จิ่งเหิงปัวไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ พยักหน้าด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า “อ้อ สิ่งที่เจ้าเอ่ยมีพลังยั่วยวนยิ่งนัก เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ เจ้ามีตำแหน่งเป็นราชครูฝ่ายซ้าย ข้าได้ยินว่าแม้เจ้าดูคล้ายมีกำลังไม่เทียบเท่ากงอิ้น แท้จริงแล้วสั่งสมกำลังไว้มากมายมหาศาลเป็นการส่วนตัวเช่นกัน ในเมื่อเจ้าไม่ขาดคนไว้ใช้สอย เหตุใดจะต้องเสี่ยงอันตรายมาเจรจาร่วมมือกับราชินีหุ่นเชิดเช่นข้านี้ด้วยตนเองเล่า?”
“ค่ำคืนนี้ การลอบสังหารกงอิ้นเป็นเพียงเรื่องฉวยโอกาส แท้จริงแล้วกระหม่อมมาเพื่อพระองค์โดยเฉพาะ” เหยียลี่ว์ฉีพิงต้นไม้อย่างเกียจคร้าน ริมฝีปากแดงฉ่ำปานกุหลาบเฉียงเวยผลิรอยยิ้มเจือความชั่วร้ายเอ่ยว่า “องค์ราชินี อย่าทรงดูถูกพระองค์เองมากเกินไป หากพระองค์ทรงเป็นราชินีขึ้นมาจริงๆ หลังจากเข้าประทับตำหนักอวี้จ้าว จะมีความสำคัญและมิอาจแทนที่ได้เป็นที่สุด ผู้ที่กงอิ้นสังหารได้ ย่อมเป็นพระองค์แน่แท้…”
เขามองเห็นจิ่งเหิงปัวเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน หยุดนิ่งชะงักงันขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลันเช่นกัน
จิ่งเหิงปัวฟื้นคืนรอยยิ้มในชั่วพริบตา รวดเร็วเสียจนคล้ายว่าชั่วขณะหนึ่งมิได้เปลี่ยนแปลงสีหน้า ยิ้มแย้มกรีดกรายนิ้วมือไปทางเขา กล่าวว่า “เอ่ยสิ เอ่ยต่อ ข้าสนใจยิ่งนัก”
เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองดวงตาของนางอย่างลึกซึ้ง รอยยิ้มของจิ่งเหิงปัวไม่เปลี่ยนแปลง ในใจแอบด่าว่าตัวนี้ราศีจิ้งจอก
ในที่สุดเหยียลี่ว์ฉีจึงเบนสายตาออก ยามปริปากอีกครั้งเปลี่ยนน้ำเสียงเสียแล้ว เอ่ยว่า “แน่นอน หากมิหวังให้พระหัตถ์ทั้งสองข้างของพระองค์เปื้อนโลหิตหรือมิหวังเผชิญหน้ากับกงอิ้นพาให้เขาแก้แค้นโดยตรง กระหม่อมไม่สังหารเขาย่อมได้ ขอเพียงพระองค์ทรงช่วยกิจธุระเล็กน้อยของกระหม่อม ไล่เขาลงจากบัลลังก์ย่อมเพียงพอแล้ว กระหม่อมยังสัญญากับพระองค์ได้ว่าจะให้ตำแหน่งร่ำรวยมีเกียรติมีศักดิ์ศรีจนแก่ชราตำแหน่งหนึ่งแด่เขา เช่นนี้ ในเมื่อพระองค์ทรงเป็นราชินีผู้สูงศักดิ์ตามใจพระองค์เองและมิได้ทำร้ายกงอิ้น มิใช่ดีงามทั้งสองฝ่ายหรอกหรือ?”
จิ่งเหิงปัว “อ้อ” อีกหนึ่งเสียง นัยน์ตาเคลื่อนไหวเชื่องช้า คล้ายกำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“ฝ่าบาททรงเป็นผู้ฉลาดเฉลียว ย่อมรู้ว่าควรจะเลือกสรรอย่างไร” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม
“อืม ข้าว่า…” จิ่งเหิงปัวค่อยๆ กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “เจ้าเอ่ยวาจากับข้ามากมายเช่นนี้ หากข้าไม่รับปากเจ้า เจ้าย่อมต้องคิดหาวิธีสังหารข้าเป็นแน่กระมัง?”
