป็นราชครูที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าฮวง หลังจากได้รับตำแหน่งเขาใช้วิธีปกครองอย่างเข้มแข็ง ตัดสินเรื่องราวได้เด็ดขาด ใช้วิธีรุนแรงสยบแว่นแคว้นต้าฮวงอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ กุมอำนาจทางการเมือง”
“หลังจากเขากุมอำนาจได้ไม่นาน มีข่าวแว่วออกมาเอ่ยว่าครานั้นบุตรีของราชครูท่านก่อนยังไม่สิ้นชีพ นางกำลังร่อนเร่พเนจร เขาได้ยินข่าวจึงส่งคนสืบถามหลายแห่ง เรื่องสืบถามได้หรือไม่นั้น นอกจากเขาไม่มีผู้ใดล่วงรู้ สรุปคือทั้งนอกทั้งในล้วนเอ่ยว่าสืบถามไม่ได้ความ”
“ผ่านไปอีกหนึ่งปี ราชินีองค์ก่อนสวรรคต ราชครูกำหนดราชินีกลับชาติมาเกิด ในปีนั้นกระหม่อมเพิ่งดำรงตำแหน่งราชครู อำนาจในวังยังไม่เทียบเทียมเขา คืนนั้นราชครูฝ่ายซ้ายแลฝ่ายขวาทำพิธีเสี่ยงทายบนหอทำนายดาว กว้า[1]ของกระหม่อมพลันถูกลมสวรรค์ทำลายในเค่อหนึ่งก่อนทำนายสำเร็จ แผนภูมิกว้าจึงต้องยึดตามราชครูฝ่ายขวา ส่วนค่ำคืนนั้นยามกระหม่อมลงจากหอทำนายดาวก้าวพลาดได้รับบาดเจ็บ เรื่องรับเสด็จราชินีกลับชาติมาเกิดจึงต้องให้เขาไปด้วยตนเอง”
เขาคล้ายหัวเราะแผ่วเบาครั้งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวหลุบตาต่ำไม่ส่งเสียง
“เขารับเสด็จราชินีกลับมา ราชินีองค์นั้นคือราชินีหมิงเฉิงองค์ก่อน วันแรกที่เสด็จกลับมาก็มีขุนนางแลอาณาประชาราษฎร์บางส่วนรู้สึกว่าไม่ปกติ”
“ไม่ปกติตรงไหนหรือ?” จิ่งเหิงปัวอดถามไม่ได้
“ราชินีแลดูคุ้นหน้าเล็กน้อย”
“เจ้าคงไม่เอ่ยว่านางคือบุตรีของราชครูท่านก่อนกระมัง?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเย็นชา กล่าวว่า “ปัญหาคือหากนางคือบุตรีของราชครูท่านก่อนจริงย่อมมีคนจำนวนมากเคยพบเห็น เวลาห่างกันไม่นานนักน่าจะมองออกในปราดเดียว เหตุใดจึงรู้สึกเพียงว่าคุ้นหน้า?”