“เหตุใดจึงต้องตรัสเสียจนชุ่มโชกโลหิตเช่นนี้เล่า กระหม่อมรู้ว่าฝ่าบาททรงเป็นผู้ฉลาดเฉลียว คงมิทำให้กระหม่อมผิดหวัง แน่นอน หากฝ่าบาททรงไม่รับปาก ซ้ำยังทรงล่วงรู้มากมายเช่นนี้ นับแต่บัดนี้ย่อมทรงเป็นศัตรูของกระหม่อมเป็นธรรมดา แม้ว่ากระหม่อมกำลังอ่อนแอ ฝีมือมีจำกัด ทว่าคิดดูแล้ว ฝ่าบาทคงมิทรงยินยอมสร้างศัตรูผู้หนึ่งเช่นกระหม่อมนี้เช่นกัน ภายหลังทุกฝีก้าวคือการสังหารกระมัง?” สายตาของเหยียลี่ว์ฉีแฉลบผ่านในความมืดมิดแห่งหนึ่ง มองดูดวงตาของนางอย่างอ่อนโยน เอ่ยว่า “หากฝ่าบาททรงโง่เขลาไม่รับปาก…กระหม่อมคงประหลาดใจยิ่งนัก…ฝ่าบาท พระองค์คงมิได้ทรงเสียดายกงอิ้นกระมัง?”
เสียงวาจาสุดท้ายขึ้นสูงเล็กน้อย แว่วออกไปไกลห่างในความมืดมิด
จิ่งเหิงปัวกระโจนขึ้นมาประหนึ่งถูกแมงป่องต่อยเข้า
“เสียดายเขาหรือ?” นางคล้ายถูกหยียดหยาม กรีดร้องกล่าวอย่างบันดาลโทสะว่า “เหตุใดข้าต้องเสียดายเขา? เขาจับข้า มัดข้า รังแกข้า เย็นชาใส่ข้า ใช้ความแค้นตอบแทนบุญคุณกระทำผิดต่อข้า ยังหวังจะช่วงชิงตำแหน่งราชินีของข้า ข้าตาบอดเป็นบ้าถึงจะเสียดายเขา”
“ทว่า…” ใบหน้าโกรธเคืองของนางเปลี่ยนไปทันที ยิ้มอย่างชั่วร้ายครั้งหนึ่ง ยื่นนิ้วเชิดคางของเหยียลี่ว์ฉีเอาไว้ กล่าวว่า “เจ้าเอ่ยถูกต้องสิ่งหนึ่ง ข้าน่ะไม่ชื่นชอบสังหารคน โฉมสะคราญผู้หนึ่งเช่นข้านี้ มือเปื้อนโลหิตจะเป็นทิวทัศน์โหดร้ายเพียงใด อีกทั้งข้ารู้สึกว่าสังหารกงอิ้นเสียดายยิ่งนักนะ เขารูปงามขนาดนั้น ไม่ว่าสังหารพ่อรูปงามผู้ใดล้วนเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง! เจ้าปลดเขาแล้ว แย่งชิงอำนาจของเขาแล้ว ส่งเขามาให้ข้าดีหรือไม่? เขารังแกข้ามาเนิ่นนานเช่นนี้ ย่อมควรสับเปลี่ยนเวียนวน ให้พี่รังแกเขาสักหน่อยสิ”
เหยียลี่ว์ฉียิ่งยิ้มอ่อนโยนมากขึ้น ยื่นมือกุมนิ้วมือของนางอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากสัมผัสบนปลายนิ้วนางเพียงครั้ง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้น ฝ่าบาททรงเห็นด้วยที่จะร่วมมือกับกระหม่อมแล้วหรือ”
“แน่นอน ข้าคิดได้แล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เดิมทีข้านึกว่าแถวนี้คงเดินทางง่ายดังเช่นต้าเยียน ทว่าที่แท้ล้วนเป็นบึงโคลน เช่นนั้นข้าคงหนีออกไปมิได้ ระหว่างสิ้นชีพที่บึงโคลนกับเป็นราชินีผู้มีอิสระองค์หนึ่ง ผู้โง่เขลาสิถึงจะไม่เลือกสิ่งหลังสิ่งนั้น”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เหยียลี่ว์ฉีเชยชมยกใหญ่
สองคนประสานสายตายิ้มแย้มให้กัน ท่าทีอ่อนโยนทะลักล้น จิ่งเหิงปัวยิ้มหยาดเยิ้มคิดจะหดนิ้วมือกลับไป ทว่าเหยียลี่ว์ฉีคว้าไว้ไม่ยอมปล่อย ยังเจืออารมณ์รักใคร่แตะไว้ที่ริมฝีปาก