“นั่นสิ…” เหยียลี่ว์ฉีพยักหน้า มือสะบัดแผ่วเบาเป็นระลอกบนกาบเรือ เอ่ยว่า “นี่คือปัญหาหนึ่งเดียวอีกทั้งมีเพียงไม่กี่คนที่รู้สึกเช่นนี้ ฉะนั้นทุกคนต่างวางข้อสงสัยไว้ในใจ ต่อจากนั้นไม่นานทุกคนพบข้อสงสัยข้อที่สองอีกข้อหนึ่ง”
คราวนี้จิ่งเหิงปัวไม่ถามแล้ว ถึงไม่ถามเขาก็พูดออกมาเอง
ดังคาดการณ์ไว้ เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “ทุกคนพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างราชครูกับราชินีไม่สู้ดี ทั้งสองคนหลีกเลี่ยงการพบหน้าโดยตลอด ไม่บ่อยที่จะพบหน้าสักครั้ง เล่ากันว่าชนวนเหตุมาจากประชุมขุนนาง ทว่าราชครูมิได้ปฏิบัติไม่ดีต่อราชินีเนื่องด้วยเหตุนี้ ตรงกันข้าม เขาควบคุมนางค่อนข้างหละหลวม ราชินีหมิงเฉิงคือราชินีผู้มีอิสระเสรีค่อนข้างมากและค่อนข้างมีพระราชอำนาจองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ราชินี”
“สภาพการณ์น่าอัศจรรย์ระหว่างสองคนพาให้ระแวงสงสัย ทว่าไม่มีผู้ใดหาคำตอบได้ ทุกคนยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไม่ว่าราชครูจะมีท่าทีเย็นชาอย่างไรต่อราชินี แท้จริงแล้วเขาให้ทรัพย์สินอำนาจมากมายแด่ราชินี มีผู้เคารพขนบธรรมเนียมโบราณบางคนเริ่มเสนอเรื่องราชินีลดพระองค์สมรสราชครู”
จิ่งเหิงปัวเท้าคางอยู่ เหลือบมองกงอิ้นแวบหนึ่ง…เหมือนจะแต่งไม่สำเร็จ?
“พระองค์ว่า…” เหยียลี่ว์ฉีถามนางโดยพลันว่า “เขาเห็นด้วยหรือไม่?”
จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้าหรือ?”
“เขาเห็นด้วยหรือไม่ยังไม่ต้องเอ่ย ทว่านอกจากนี้มีเรื่องหนึ่งซึ่งจำต้องเอ่ย” เหยียลี่ว์ฉียิ้มจนคล้ายมีเจตนาร้ายบางส่วน เอ่ยว่า “เรื่องนี้ มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เจ้าผู้นี้มีน้ำแข็งทั่วร่างนั่งอยู่ท้ายเรือในยามนี้”
จิ่งเหิงปัวหรี่ตาขึ้นมา เรื่องนี้นางยังคงเป็นกังวลอยู่เพราะต้องรู้สาเหตุจึงจะหายามารักษาได้ ไม่อย่างนั้นเจ้านี่ไม่ระวังร่างแช่แข็งขึ้นมานางจะกะเทาะได้ทันเสียที่ไหน?
พอฟังเรื่องราวนี้ นางดูคล้ายไม่ห่วงใยแต่แท้จริงแล้วใคร่ครวญครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่ได้สังเกตทิศทางที่ล่องเรือไปอีก
“หลังจากได้ข่าวเรื่องลดพระองค์สมรสไม่นาน วันหนึ่งราชินีจัดงานเลี้ยงมวลผกาแย้มบานเชิญราชครูมางานเลี้ยง ราชครูเดิมทีไม่อยากไปงานเลี้ยง ยามราชินีทรงรับสั่งให้คนส่งจดหมายให้เขาหนึ่งฉบับ หลังจากนั้นเขาจึงไปงานนี้ ไม่นึกเลยว่าพอเขาไปงานนี้ ราชินีจะทรงกระทำเรื่องโหดร้ายอย่างยิ่งเรื่องหนึ่งกับเขา…”
“เรื่องใด” ในใจของจิ่งเหิงปัวกระตุกเกร็ง เรือนร่างอดจะโน้มลงไปด้านหน้าไม่ได้
“เรื่องที่จะทำให้พระองค์ยากจะมีความสุขตลอดชั่วชีวิตนี้!” เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะฮ่าๆ ครั้งหนึ่งโดยพลัน กระโดดลุกขึ้นกระโจนลงไปในน้ำดังตู้มเสียงหนึ่ง!
“แม่งเอ๊ย ไอ้โคตรชั่ว!” จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนักยังจะกล้ากระโดดน้ำ ด้วยอารามตกใจเป็นการใหญ่จึงลุกขึ้นมาหวังจะไปคว้าเขาไว้ พอเงยหน้ามองเห็นประตูกั้นน้ำเหล็กเบื้องหน้าทันที!
ประตูกั้นน้ำของวังแห่งสุดท้ายที่ใช้สำหรับรักษาการณ์! ถูกลดลงมาแล้ว!