สีหน้าของจิ่งเหิงปัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นรอยยิ้มยิ่งหยาดเยิ้ม นิ้วมือประชิดขึ้นไปเสียเลย แตะอยู่บนใบหน้าของเขา ยิ้มแย้มอย่างเคลิบเคลิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าเองก็รูปงามยิ่งนักนะ…พอข้าได้พบเจ้า ก็ถูกความงามของเจ้าทำให้ตะลึงพรึงเพริดแล้ว…”
เสียงหัวเราะของเหยียลี่ว์ฉีทุ้มต่ำลึกลับ เอ่ยว่า “จริงหรือ? บังเอิญโดยแท้ พอกระหม่อมได้พบฝ่าบาท ก็ตกตะลึงพรึงเพริ้ดเช่นกัน…”
แม่น้ำสายน้อย จันทราแผ่วบาง สายลมแผ่วโผย ต้นหญ้าตื้นเขิน บุรุษรูปหล่อสตรีรูปงามจ้องมองกันและกันใต้ต้นไม้ ท่วงท่าอมยิ้มจุมพิตนิ้วมือแผ่วเบาประกอบเป็นเค้าโครงเงาร่างบรรยากาศพร่าเลือนยั่วเย้าภาพหนึ่ง
ไม่ว่าให้ใครมองเห็น ย่อมเห็นเป็นบุรุษสตรีที่มีใจให้กันคู่หนึ่งซึ่งลักลอบพบกันกลางค่ำคืน บอกเล่าความรู้สึกในใจให้กันและกัน
เจ้าหมาโง่ถูกเหยียลี่ว์ฉีทับไว้ตลอดเวลา กะพริบดวงตาปริบๆ คล้ายอยากท่องกลอนไพเราะเจือสีสันบทหนึ่งคล้อยตามบรรยากาศไปด้วยยิ่งนัก เสียดายว่าในปากเต็มไปด้วยดินโคลน
เฟยเฟยนั่งอยู่อย่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก ผายลมครั้งหนึ่งโดยพลัน เจ้าหมาโง่ร้องอู้อี้ว่า “เหม็นจะตายแล้วเหม็นจะตายแล้ว!” เฟยเฟยกลอกตาขาวให้มันหนึ่งครั้งอย่างเหยียดหยาม
ไม่มีใครรู้ว่า ในเสียงผายลมใสไพเราะนี้ กิ่งไม้แหลมคมกิ่งหนึ่งหลุดพ้นลำต้นโดยพลัน
กิ่งไม้ค่อยๆ ขยับเขยื้อนลงมาด้านล่าง
จิ่งเหิงปัวหลบหลีกสายตาจ้องมองซึ่งกันและกันกับเหยียลี่ว์ฉี ยกมือทัดจอนผม เหลียวซ้ายแลขวาอย่างไร้ซึ่งเป้าหมาย กระซิบกระซาบว่า “ออกมาเนิ่นนานเช่นนี้ จะถูกพบเข้าหรือไม่นะ?”
“ที่แห่งนี้แลดูห่างจากที่ตั้งค่ายไม่ไกล แท้จริงแล้วที่ตั้งค่ายยังบังเอิญถูกกั้นด้วยบึงโคลนน้อยบึงหนึ่ง บึงโคลนนี้ไอพิษรุนแรง ชั่วขณะหนึ่งคงไม่มีผู้ใดผ่านมา” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มมองดูจิ่งเหิงปัว เอ่ยสืบต่อว่า “อะไร ฝ่าบาทดูท่าทางคล้ายทรงผิดหวังอยู่บ้าง?”
“ใช่สิ ข้าผิดหวังว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจบรรยากาศเช่นนี้…” จิ่งเหิงปัวคล้ายยิ้มทว่าไม่ได้ยิ้ม สายตามองดูเขา นิ้วมือวาดผ่านคางทรวดทรงประณีตของเขาอย่างแผ่วเบา กล่าวว่า “ในเมื่อไร้ผู้คน เส้นทางห่างไกล เจ้าว่า…”
“อืม…ฝ่าบาททรงโปรดปราน…กระหม่อมโชคดีเหลือเกิน…” เสียงของเหยียลี่ว์ฉีแผ่วเบาลงไปเช่นกัน แต่ละคำละคำร้อนแรงดุจสุราเข้มข้น สดใสเสียจนนัยน์ตาที่น่าตื่นตะลึงค่อยๆ เจือจางกำจายด้วยความลุ่มหลงหลายส่วน
กิ่งไม้ห้อยลงมา ปลายแหลมพุ่งลงด้านล่าง จ่อหวังทำร้ายท้ายทอยของเหยียลี่ว์ฉี
“เช่นนั้นเจ้าควรจะ…” จิ่งเหิงปัวหัวเราะหึหึ นิ้วมือวาดวนบนลำคอของเหยียลี่ว์ฉี เรือนร่างค่อยๆ เอนเอียงจนเป็นรัศมีโค้งอ่อนช้อยเส้นหนึ่ง
กิ่งไม้ห่างจากด้านหลังเหยียลี่ว์ฉีเพียงหนึ่งฉื่อ
ในความมืดมิดห่างไกลคล้ายมีเสียงแขนเสื้อเจือเสียงลม
“ตรงกับจิตใจของกระหม่อมพอดี…” เหยียลี่ว์ฉีกุมมือของนางไว้ เรือนร่างค่อยๆ พิงไปด้านหลังเช่นกัน เอ่ยว่า “มิสู้อยู่ที่แห่งนี้ มอบใจให้กันและกัน แลให้ฝ่าบาทได้เห็นจิตใจของกระหม่อม…”
สายตาของจิ่งเหิงปัวเงยขึ้นมาครั้งหนึ่ง หัวเราะคิกๆ แขนโอบลำคอของเขาไว้ ดึงเขากลับมาอย่างแผ่วเบา พลางกล่าวว่า “นี่…เจ้าล้มลงไปทำอะไร หรือว่าเจ้ายังชื่นชอบให้สตรีอยู่บน? คนดี…ข้าชื่นชอบท่าทีบุรุษเช่นเจ้า…”
“กระหม่อมเองชื่นชอบเสน่ห์โดยกำเนิดของพระองค์เช่นกัน…” เหยียลี่ว์ฉียินดีทำตามน้ำ โอบเอวของนางเอาไว้
กิ่งไม้อยู่ตำแหน่งท้ายทอยของเขาพอดี หยุดชะงักเพียงครั้งแล้วปักลงมาดุจอสนีบาต!
“…ทว่ากระหม่อมไม่ชื่นชอบกลเกมลวงหลอกของพระองค์!”
เสียงของเหยียลี่ว์ฉีเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกโดยพลัน!
จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แน่ เสียดายว่าตอนนี้แขนทั้งสองข้างถูกเหยียลี่ว์ฉีโอบไว้แนบแน่นแล้ว นางเพิ่งคิดจะตะโกนเรียกเฟยเฟยให้ลงมือ เหยียลี่ว์ฉีก้มหน้าเพียงครั้ง ริมฝีปากโถมทับลงมาแล้ว
จิ่งเหิงปัวหันหน้าทันที ริมฝีปากร้อนผ่าวของเหยียลี่ว์ฉีแฉลบผ่านแก้มของนาง พอจิ่งเหิงปัวเอียงสายตาก็มองเห็นกิ่งไม้บ้าบอกิ่งนั้นกำลังร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ขณะนี้นี่เองหัวไหล่ของเหยียลี่ว์ฉีเอียงไปเพียงครั้งคล้ายมิได้ตั้งใจ
เสียงดัง ‘ฉึก’ เสียงหนึ่ง กิ่งไม้ปักเข้าไปในจุดเจียนจิ่งของจิ่งเหิงปัวพอดี ร่างกายท่อนบนของนางขยับไม่ได้ไปชั่วขณะ
สายตาของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อ เปล่งเสียงโหยไห้โอดโอยจากในเบื้องลึกของจิตใจว่า…ทำไมทุกครั้งที่ใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุทำร้ายคนไม่เคยสำเร็จเลย? หรือว่าความสามารถพิเศษนี้ขัดแย้งสิ่งมีชีวิตแบบราชครูชนิดนี้เหรอ?
“ฝ่าบาทเจ้าเล่ห์เสียจริง…” เหยียลี่ว์ฉียังคงมีใบหน้าอ่อนโยน ซบอยู่บนไหล่ของนางอย่างสนิทสนม หัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่ง ฉวยมือทำลายกิ่งไม้นั้นจนไร้ซึ่งร่องรอย
ในใจของจิ่งเหิงปัวยังโหยไห้ไม่หยุดหย่อน ขณะกำลังจะด่าเขาได้ยินประโยคต่อมาของเขา ทั่วร่างแข็งทื่อทันที
“…ราชครูฝ่ายขวานิสัยดีเสียจริง” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “แอบดูมาเนิ่นนานเช่นนี้ ยังมิกล้าปรากฏกายหรือ”
อาไร้?
ระ…ระ…ราชครูฝ่ายขวา?
กงอิ้น?
หนังศีรษะของจิ่งเหิงปัวด้านชาขึ้นมา เงยหน้าอย่างหวาดผวา…กงอิ้นอยู่ด้วยมาโดยตลอด? เขาอยู่ด้วยมาโดยตลอดเลยเหรอ? งั้นเมื่อครู่เขาได้ยินมากน้อยเท่าไร? แล้วได้เห็นชัดเจนแค่ไหน?
หลังจากนั้นนางจึงมองเห็นกงอิ้น